25 กันยายน 2546 21:10 น.
อัลมิตรา
แด่วินเซนต์ วิลเลียม แวนโก๊ะ ...ด้วยหัวใจ
(๑)
๏ ราตรีศศิงาม.....................และอร่ามนภาพราว
คราเขียนอุระราว.................ผิว์ทะท้าวละเลงสี -
ฟ้าเทาขณะป้าย...................สิระบายระทมมี
มองด้วยศมนีย์*....................อรดี ณ คิมหันต์ ๚
(๒)
๏ แสงเงารุจิรา.....................กระจะตา ณ ไพรวัลย์
ทอดผ่านคิริอัน.....................ฐิติยั้งตระหง่านคง
ร่างเส้นผิว์พินิจ.....................และลิขิตวนาพงษ์
มาลาจะประจง.....................จิตคงละเลงไป ๚
(๓)
๏ งานศิลปะนี้.......................มิจะมีวิธีใด
อ้างอิงนิติใคร.......................ดุจให้ประหลาดฤๅ
เขียนลมขณะพัด...................และนิทัศน์ขยับมือ
ป้ายสีมติคือ..........................มุติสื่อสนองตน ๚
(๔)
๏ เขียนรูปฤตุหนาว...............อุระร้าวและอับจน
แต่งแต้มมหิดล......................และสกลสะอ้านงาม
คลุมด้วยหิมะมวล..................ขณะง่วนระบายความ
เป็นภาพปริณาม...................และนิยามนิรันดร ๚
(๕)
๏ มองภาพ มน เพ่ง...............สิเชลงนิพนธ์กลอน-
กาพย์ฉันท์ขณะตอน..............อุระร้อนหทัยครวญ
เข้าใจนยะนี้............................และวิธีสิสื่อมวล-
เรื่องราวนิติถ้วน.....................สิคระหวนคะนึงนาน ๚
(๖)
๏ คุณคล้ายดุจทุกข์................มิสนุกเกษมศานต์
ว้าวุ่นทรมาน..........................จิระกาลสะท้านทรวง
จึ่งคิดวิธิคลาย.......................สิสลายระทมปวง-
อ่อนล้าสละยวง......................และระลวงสยบลง ๚
(๗)
๏ เพียงอิสระนั้น....................บ่มิหวั่นฤทัยคง-
หมั่นขีดและผจง....................ดุจบ่งประสงค์จริง
หากมีทุรชน...........................สิวิจลวิจารณ์ชิง-
ชังว่า นรศฤงค์*.....................มิวิจิตรตระการตา ๚
(๘)
๏ พวกเขาบ่มิฟัง....................จรคั่ง*ทุวาจา
ไร้ซึ่งสติมา-...........................จะวิเคราะห์และไตร่ตรอง
ตราบสิ้นบริคนห์ ...................อนุชนประสงค์มอง
เป็นแบบนิติต้อง-....................สิสนองและบูชา ๚
(๙)
๏ ราตรีศศิงาม.........................ชุติวามสบายตา
ไม้ดอกผลิ ฤ ว่า.......................สิประภาประดุจไฟ
มวลเมฆ ณ นภา.......................ผิว์ถลาละลิ่วไกล
แปลกตาคละประไพ..................สิสลับละไมคง ๚
(๑๐)
๏ มวลภาพบ่มิเลือน.................ดุจเหมือนสถิตตรง-
ปรากฏมุติบง..........................คติตรง ณ ดวงตา-
วินเซนต์ ฯ ขณะเขียน.............และมุเพียรละเลงครา-
รุ่งโรจน์รวิจ้า............................สิสว่างกระจ่างครัน ๚
(๑๑)
๏ ทุ่งข้าวกระจะนัก.................ดุจลักษณ์ ณ อำพัน
โศกเศร้า ตม นั้น.....................สรพัน ณ หทัย
เคยทุกข์และระทม..................บ่มิสมระเริงใด
กลับชื่นรติใคร่.........................ณ ทิวากระไรมี ฯ
(๑๒)
๏ โอ้ว่าจิตรกร........................ฤ ฉะอ้อนและโศกี
แม้ไร้รติที่-.............................นรชนสิให้มา
หากแม้นมตินั้น.......................ดุจมั่นนิรันดร์นา
ปราศสุข ณ อุรา.....................มิมล้างและเปลี่ยนไป ๚
(๑๓)
๏ ราตรีศศิงาม.........................ระดะวามนภาไกล
ฆ่าตนเพราะอะไร......................ฤ หทัยมิไตร่ตรอง
