17 มกราคม 2547 01:05 น.
อัลมิตรา
..๏ สไบหอม..พยอมใจเคยใกล้ชิด
มาห่างจิตจากไกลโหยไห้หา
ยามราตรีพี่-น้อง ครองนิทรา
บัดนี้กลับร้างรา..เหมือนมิเคย..
อกเคยอุ่นละมุนละมัยได้เคียงข้าง
กลิ่นสาบสางยังจรุงฟุ้งเฉลย
ผ่านคืนวันผันใจคล้ายละเลย
สิ่งที่เคยกลับมิเห็นเช่นก่อนกาล..
ฤๅจักต้องหนาวใจในครานี้
ดวงฤดีก่อนเคยเปรยหวามหวาน
กลับขื่นขมตรมเศร้าร้าวดวงมาน
มิสราญหมองหม่นยากด้นนัย..
ยากเรียกคืนกลับหลังดั่งความคิด
ด้วยว่าจิตแปรเปลี่ยนหมุนเวียนได้
ช่างพลิกผันเกินรับสดับไป
ทุกข์ท่วมใจจึงเพียรเขียนเป็นกลอน..
สไบเอ๋ย..ก่อนเคยมาอิงแอบ
กายใจแนบแน่นสนิทชิดสมร
จึงร่ำไห้โหยหาว่าอาวรณ์
อกสะท้อนแสนเทวษด้วยเหตุตน..
จะกู่เรียกร่ำร้องทำนองเศร้า
เหมือนไร้เงาคืนกลับแสนสับสน
ดั่งพี่-น้องคล้องใจในกมล
ต้องดั้นด้นห่างเหินเกินมองตาม ..
สไบหอม..พยอมใจของน้องน้อย
จักต้องคอยอีกเท่าใดขอไต่ถาม
อยากให้รับรู้ซึ้งซึ่งบทความ
ว่าทุกข์ลามโรมเศร้าใครเล่าทำ..?
จวบราตรีมาเยือน ณ เวหน
ฟากฟ้าหม่นหมองจิตคิดถลำ
ใครกันหนอคลอเคล้าเหย้าประจำ
ขับลำนำเพลงพิณจากถิ่นไกล ..
โอ้ละหนอ..ศศิเพ็ญงามเด่นฟ้า
ปลอบจิตข้าคลายตรมระทมไห้
หลากดารากระพริบเยือนดุจเพื่อนใจ
ฤๅเทียบเท่าคนไกล...อย่าหมายเทียม..
ใจเจ้าเอยเคยเช่นเย็นสงบ
กลับต้องพบความเศร้าเข้าเต็มเปี่ยม
แสนปวดปร่าอุราข้าไหม้เกรียม
ด้วยมิเตรียมห้ามจิตคิดให้ปลง..
สไบหอม..พยอมใจใครคนนั้น
คงลืมวันลืมคืนชมื่นหลง
ทั้งที่เคยสัญญาว่ามั่นคง
กลับติดกรงบ่วงอื่น..น้องขื่นทรวง..
สไบหอม..พยอมใจคนไกลเอ๋ย
ก่อนชิดเชยเคียงคู่ดูดั่งหวง
กลับทิ้งร้างห่างหายในแดดวง
คงลับล่วงกลายคำ..ลำนำเรา..
พี่และน้องเคยคล้องใจเคียงข้าง
กลับอ้างว้างเดียวดายกลายเป็นเศร้า
คงยากยิ่งสิ่งใดหมายบรรเทา
บันทึกเรา..ฤๅยลยิน..ตราบสิ้นฟ้า ๚ะ๛
16 มกราคม 2547 22:16 น.
