24 กันยายน 2545 07:38 น.
อัลมิตรา
๑.
.....หวีดหวิวทิวทุ่งท้อง-.........................นาครวญ
ลมแผ่วแนวรวงรวน...........................เลื่อมแล้
เรียงรายหมายชมชวน.........................เฉียดช่อ งามเฮย
เหลืองเรื่อเฝือชะแง้.............................แต่ล้ำงามจริง ฯ
๒.
.....หลากพันธุ์พฤกษ์พืชน้ำ...................ตามนา
อวดดอกออกงามตา..............................แต่งแต้ม
พังพวยช่วยประดา...............................ประดับทุ่ง
บานเบ่งเกรงกลีบแง้ม..........................แช่มต้องหมองลม ฯ
๓.
.....หากหรีดหริ่งร่ายร้อง........................ดองเสียง สดับเทอญ
เพรียกแผ่วแนวรวงเรียง......................เยี่ยงเย้า
ทำนองถ่องจิตเพียง...............................ฉันท์เฉิด
ดังดุริยางค์เร้า......................................เร่งร้องผองเพลง ฯ
๔.
.....ชายตาคราย่ำเท้า............................คราวเยือน
ลมล่องมองดาวเดือน............................เคลื่อนคล้อย
สกาวสะเก็ดเตือน................................เดือนหล่น หลีกฤา
พวยพุ่งจรุงชม้อย.................................ชมื่นฟ้าครารัต- ติกาล ฯ
๕.
.....บรรจงตรงสู่ท้อง.............................ธารใส
บัวเผื่อนเหมือนเตือนใจ.....................ใฝ่คว้า
เหลืองหลากมากวิไล...........................หลบกลีบ งามแฮ
คงเบ่งบานระย้า..................................รุ่งเช้าอรุณฉาน ฯ
๖.
.....พิศม์เพียงเมียงแล้วย่ำ.....................บทจร
จำจากหากอาวรณ์................................ก่อนร้าง
กาลผันผ่านพลันคลอน.........................แคลนจิต เราฤา
ภาพทุ่งผดุงอ้าง....................................ห่างให้หวลหา ฯ
๗.
.....ห่างเหิรหาบหอบหิ้ว..........................หันหา- เฮือนแฮ
หายห่วงหุนหันฮา..................................แหบแห้ง
โหยหิวฮวบฮาบหา................................( อา )หารห่อ
หาห่อนหวงหับแฮ้ง................................หัทย์ฮ้างหรรษ์เหือน ฯ
๘.
.....ห่าง....ไกลหมายผ่านท้อง-.................นาถวิล
หาย.....ลับกลับยลยิน............................เยี่ยมใกล้
โหย.....หา กว่าจิตผิน-...........................ผกแผ่ว ดับนา
หา.....จิตคิดครวญให้............................ใฝ่ต้องจินต- นาการ ฯ
...มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า...
23 กันยายน 2545 07:57 น.
อัลมิตรา
เพื่อนมากมายคล้ายดั่งดาวพรั่งพราว
ไม่เหน็บหนาวร้าวรอนหรือนอนขม
แสนจริงใจใครพบประสบชม
เอื้อนคารมชมจันทร์พรรณราย
.....สาย...เอยสายหยุดย้ำ.....................ความหอม
สาย...บ่ายหมายเด็ดดอม......................กล่อมน้อง
สาย...รักจักถนอม................................ดอมดอก งามเฮย
สาย...สวาทมาตรรักษ์คล้อง...................ถ่องแท้แน่ความ ฯ
.....ใจ...เดียวหาเปลี่ยวร้าง....................ไกลกัน แม่เอย
ใจ....เกี่ยวหาเสี้ยวจันทร์........................ผ่านฟ้า
ใจ...เจิดดุจจันทร์พรรณ........................พราวพร่าง- เพ็ญนอ
ใจ...พี่มิอ่อนล้า......................................ตระหง่านตั้งยังงาม ฯ
.....สัม...ผัสอาจรู้ยิ่ง...............................จริงใจ แม่เอย
สัม...ปยุตดุจจันทร์ไกล..........................ลิ่วฟ้า
สัม...ปรายภพใด..................................จักเกี่ยว- ดองแม่
สัม...พัทธ์อาจเทียมหล้า.........................มั่นฟ้าศศิธร ฯ
...พันธ์...ผูกสุขกล่อมน้อง.......................ครองเคียง
พัน...ร่ำคำผูกเสียง................................เยี่ยงเย้า
พัน...ใจใคร่เรียงเพียง..........................หวานชื่น จิตนา
พันธ์...ยิ่งผูกจิตเข้า................................ชิดใกล้หมายเคียง ฯ
23 กันยายน 2545 07:46 น.