เปรียบผัวภริยา........................รติมาสลายกอง
ฤาคุณสิคะนอง.........................วิเคราะห์ผอง มิ ตรองดี ๚
(๑๔)
๏ ฉันควรอธิบาย.....................และขยายระบานี*
บอกว่าปฐพี............................มิเหมาะที่สิควรคุณ-
ผู้ซึ่งมนงาม............................มุจะข้ามนิยามดุลย์
เขียนรูปและพิธุร*...................ผิว์สลดและวุ่นใจ ๚
(๑๕)
๏ ราตรีศศิงาม.........................และอร่ามนภาไกล
ภาพเขียนระดะไป....................ณ นิวาสและปราศชน
ภาพเขียนสิริลักษณ์.................และวิจักขณ์คละรูปตน
ไร้ชื่อสิฉงน.................................ดุจคนปะปนกัน ๚
(๑๖)
๏ สายตามิผละหนี....................ผิว์ฤดีมิลืมวัน
โลกหล้าสรพัน..........................มิสลายมลายเลือน
คล้ายมวลนรชน.......................และวิกลจริตเบือน
เสื้อผ้าดุจเหมือน......................สติเฟือนคละเกลื่อนตา ๚
(๑๗)
๏ แปลกหน้าขณะพบ.................ฤ ประสบอนาถา
โปรดจงกรุณา...........................มุทุตาและเกื้อกูล
ดุจไม้ศุจิแย้ม............................ผิว์กุหลาบและแหลมบูรณ์
ถูกบีบสิกระลูน*.........................มิเสถียรจรูญใด- ๚
(๑๘)
๏ ยังเกลื่อนหิมะขาว.................อุระร้าวและร่ำไร
ยามนี้ระบิใด.............................ดุจะได้กระจ่างจริง
รู้ว่าขณะนี้.................................มุติที่สิอ้างอิง
คุณบอกมติสิ่ง...........................ผิว์พะพริ้ง*ณ ผลงาน ๚
(๑๙)
๏ คุณคล้ายดุจทุกข์..................มิสนุกเกษมศานต์
ว้าวุ่นทรมาน............................จิระกาลสะท้านทรวง
จึ่งคิดวิธิคลาย..........................สิสลายระทมปวง-
อ่อนล้าสละยวง.........................และระลวงสยบลง ๚
(๒๐)
๏ เพียงอิสระนั้น.......................บ่มิหวั่นฤทัยคง-
หมั่นขีดและผจง.......................ดุจบ่งประสงค์จริง
หากมีนรชน..............................สิวิกลวิจารณ์ชิง-
ชังว่า นรศฤงค์*........................มิวิจิตรตระการตา ๚
(๒๑)
๏ โอ้ว่าจิตรกร.........................ฤ ฉะอ้อนและโศกา
แม้ไร้รติครา-...........................ทุรชนประณามใด
หากไร้มุทิตา-..........................มติพาระทมใจ
บางทีรติใฝ่..............................ดุจไร้นิรันดร ๚ะ๛
23 กันยายน 2546 22:41 น.
อัลมิตรา
๏ กลิ่นกรุ่นละมุนฝน............และระคนธุลีดิน
เพรียกแผ่วพระพายยิล...........อุระสิ้นระทมตรอม
แว่วเสียงวสันต์พรำ................สิกระหน่ำและขับกล่อม
ดุจเพลงระบำพร้อม...............จิตย่อมระเริงตาม ๚
๏ ฟ้าฝนกมลชื่น...................ชระมื่นประพันธ์ความ
ร่ายฉันท์กวีงาม....................ดุจร่ำระบือไป
หวังเพียงนิพนธ์นี้.................ดรุณีสิเข้าใจ
ร่วมภักดิ์สมัครใน-................รติใกล้นิรันดร์กาล ๚
๏ ขับกล่อมถนอมนวล...........สุรสรวลสนุกนาน
ยินฝนและยลกานท์..............อุระซ่านภิรมย์จริง
อิงแอบและแนบเนื้อ..............มิจะเบื่อสิอ้างอิง
ดอกไม้ไสวกิ่ง.......................ผิว์กระดิ่งระงมดัง ๚
๏ แล้วพร่ำวจีอ้อน..................ขณะตอนพิรุณยัง
แซกเสียงกวีดัง......................สติตั้งกระจ่างใจ
เอื้อนเอ่ยเฉลยพจน์................มธุรสบุราณไทย
หวังน้องสิผ่องใส....................และสบายหทัยนาน ๚ะ๛
22 กันยายน 2546 10:37 น.