อัลมิตรา
(๑)
จากเมล็ด..ที่จมตมธุลี
อาบรังสีรังสิมันตุ์ผันแปรได้
ธาตุอาหารซึบซับกับรากไช
หยดน้ำให้เผื่อแผ่แลเกื้อกูล
จากเมล็ด..ด้อยค่าราคาถูก
มาเพาะปลูกบ้างหายตายสาบสูญ
อาจแคระแกรนหรือเพิ่มค่าทวีคูณ
ยิ่งจำรูญหรือยับอัปราชัย
จากเมล็ด..พืชพันธุ์เฉกมนุษย์
จะพิสุทธิ์งดงามหวามไสว
เจริญยิ่งทั้งชันษาคราผ่านไป
ปัญญาไซร้พูนเพิ่มเสริมทวี
จากเมล็ด..เริ่มก่อหน่อจากเปลือก
หลากพันธุ์เทือกแทงยอดสอดใบศรี
ดั่งพี่เลี้ยงเคียงคู่ดูเข้าที
หล่อชีวีให้เติบใหญ่กายงอกงาม
จากเมล็ด..ไร้รากพลัดพรากถิ่น
หว่านลงดินขจรไกลในเขตขาม
ก่อกำเนิดเพริศลักษณะตาม
เป็นไม้งามสูงตระหง่านวงศ์วานตน
(๒)
ต้นไม้ใหญ่โค้งกายหมายบอกเล่า
ผ่านเรื่องราวความเป็นมาน่าฉงน
จากเมล็ดพันธุ์ครั้นว่าพิการพิกล
กลมเกลี้ยงมนดุจกรวดทรายไร้ราคา
จนกระทั่งขวบปีที่ผ่านคล้อย
ลำต้นน้อยเติบใหญ่กายแกร่งกล้า
ผลิดอกใบออกผลยลงามตา
ยืนหยัดท้าพายุโหมโถมพลัง
กิ่งใบโบกโยกแกว่งแสดงกล่าว
บทความท้าวแต่ก่อนย้อนหนหลัง
เหล่าลูกไม้รายรอบพินอบฟัง
นี่กระมังความเป็นไปต้นไม้เรา
ต่างเบียดเสียดชะเง้อชะแง้แลต้นใหญ่
ทำอย่างไรจึงสวยเด่นเช่นกับเขา
ต่างครุ่นคิดกระซิบกระซาบหากแต่เบา
สิ่งที่เล่าเท็จหรือจริงสิ่งทั้งปวง
..อันตัวเรากลมเกลี้ยงเยี่ยงลูกไม้
จะเกรียงไกรงามสง่าทุกท่าท่วง
ครั้นพายุพัดกายคล้ายหมุนควง
เกือบจะร่วงเน่าคาดินสิ้นราคา..
..จะเป็นไปได้หรือคือชีวิต
ที่ลิขิตจากสวรรค์ชั้นฟากฟ้า
เราอาจวอดสูญสลายในมรรคา
สิ้นชีวาตามกำหนดกฏเกณฑ์บน..
..จะเป็นไปได้หรือคือชีวิต
ที่ลิขิตจากสวรรค์ชั้นเวหน
เราอาจรอดจากหมู่มารผลาญผจญ
งามสนนเติบใหญ่ใต้ฟ้าคราม..
(๓)
สิ่งสงสัยในจิตครุ่นคิดถึง
ใช่ดื้อดึงออกปากอยากจะถาม
..เหตุใดท่าน..เก่งกาจมาตรนิยาม
ทุกเขตขามสยบราบทราบพระคุณ..
ต้นไม้ใหญ่เอนกายหมายเล่าสู่
..เจ้าอยากรู้สิ่งใดใครเกื้อหนุน
จากเมล็ดไร้ค่ามาเป็นทุน
จนเพิ่มพูนแตกแขนงแทงกิ่งใบ..
..ต้องอดทนคนพาลรุกรานเหยียบ
ทุกข์เกินเทียบบอกเกริ่นเดินความใส่
อีกแมลงหลายหลากกระชากใบ
กัดกินไปอนาถหนอพ้อความเดิม..
..อีกพายุแรงโหมถาโถมทึ้ง
ฉุดรากดึงต้นไหวไม่ส่งเสริม
อุทกภัยหลากล้นด้นความเติม
ดินแห้งเพิ่มทุกข์เทวษเภทภัยมี..
..กว่าจะหยัดยืนอย่างดั่งที่เห็น
มากประเด็นพบพาประดาปรี่
กว่าสงบสงัดหายกรายไพรี
ต้นกล้านี้เติบใหญ่กายแข็งแรง..