อัลมิตรา
...เคียงคลอพินอเน้า..........................อุระเฝ้ามิเซาซม
อิงกายหทัยสม...................................สละตรมระบมใจ
...เรื่องราวมิเข้าการ...........................ทรมานผสานใด
จักร้างมลางไกล.................................ขณะใกล้วิไลนวล
...อกเอยสิเปรยอ้าง...........................กวิอย่างระหว่างสรวล
เป็นฉันท์ประพันธ์ถ้วน......................มนะชวนกระบวนคำ
...ร่ายเรียงเผดียงแล้ว.......................ดรุณ์แก้วมิแคล้วคำ-
นึงคิดจริตนำ.....................................อุระย้ำสิพร่ำวอน
...บทใดสยายพจน์.............................เสนาะโสตจะโปรดกลอน
ฤาฉันท์ฉะนั้นก่อน............................พธุค้อนรึอ้อนอาย
...เคียงพี่มิลี้พราก...............................ผิว์ละจากสิหักใจ
หากสิ้นถวิลไป....................................ชิวะหมายสิตายตาม ฯ
22 กันยายน 2545 21:40 น.
อัลมิตรา
สดายุ ..
๑แม่คุณเอ๋ยเผยคำทำให้รู้
ว่าอยู่อยู่แม่พลันถลันหาย
เรียงร้อยเรื่องเคืองขุ่นดูวุ่นวาย
ด้วยหญิงชายหลายแหล่คอยแห่ความ
๒เหมือนแก๊งค์ก๊วนชวนฮาอุราชื่น
คอยหน้ายื่นรื่นล้อต่อถ้อยถาม
มีเวลามาเที่ยวเลาะเลี้ยวตาม
เฉาะนงรามยามหมายจะได้ยล
๓ปริมาณการประพันธ์นั้นเห็นมาก
และคอยฝากปากดีวาทีผล
กลอนห่วยแตกแปลกหนอประจ๋อชม
ดูพร่ำพรมลมหวานไม่คร้านเลย
๔ดูสัมผัสนอกในกระไรนั่น
มิสัมพันธ์หั่นรสสลดเผย
ไม่แนะนำคำเตือนเหมือนละเลย
หากเฉลยเคยคุ้นไม่ขุ่นใจ
๕จะบอกเจ้าสาวน้อยแม่กลอยจิต
กานท์ประสิทธิ์พิศลงที่ตรงไหน
จะสังสรรค์พันพัวสุมหัวไย
ชอบหรือไรใยยาวเขาสาวมา
๖หากวางจิตสนิทลงตรงการเขียน
สะอิดเอียนไม่เปลี่ยนมาเวียนหา
สมาคมรมตัวระรัวทา
ถึงคราวคราขัดถ้อยจะพลอยตรม
๗วิสัชนาพาตัวเข้ามัวหมอง
ผองรุมปองพ้อง-ชัง-คลั่งผสม
ต่างเทือกเถาเหล่ากอมาล้อรม
ทั้งคำคมลมเดือดเชือดบาดใจ
๘บ้างอารมณ์จมป่วยด้วยบาดแผล
แต่น้อยแท้แม่พ่อก่อทิ้งไว้
อยู่ใต้จิตปิดผนึกลึกใต้นัย
พล่านเมื่อไรไฟทรามจะลามมี
๙หากว่านิ่งหญิงชายยากกรายหาม
