15 ตุลาคม 2546 14:21 น.
อัลมิตรา
...พระจันทร์งามยามที่ฤดีเหงา
ทอดแสงเงาเฉิดฉายคล้ายเป็นเพื่อน
พอเมฆาบดบังเหมือนร้างเลือน
เคยแจ่มเดือนเหมือนแสร้งแอบแฝงพลัน
...จะเหลียวมองหาใครก็ไม่เห็น
ลมหนาวเย็นเหน็บหนาวจากเขาขัณฑ์
ช่างโดดเดียวเหลียวมองต้องจาบัลย์
คงโศกศัลย์หลงพร่ำยามไร้เดือน
...เมื่อคืนวันผันไปไม่เหมือนก่อน
เพียงนึกย้อนความเก่าเศร้าคงเหมือน-
ติดตรึงตราเคยเคียงเยี่ยงย้ำเตือน
มิลบเลือนจิตหมายได้ใกล้เธอ
...แม้จันทร์ลับจากฟ้าคราคืนนี้
หลากดาวมีแสงจ้าอย่าเพลินเผลอ
ฝากความรักไมตรีมีให้เธอ
อย่าให้เพ้อฝันใฝ่ยามไร้จันทร์
14 ตุลาคม 2546 21:24 น.
อัลมิตรา
๑.
โอ้เจ้าช่างสิ้นหวังดั่งพ่ายแพ้
ความอ่อนแอครอบคลุมสุมใจหรือ
ไร้วิเคราะห์ใคร่ครวญด่วนวางมือ
ไม่ยึดถือความจริงสิ่งใดเลย
๒.
ไยไม่ฟื้นตื่นตัวหรือกลัวเล่า ?
หรือโศกเศร้าเข้าสิงจึงนิ่งเฉย ?
ล่วงคืนวันนานเนิ่นจนเกินเลย
ดุจคุ้นเคยคร่ำครวญรัญจวนใจ
๓.
โอ้เจ้าช่างเด็ดเดี่ยวเชียวหนอเจ้า
จึงมัวเฝ้าฝืนช้ำอีกร่ำไห้
คงจะมีเหตุผลอันดลใจ
ประการใดจึงดื้อดั่งถือดี
๔.
ความพอใจเช่นนี้ไม่ดีแน่
อาจพ่ายแพ้ร่ำไรคล้ายไฟจี้
เหมือนเล่นไพ่หมายคว้าราชินี-
ผู้ที่มีเพชรพลอยคอยเพ่งความ
๕.
อย่ามัวมุ่งหมายมั่นไพ่นั้นนัก
เกรงเจ้าจักหมดตัวจึงมัวห้าม
เจ้าหนูเอ๋ยจะเฉลยให้รู้ความ
ที่ห้ามปรามเปรียบดั่งผู้หวังดี
๖.
ราชินีแห่งเพชรฤทธิ์เดชมาก
จักฉุดลากลงทัณฑ์พลันป่นปี้
ทั้งแส้หวายหางกระเบนเห็นมากมี
โอกาสดีนางจักเฆี่ยนให้เจียนตาย
๗.
เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือ
สิ่งยึดถือไขว่คว้าก่อนจะสาย
ราชินีแห่งรักจักคลี่คลาย-
ความแพ้พ่ายเดิมพันเป็นมั่นคง
๘.
ณ บัดนี้ข้าคิดไม่ผิดนัก
แจ้งประจักษ์ความจริงสิ่งประสงค์-
อันประณีตยิ่งนักหากจำนง
วางอยู่ตรงโต๊ะข้าวของเจ้าเอง
๙.
คำเปรียบเปรยเช่นนี้พินิจเถิด
จักบังเกิดสุขสมใช่ข่มเหง
อันสิ่งดีไขว่คว้าอย่ากลัวเกรง
จงรีบเร่งขวนขวายได้ครอบครอง
๑๐.
แต่เจ้ายังกังวนสับสนอยู่
ช่างอดสูสิ้นหวังดั่งหม่นหมอง
ยังเพ้อฝันใจฝืนยืนเมียงมอง
สิ่งลอยล่องเกินใฝ่วิสัยตน
๑๑.
โอ้เจ้าช่างเด็ดเดี่ยวเชียวหนอเจ้า
อันวัยเยาว์ที่หวังดั่งไร้ผล
ไม่อาจย้อนเวลามาให้ยล
คืนวันพ้นเกินพร่ำนำกลับมา
๑๒.