(๔)
ครั้นพอฟังต้นไม้ได้บอกกล่าว
ลูกไม้เจ้า..สัจจะธรมมย้ำจิตแจ้ง
กว่าจะผ่านกาลกลหนแสดง
ทุกข์สุขแย้งสลับเวียนเปลี่ยนมาเยือน
ดูเอาเถอะตัวเราก็เท่านี่
ยามลมปรี่พัดกายกลายแตกเกลื่อน
อาจกระเด็นรอนแรมนับแรมเดือน
กว่าจะเคลื่อนเมล็ดบ่มจมผืนดิน
เมล็ดหยั่งรากฝังยังอาศัย
สรรพสิ่งให้อาหารประสานสิ้น
ทั้งอาทิตย์สาดส่องผ่องชีวิน
ยังถวิลบุญคุณเคยจุนเจือ
อีกแร่ธาตุมาตรว่าจะปรากฏ
คุณค่าจรด..ฟ้า-ดิน..สิ้นคำเผื่อ
หากปรารภแสดงไว้ให้เหลือเฟือ
ประโยชน์เกื้อกูลมากหากเปรียบเปรย
อีกบุญคุณสายน้ำลำนำกล่าว
หล่อเลี้ยงเจ้าเมล็ดพันธุ์ครั้นเฉลย
จนเติบใหญ่ต้นแกร่งแรงเสบย
เกินเอื้อนเอ่ยกรุณาเมตตามี
อีกพระพายเห่กล่อมโอบห้อมอุ่น
ไอละมุนแผ่ไปในทุกที่
ใบไม้เสียดประสานขานดนตรี
กิ่งก้านสีโยกตามยามสุขใจ
(๕)
เมล็ดพันธุ์แห่งชีพจากพรรณพฤกษ์
มาผนึกกับมนุษย์พิสุทธิ์ใส
มีความเหมือนความคล้ายคละเคล้าไป
เปรียบเทียบได้ตามจินต์ถวิลตรอง
จะยืนหยัดอย่างต้นกล้าจนเติบใหญ่
ที่เกรียงไกรเก่งกล้ากว่าทั้งผอง
ตามกลอนเปล่าเล่าขานหว่านทำนอง
อาจจะพ้องฉุกคิดจิตใจเอง
หรือจะดับยับสิ้นชีวินม้วย
มิสดสวยไร้เกียรติ์เบียดข่มเหง
จิตใจทรามตามชั่วมั่วบรรเลง
ตามบทเพลงเมล็ดจมตมใต้ดิน ..
จะเป็นพันธุ์เมล็ดใดให้เลือกเถิด
งามพริ้งเพริศหรือหมอง..ตรองถวิล
ขอจบกลอนตอนสุดท้ายหมายยลยิน
เพื่อนผองสิ้นเลือกเมล็ดงาม..ตามความดี
14 มกราคม 2547 22:20 น.
อัลมิตรา
กมลฉันท์( ๑๒ )
๏ กะกะกากะกากา...............กะกะกากะกากา
กะกะกากะกากา..................กะกะกากะกากา ๚
...๏ คณะรัฐบาลคิด.............มุพิชิตสยบโจร
ขณะใต้พระเพลิงโชน...........ทุรชนคะนองใจ
อธิมุตติปราบปราม..............และประณามริปูไป
อริแม้นผิว์ปานใด................มิจะให้อหังการ
มติพร้อมระดมพล...............สุรชนทหารหาญ
ปฏิยุทธ์ประจัญบาน.............อภิสารทะลายมวล-
ปฏิปักษ์ ณ ทักษิณ..............อริสิ้นมิลอยนวล
ปณิธานประกอบถ้วน-...........กรณีย์สิควรแท้ ๚ะ๛
14 มกราคม 2547 15:47 น.
อัลมิตรา
ในวังวนมากคนมิพ้นบ่วง
ละ เลิก ล่วง ..กลับล้ำถลำใส่
ครั้นจะหยุดถอยหลังยากยั้งใจ
กลับก้าวไปทุกข์ตรอมก็ยอมทน
แสนแปลกใจเสียจริงชายหญิงเอ๋ย
ยามชิดเชยเคียงคู่ดูฉงน
ตามืดบอดหูเฝื่อนฝ้าบ้าชอบกล
ดุจต้องมนต์เสน่หาเข้ามาลวง
หากใครคิดขัดขวางทางเหยียดหมิ่น
มิยลยินคำปรามดุจห้ามห่วง
แสนดื้อด้านคิดพาลพล่านแดดวง
ยาก ละ ล่วง เลิก ได้.....ในวังวน..
10 มกราคม 2547 23:35 น.
อัลมิตรา
๏ เรียงร้อยทยอยเขียน...........และเกษียนกระสรวลปรีดิ์
ใช่สรรพเวที.........................ฤ มุนี ณ แดนใด
๏ เพียงคิดประดิษฐ์ถ้อย.........กวิพลอยระเริงใจ
ชื่นชมนิยมใน-.....................สวนีย์วิไลลักษณ์
๏ ใช่คลั่งอหังการ..................ปณิธาณทะนงศักดิ์
เสแสร้งตะแบงลัก-................ษณะภัคน์ระแบบตน
๏ ด้วยมั่นกตัญญู..................มุนิครูบุราณชน
หากวิปริตจน-.......................สติแตกอภัยเทอญ ๚ะ๛