24 ธันวาคม 2546 22:47 น.
อัลมิตรา
มิติห้วงดวงมานแสนบรรเจิด
เป็นบ่อเกิดกลอนงามความอ่อนไหว
เรียงร้อยคำขับกล่อมย้อมจิตใจ
แสนสดใสสุขสมอารมณ์ตน
แม้นหลากหลายเรื่องราวคราวรังสรรค์
แฝงความฝันฝักใฝ่ไร้สับสน
ยังคงความรื่นรมย์สมกมล
บัลดาลดลจิตมั่นไม่หวั่นเกรง
มากมุมมองมั่นหมายไม่จมปลัก
แจ้งประจักษ์แก่จิตคิดถูกเผง
ส่งเสริมให้ร่ายเรียงดั่งเสียงเพลง
ที่บรรเลงกล่อมใจในทุกครา
กลั่นความแฝงกรองฝันอันวิจิตร
พากย์พิพิธจิตรการด้านภาษา
เก็บอารมณ์เรื่องราวคราวผ่านมา
ยังมีค่ามากครั้งยังจำเป็น
แม้นมุ่งมั่นการใดอันไร้โทษ
เป็นประโยชน์มากน้อยพลอยมองเห็น
ดั่งสายลมสายรักมักฉ่ำเย็น
ขับทุกข์เข็ญเศร้าโศกจากอกไป
คงคาดว่าคืนวันอันแปรเปลี่ยน
แม้นหมุนเวียนเหว่ว้าพาหวั่นไหว
ยังค้นหาอุดมการณ์อันวิไล
ตราบหัวใจยังรับเร่งปรับปรุง
อย่าข่มขืนวิสัยทัศน์พิลาสล้ำ
อย่าเหยียบย่ำเหยียดหยามความหมายมุ่ง
อย่าบั่นทอนบีฑาพา ลรรลุง*
อย่ากระทุ้งกระแทกจิตจนคิดคด
ขอเรียงร้อยร่ายเรียงเยี่ยงกล่อมโลก
ขอลืมโศกล้างเศร้าคราวปรากฏ
ขอสืบสานบทกวีที่งามงด
ขอละลดอัตตาอันบ้าบอ
ย้ำโคลงกานท์ฉันท์กาพย์อันจับจิต
ย้อนความคิดมุมมองตรองหัวข้อ
โยงศัพท์เสียงอักษรส่งคงเพียงพอ
ไยย่อท้อ ?ฤๅท่านนั้นวางมือ
อุดมการณ์ด้านกวีมีหลากหลาย
แม้นบรรยายคงยากหากยึดถือ
ล้วนลึกล้ำลีลาถ้าฝึกปรือ
สมควรฤๅถ้าท่านสิ้นจินตนาการ ? ๚ะ๛
20 ธันวาคม 2546 00:07 น.
อัลมิตรา
๏ ปราชญ์โบราณท่านนั้น.......พลันสอน สั่งแล
ดุจดั่งคำอวยพร.....................ก่อนให้
เขียนตามกฎเกณฑ์กลอน........โคลงเก่า
ให้เล่าเรียนเพียรไว้.................เปลี่ยนถ้อยงดงาม ตามพยางค์ ๚
๏ เขียนกลอนโคลงบ่งชี้..........ความนัย
จิตซึ่งขบคิดไป.....................แผกถ้อย
แตกต่างยิ่งหลงใหล...............ร่ายพจน์
อิงบทพลางรจน์ร้อย...............อย่างย้ำให้สม- ใจเอย ๚ะ๛
ปราชญ์โบราณท่านนั้นพลันสอนสั่ง
แลดุจดั่งคำอวยพรก่อนให้เขียน
ตามกฎเกณฑ์กลอนโคลงเก่าให้เล่าเรียน
เพียรไว้เปลี่ยนถ้อยงดงามตามพยางค์
เขียนกลอนโคลงบ่งชี้ความในจิต
ซึ่งขบคิดไปแผกถ้อยแตกต่าง
ยิ่งหลงใหลร่ายพจน์อิงบทพลาง
รจน์ร้อยอย่างย้ำให้สมใจเอย ๚ะ๛
19 ธันวาคม 2546 17:14 น.