ความเจ็บปวดรวดร้าวที่เร้ารัด
ความอึดอัดหิวโหยโดยหนักหนา
ควรยอมรับสภาพนั้นด้วยปัญญา
เร่งค้นหาความจริงอย่าชิงชัง
๑๓.
เสรีภาพ .. โอ้นี่ เสรีภาพ..
คงเป็นภาพน้ำคำที่พร่ำหวัง
เครื่องผูกมัดรัดรึงประหนึ่งยัง-
เฝ้าคุมขังตัวเจ้าให้เศร้าใจ
๑๔.
มันกำลังเดินผ่านกาลแปรเปลี่ยน
โลกหมุนเวียนเปลี่ยนสีที่สดใส
เป็นเทาทึบท่วมทันจนล้นใจ
ผ่านโลกไปลำพังอย่างวางมือ
๑๕.
สองฝ่าเท้าของเจ้าคราวเหยียบย่ำ
ไม่ชอกช้ำเหน็บหนาวรวดร้าวหรือ ?
ยามเหมันต์พลันเดินเพลินชำงือ*
ยังขืนดื้อเยื้องย่างอย่างเดียวดาย
๑๖.
อีกท้องฟ้าไม่โปรยโรยหิมะ
สุริยะปราศแสงแดงเฉิดฉาย
เกินวิเคราะห์สภาวะอธิบาย
เกินคาดหมายราตรีหรือทิวา
๑๗.
เจ้ากำลังสูญสิ้นจินตภาพ
ไม่รับทราบเรื่องราวที่เฝ้าหา
อันดีชั่วปานใดไม่พิจารณา
กลับไร้ค่าเพียงความชอกช้ำทรวง
๑๘.
ปล่อยคืนวันกาลพ้นจนลับหาย
ยังฟูมฟายโศกเศร้าราวใหญ่หลวง
หมดสิ้นแล้วสรรพสิ่งจริงหรือลวง
เกินตามทวงให้คืนยืนชำงือ*
๑๙.
โอ้เจ้าช่างสิ้นหวังดั่งพ่ายแพ้
ความอ่อนแอครอบคลุมสุมใจหรือ
ไร้วิเคราะห์ใคร่ครวญด่วนวางมือ
ไม่ยึดถือความจริงสิ่งใดเลย
๒๐.
ไยไม่ฟื้นตื่นตัวหรือกลัวเล่า ?
หรือโศกเศร้าเข้าสิงจึงนิ่งเฉย ?
ล่วงคืนวันนานเนิ่นจนเกินเลย
ดุจคนเคยคร่ำครวญรัญจวนใจ
๒๑.
จงลงมาจากรั้วนั่นเสียเถิด
อย่าเตลิดลุ่มหลงตรงสิ่งไหน
เร่งทำตามสมจินต์ตัดสินใจ
มุ่งก้าวไปเปิดประตูสู่ความจริง
๒๒.
แม้นฝนตกฟ้าร้องคะนองอยู่
อยากให้ดูความงามตามแอบสิง
คือสายรุ้งพุ่งฟ้าสง่าอิง-
ช่างเพริศพริ้งแพรวพรายให้ชื่นบาน
๒๓.
เจ้าควรหาผู้หนึ่งซึ่งหวังดี
มีไมตรีเปี่ยมภักดิ์สมัครสมาน
แม้นผู้ใดหมายรักประจักษ์นาน
จงรับการหวังดีที่มีมา
๒๔.
อย่านิ่งเฉยเฉื่อยชาและล้านัก
อันความรักงดงามล้ำหนักหนา
ครั้นวันคืนล่วงลับดับชีวา
รีบค้นหาหัวใจก่อนสายเกิน ฯ
12 ตุลาคม 2546 21:31 น.
อัลมิตรา
จากไม้ขีดก้านหนึ่งซึ่งถูกจุด
ผลสิ้นสุดแค่คืบหรือสืบสาน
อาศัยเพียงสภาวะปณิธาน
บวกกับการสร้างเสริมเติมปัจจัย
(จากไม้ขีดหนึ่งก้านครั้นถูกจุด
คงไม่สุดที่แสงแดงน้อยใหญ่
ดุจดังจิตมุ่งการณ์งานอันใด
ครั้นใส่ใจจะเสร็จสำเร็จพลัน ฯ)
12 ตุลาคม 2546 21:20 น.
