16 สิงหาคม 2546 21:56 น.
อัลมิตรา
...เกิดมาเยี่ยงกษัตริย์ขัตติยราช
...แต่อนิจจา! อนาถนัก
...ต้องพลัดพรากถิ่นฐานแหล่งกำเนิด
...ซมซานพเนจรไปทั่วเขตแคว้นแดนกันดาร
...ทุกหุบห้วยละหานลำเนาไพร
...ข้าบุกบั่นไปปิ่มเลือดตากระเด็น
...มีดวงดารากรแทนประทีปส่อง
...ฝากอนาคตไว้กับหมู่เมฆอันเลื่อนลอย
...สุริยา ประทานพลังฤทธิ์ให้แก่ข้า
...จันทราเปรียบเสมือนเพื่อนใจ
...หากสวรรค์ส่งข้ามาเกิดจริงแล้วไซร้
...ข้าคงกลับคืนไปสู่เจ้าได้สมจินต์
...รอข้าก่อน อาณาจักรสีทองอันผ่องใส
...รอข้าก่อน ประชากรทั้งหลาย
...และรอข้าก่อน ศัตรูหมู่อมิตร
...ข้ากำลังจะกลับไป กลับไป...
เกิดมาเยี่ยงกษัตริย์ขัตติยราช
โอ้..! อนาถบาปกรรมตามหนุนหลัง
ต้องพลัดพรากจากถิ่นสิ้นเวียงวัง
ซมเซซังพนเจรรอนแรมไกล
ผ่านหุบเขาลำเนาป่าละหาน
มากพบพานความยากแค้นเกินแค่นไหว
มวลดาราดั่งโคมทองส่องผืนไพร
ฝากฝันไว้กับมวลเมฆเฉกเช่นเงา
สุริยารังสรรค์ขวัญแกร่งกล้า
อีกจันทราดุจสหายให้คลายเหงา
ฤๅสวรรค์กำหนดบทตัวเรา
จะคืนเหย้าสู่เมืองเรื่องความจริง
รอข้าก่อนแผ่นดินถิ่นกำเนิด
รอข้าเถิดท่านทั้งหลายเหล่าชายหญิง
รอข้ากลับดับอมิตรอย่าคิดติง
ข้าจะชิงบัลลังก์รั้งกลับคืน ....
16 สิงหาคม 2546 15:28 น.
อัลมิตรา
๏ จอมปราชญ์ประพันธ์ถ้อย.....ฤ ชะรอยเกษมใจ
เริงร่ายกวีใด..........................อุระใคร่ขยายความ
๏ หมายซึ่งสนองตน................อนุชนนิพนธ์ตาม
หากยากสิเพียรทาม................และสิพร่ำประพันธ์สาส์น
๏ ลำบากและตรากตรำ............ธุระนำประจักษ์นาน
สอนวิทยาการ.........................สรพันวิชามี
๏ ปราศผลเจริญเอื้อ................มิจะเบื่อละหน้าที่
เมตตาและปรานี.....................บ มิพลั้งระทมเผย ๚
๏ จอมปราชญ์จารบทถ้อย.......ทบกวี
บังเกิดความสุนทรีย์...............กอปรเกื้อ
ปีติล่วงกรณีย์........................ใดยาก
มวลพิชญ์อาจเพียรเยื้อ*..........เสกสร้างดังใจ ๚
๏ ภาระอันหนักอึ้ง..................หลากปการ
หากมุ่งหมั่นเจือจาน................ศิษย์รั้น
ลางคราวอาจยากนาน.............เนื่องเสื่อม เจริญนา
เพียงจิตเมตตานั้น.................ไป่พลั้งคำใด ๚ะ๛
14 สิงหาคม 2546 01:08 น.