อัลมิตรา
ชื่อกลบท ริ้วธงสะบัดไหว...
บัญญัติคือ หน้าวรรค... ธงนำริ้ว
ส่วยท้ายวรรค... สะบัดสะบิ้ง
ใกล้ใกล้นักมักจะกระทบกระทั่ง
ขื่นขื่นขังข้อข้องระหองระแหง
ค่อยค่อยคุยค้าคบประจบประแจง
ง่ายง่ายแปลงเงื่อนปรับประคับประคอง
18 ธันวาคม 2546 16:38 น.
อัลมิตรา
โอ้มวลดอกรักพรรณราย
คาดหมายควรให้ใคร่หา
นำร้อยมาลัยมาลา
ร่วมเรียงเคียงค่ามาลี
ยามดอกออกบานพรรณพร่าง
งามล้ำสำอางจริงนี่
ห้าแฉกแตกโตโสภี
ดอกมากหลากมีที่ปอง
สีม่วงช่วงช่อคลอคู่
เพ่งดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง
รื่นรมย์สมใจใคร่จอง
นำร้อยสร้อยคล้องต้องตา
สีขาวราวสังข์บังเกิด
ผ่องพรรณบรรเจิดนักหนา
รับแสงแข่งสีสุริยา
มุ่งมาดปรารถนามาเชย
สูงนักจักโน้มชมชื่น
ดาษดื่นดังที่กวีเผย
ร่ายกลอนอ้อนคำพร่ำเปรย
เอื้อนเอ่ยเฉลยดั่งหวังใจ
อย่าด่วนโรยราผละต้น
ด้วยกมลมุ่งมั่นฝันใฝ่
เอื้อมมือเด็ดดังตั้งใจ
มิให้ชอกช้ำก้ำเกิน
ดอกรักหากร้างโรยล่วง
แสนห่วงรักร้างห่างเหิน
หัวใจคล้ายดับยับเยิน
วิตกงกเงิ่นเกินทน
ขอความรักข้า ฯ สมานฉันท์
จงมั่นสัมฤทธิ์อิฐผล
อิงแอบแนบอยู่คู่ตน
ตราบฟ้าธราดลป่นเอย ฯ
18 ธันวาคม 2546 11:24 น.
อัลมิตรา
มิติแห่งการเห็นเกิดเป็นภาพ
บนระนาบที่เหมือนมิเคลื่อนไหว
ถูกส่งผ่านแผ่นกรองของจิตใจ
เพื่อนำไปสะสมอารมณ์ตน
อาจหกหายหลายสิ่งที่ทิ้งขว้าง
ก่อนเคว้งคว้างอยู่กับความสับสน
แล้วระหว่างคืนวันอันวกวน
เราย่ำบนความเขลาของเราเอง
กี่มุมมองมืดมนจนจมปลัก
ดิ้นขลุกขลักขืนทำอย่างคร่ำเคร่ง
เสียงตอบของความหวังจึงวังเวง
หลังละเลงรอยบาปคราบน้ำตา
กี่ครั้งที่ภาพสะท้อนน่าย้อนคิด
ถูกปกปิดสูญเปล่าเพื่อเอาหน้า
กี่บทเรียนบนทะเลกาลเวลา
ถูกลดค่าเหลือแค่รอยแผลเป็น
เมื่อแน่วแน่ในนามของความเขลา
ยึดอัตตาตัวเราเท่าที่เห็น
ป่วยการพล่ามเพ้อพร่ำว่าลำเค็ญ
ทุกยากเข็ญนั่นคือฝีมือใคร
ก็ขาดเพียงความพร้อมจะยอมเปลี่ยน
จึงวนเวียนหว่างวันอันเหลวไหล
ดิ้นรนหาฝันดีจากที่ใด
ตราบเราไม่ยอมรับการปรับปรุง