อัลมิตรา
หมอกทอริ้วลอยเรี่ยเคลียน้ำค้าง
เมื่อแสงสางสาดไล้โลมใบหญ้า
พุดตานคลี่กลีบขาวดูพราวตา
ก่อนเดียงสาจะเติมสีทีละนิด
คือโลกส่งสัญญาณการเริ่มต้น
ในวังวนแห่งนิยามความถูกผิด
เป็นเรื่องราวครรลองของชีวิต
ให้ฉุกคิดทุกคราวลมหนาวเยือน
กับเวิ้งฟ้าสีฟ้าน่าวาดฝัน
มีเหมันต์เยียบเย็นคอยเป็นเพื่อน
ภาพแห่งความสุขสงบยากลบเลือน
เปรียบเสมือนเวทมนต์ดลจิตใจ
ความรุ่มร้อนผ่อนคลายระบายโศก
ห่างจากโลกเร่งรีบชีพหวั่นไหว
อ้อมกอดของขุนเขาลำเนาไพร
ปลอบเราให้หายท้อพอสมควร
จนเรี่ยวแรงเริ่มฟื้นคืนความกล้า
ลืมอ่อนล้าระหว่างวันอันผันผวน
เอาบทเรียนความหลังนั่งทบทวน
ถอดโซ่ตรวนที่มันพันธนา
ดอกพุดตานบานลออล้อลมหนาว
กลีบสีขาวหมาดน้ำค้างกลางแดดจ้า
เปลี่ยนเป็นสีชมพูดูยวนตา
โดยเดียงสาซึ่งเติมเพิ่มตามกาล
10 ตุลาคม 2546 13:40 น.
อัลมิตรา
๑.
นกเถื่อนแห่งฤดูร้อน
พากันมาเกาะตรงขอบหน้าต่าง
ส่งเสียงจู๋จี๋ .... จู๋จี๋
แล้วก็บินต่อไป
ส่วนใบไม้สีเหลืองแห่งฤดูใบไม้ร่วง
ซึ่งเงียบงันโดยวิสัย
ปลิวว่อนแล้วหล่นลงตรงนั้น
พร้อมด้วยการทอดถอนใจ
๏ คิมหันต์มีนกน้อย-...........ไพรพงษ์
บินร่อนดูอาจอง....................ยิ่งแล้ว
เกาะหน้าต่างเสียงหลง............เพรียกเสนาะ- ยิ่งเฮย
หายเหนื่อยจึงบินแคล้ว-..........เร่ร้างแรมไกล ๚
๏ ใบไม้แห่งป่าครึ้ม................ยามเห- มันต์เฮย
เหลืองเรื่อดูถมเถ...................ใหญ่น้อย
เงียบงันยิ่งรวนเร...................อัตตภาพ
ปลิวว่อนต่างเศร้าสร้อย...........เกลื่อนพื้นปฐพี ๚ะ๛
๒.
โอ้, ผู้ท่องไปทั่วโลก
โปรดประทับรอยเท้า
ลงบนถ้อยวาทีข้าด้วยเถิด
๏ โอ้หนอ..ท่านผู้เที่ยว...........พเนจร
ได้โปรดฟังคำวอน..................ใช่บ้า
ขอจงฝากอนุสรณ์...................รอยบาท- ท่านนอ
ประทับ ณ ตรงพจน์ข้า ฯ.........ต่างหน้าแทนตน ๚ะ๛
๓.
น้ำตาธรณี
ชโลมรอยยิ้มให้แย้มบาน
๏ สายธารแห่งภาคพื้น...........ธรณี
บ่อเกิดแห่งสุนทรีย์..................มากพ้น
รวมเป็นหนึ่งแห่งนที...............มหาสมุทร
สรรพสัตว์ชมื่นล้น..................หล่อเลี้ยงสุขเสมอ ๚ะ๛
๔.
ทะเลทรายมหาศาล
ปรารถนาความรักจากใบหญ้า
ผู้ไกวยอด เริงสำรวล แล้วก็ด่วนจากไป
๏ ทะเลทรายตั้งมั่น...............ปรารถนา
คงมั่นสิเนหา.........................ห่อนร้าง
ยลหญ้าเพริศโสภา..................ส่ายสะบัด
ไกวยอดก่อนคลาดคว้าง..........ห่างให้กำสรวล ๚ะ๛