อัลมิตรา
เหตุไฉนจึงไม่กล้าสู้หน้าเล่า
มาแอบเฝ้าแลดูอยู่ห่างห่าง
ให้ปั่นป่วนชวนใจหมายระคาง
ไยอำพรางซ่อนตนฉงนใจ
ทิ้งอักษรยอกย้อนชวนอ่อนจิต
คำสะกิดอารมณ์เกินข่มไหว
ว่าห่วงหวงเราจริงยิ่งกว่าใคร
แล้วทำไมมิแจ้งแสดงตัว
อีกตัดพ้อต่อว่าระอานัก
เหมือนเคยรักบอกใครไปจนทั่ว
ความเก่าก่อนร้อนใจให้นึกกลัว
มาพันพัวดุจคดีเคยมีความ
หากอ่านสาส์นตามสื่อถือนัยถ้อย
จงเรียงร้อยตอบจริงขออิงถาม
ว่าเหตุใดจึงคล้ายหมายติดตาม
เปลี่ยนแปลงนามปลอมตน..เล่ห์กลใด? ...
19 กันยายน 2546 17:20 น.
อัลมิตรา
นั่นรถถั่ง..!! วิ่งมาฆ่าใครอีก
ข้ามิหลีกด้วยหมายคล้ายแม่พ่อ
มายืนขวางหว่างทางไม่รั้งรอ
คงต้องขอสู้บ้างอย่างแค้นใจ
แม้นสองมือไร้ปืนมายืนสู้
อยากรับรู้พ่อแม่...แกฆ่าไหม
ขอล้างแค้นขว้างหินก้อนดินไป
เขวี้ยงด้วยใจกล้าแกร่งด้วยแรงมือ
..เจ้ายังเด็กเหตุใดจึงไม่ถอย
จักรอคอยจนดับย่อยยับหรือ ?
เพียงสองเท้าก้าวแกร่งสองแรงมือ
ทำยุดยื้อยืนขวางอย่างเหิมใจ !..
หินที่ข้าดาหน้าปารถถัง
บอกความชังขุ่นแค้นที่แล่นไหล
ให้รับรู้... เจ้าศัตรูผู้เกรียงไกร
แม้นปืนใหญ่ลูกกระสุนพรุนทั่วตัว
ใช่สยบหมอบราบกับพวกเจ้า
ขอนอนเฝ้าแผ่นดินถิ่นคุ้มหัว
พวกเจ้ามาฆ่าใครใช่เกรงกลัว
มือสั่นรัวใช่หวาดเพียงขัดเคือง
ก้อนหินนี้...แทนคำที่ร่ำร้อง
พวกพี่น้องพ่อแม่แม้รู้เรื่อง
จักยินดีที่ข้า...มาป้องเมือง
แม้นปืนเขื่องดาบคมถาโถมมา
ขอขว้างหินใส่หัวตัวตนเจ้า
ใจร้อนเร่าคุ้มคลั่งยังหวังว่า
หากข้าต้องชีพลับดับวิญญาณ์
ยังดีกว่าตายไปไร้แผ่นดิน
..จงกระหน่ำเข้ามาเถิดอาวุธ
กระหน่ำความเป็นมนุษย์..
ให้จ่มลงพสุธาอย่างสาสม..
ผู้เก่งกล้าปล้นชาติอย่างโสมม..
เชิญมาถมวิญญ์ข้า..มัวช้าไย...
19 กันยายน 2546 15:19 น.
อัลมิตรา
...ความรัก...คือความหมายแห่งใจที่ซับซ้อน
...ความรัก...มักเปลี่ยนร้อนเป็นความอบอุ่น
...ความรัก...มักแปลงหนาวให้เย็นราวลมชมพิรุณ
...ความรัก...มักเกื้อหนุนให้กร้าวแกร่งเกินพลังทั้งปวง
...ความรัก...ไร้เสแสร้งระแวงหวาด
...ความรัก...ไร้อาฆาตความหึงหวง
...ความรัก...ไร้แต่งเสริมเพิ่มความหลอกลวง
...ความรัก...ไร้ความจาบจ้วง...ล่วงเกินด้วยเล่ห์เพทุบายใด
...ความรัก...หากลุ่มหลงคงชอกช้ำ
...ความรัก...หากเพลี่ยงพล้ำคงระกำร่ำไห้
...ความรัก...หากยึดถือคือระเบิดในหัวใจ
...ความรัก...แม้นมีให้ใครได้ แต่อย่าลืมให้ตัวเอง