อัลมิตรา
๏ นักเลียนเขียนมั่วบ้าง.............บางกาล
ใช่แผกแปลกบุราณ..................จักโจ้*
วิสัยทัศน์อาจสื่อสาร.................เสมือนหนึ่ง ปูเฮย
แม่ลูกเดินเร่โล้.........................โยกย้ายรายเรียง ๚
๏ นักลอกอาจเพ่งรู้...................ลักจำ
นักปราชญ์อาจอมพะนำ.............เนิ่นไว้
หวงแหนซึ่งรสคำ-.....................ความลึก-- ลับแล
ขอลอกเลียนแบบใกล้................ท่านผู้ครูโคลง ๚
๏ นักเลงโคลงไต่เต้า.................ไป่รา- มือเฮย
หลุมหล่มปลักอาจพา.................อกลื้น*
พลัดตกอาจโศกา......................ใจบอบ- ช้ำเฮย
เปรียบร่ำเรียนโคลงอื้น*.............มุ่งให้ครูสอน ๚
๏ นักเรียนกอบเก็จแก้ว..............คำกรอง
อันศิษย์หมายนบผอง-................ปราชญ์ผู้
เจียมตนยิ่งยังตรอง..................ตามท่าน- สอนนา
หวังเมื่อคราวรอบรู้....................จักได้ฉกาจตาม ๚
๏ นักเขียนเพียรร่ายร้อย.............โคลงเผย
ดุจรากจักงอกเงย.....................จากเหง้า
เปรียบหนึ่งหยดหมึกเคย............จารบท- โคลงนา
อาจเปลี่ยนจากมูลเค้า.................แปลกถ้อยแปลงสาร ๚
๏ นักโคลงจงข่มบึ้ง....................บางวัน
เพ่งคันฉ่องมองพลัน..................ทั่วหน้า
น้อมรับผิดคราวบรร-..................พชนปราชญ์- ติงเฮย
มิอวดตนกาจกล้า.......................โอ่ด้วยถือดี ๚ะ๛
7 สิงหาคม 2546 21:49 น.
อัลมิตรา
๏ ใครเอยใครเอ่ยเอื้อน............อวยคำ
แว่วเห่แว่วหวนฮัม...................ห่อนเว้น
จับจิตจับใจจำ.........................เจรียงจวบ- หลับนา
ฟูมฟักฟูมเฟื่อเฟ้น..................ใฝ่เฟื้อฟื้นฝัน ๚
๏ ฉันหลับใช่หลับคล้อย..........เคียงฉัน- ทาเฮย
คงกล่อมคำกล่อมอัน...............อื่นคล้อง
ยกอรรถยิ่งอัศจรรย์.................จรุงจิต
ใจเปี่ยมเต็มเปี่ยมพ้อง..............เพ่งเกื้อกูลเสมอ ๚
๏ ขอนบซบตักแล้ว.................ยอคุณ
ความเมตตาการุญ...................ชุบเลี้ยง
เกินกว่ารจนาดุลย์...................คำเปรียบ- เปรยนา
เพียงหยดนมหนึ่งเพี้ยง............กว่าท้องธารมหา- สมุทรเอย ๚
๏ กราบตักจักอ้างเท่า-.........เทียมพรหม
กราบอกยกคำชม................เทิดไหว้
กราบมือสื่อเทียมบรม..........ครูท่าน
กราบบาท-แม่มาดให้..........เลิศเพี้ยงอรหันต์ ๚ะ๛
5 สิงหาคม 2546 13:38 น.
อัลมิตรา
...สักวาคราที่ขี่หลังเสือ
แม้นสั่นเครือหวาดหวั่นอกขวัญหาย
อย่าด่วนโดดโผดเผ่นเพื่อเร้นกาย
อาจต้องวายชีวาถ้าพลาดลง
...แม้นทรงกายแสนยากลำบากจิต
หลังเสือนิดบิดตัวกลัวเจ้าคร่ง*
อาจขบกัดกายาชีวาปลง
ยังนั่งคงปาดเหงื่อบนเสือเอย ฯ