มาล่วงลามความลวนไม่ควรที่
เหตุต้องหลบสบหน้าต่อวาที
คงไม่มีปรี่มาคอยท้าทาย
๑๐เรื่องเพียงนี้ที่ทำเจ้าช้ำจิต
ฤาจริตไหวอ่อนสะท้อนหาย
เปรียบเหมือนผงตรงหน้าปลิวฝ่ากาย
ยามลมชายกรายแลบทำแสบตา
๑๑ยามฟังร่ำคำพาลสาธารณ์ถ้อย
ก็ปัดปล่อยลอยผ่านอย่าควานหา
หากพูดชอบตอบกลับจับอุรา
ค่อยคบหาพาร้อยมาคล้อยคำ
๑๒เห็นสามารถอาจองประจงร้อย
โคลงน้องน้อยพลอยชื่นรื่นถลำ
ตัวก็เด็กเล็กนักประจักษ์ทำ
ฝีมือล้ำเลิศนักอักษรา
๑๓มีอารมณ์คมกวีฤดีเปี่ยม
ปฏิพานปานเทียมยากเยี่ยมหา
เจ้ามาหายกรายจากจำพรากลา
ฤาจะหาใครล้อคอยต่อกลอน
๑๔ที่มองเห็นเป็นตัวนับหัวได้
ดูยากไร้ให้ยากเหมือนลากขอน
ไม่มานะจะแจ้งคิดแต่งตอน
เห็นวนว่อนคอนคำดูร่ำไร
๑๕หนังสือหาพาพานไม่อ่านจับ
ไม่สดับรับรองประคองไว้
เสียเวลาพาเบือนแต่เชือนไป
เถลไถลใฝ่มั่นสันทนา
๑๖ไม่ชอบอ่านพานพาวิชาว่าง
จะใส่วางกางถ้อยก็ด้อยว่า
เมื่อจารจดรสน้อยถอยราคา
แล้งคุณค่าหาคนยากสนใจ
๑๗นิสัยไทยไม่อ่านคร้านจะพูด
ความรู้ปูดขูดเขม้นไม่เห็นไหน
ชอบนินทากาเลคอยเร่ไป
ให้เหนื่อยใจไร้คำจะย้ำชม
๑๘แต่อยู่นี่ปรี่มาก็หาได้
เห็นแวะเวียนเปลี่ยนใฝ่กันให้ขรม
ไยที่โน่นโจนจากฝากระทม
ให้ใครข่มจมได้ไม่เข้าที
๑๙ใช่ว่าใครใฝ่จองเป็นของเขา
สิทธิ์ของเราเหย้าเยือนเหมือนน้องพี่
ฤามีพาลหาญอาจมาวาดวี
จึงนารีลี้สบมาหลบกาย
๒๐เห็นดักไว้ให้รับคำนับท้า
ต่อกลอนมาพาครบจบบทหมาย
ก็ลองเขียนเพียรแต่งให้แจ้งคลาย
ไม่ถึงตายวายชนม์คนชอบกลอน
๒๑ยี่สิบสองปองเล่าเจ้าเขียนจด
โถร่ายรดบทช้ำคำสะท้อน
ยามอ่านเห็นเอ็นดูรู้ตามตอน
แม้นขุนแผนแล่นมาย้อนไม่ผ่อนคำ
๒๒ขึ้นกระทู้ดูใหม่ไฉไลกว่า
ยาวเกินว่าพานานยามอ่านย้ำ
อย่าเครียดหนาอุราร้อนผ่อนระกำ
อย่าชอกช้ำคำคมคารมใคร
***********************************
อัลมิตรา ...
๑ ท่านพี่เอ๋ยน้องเผยไปหมดสิ้น
มิเล่นลิ้นซ่อนแง่หลายความหมาย
ในบทกลอนทุกตอนที่ย่างกราย
ล้วนจากใจกลั่นได้เค้นออกมา
๒ มิทราบความใครตามกวนให้ป่วนจิต
เขียนท้าความเนื่องนิจบทภาษา
มากลั่นแกล้งแสร้งให้ช้ำเหลือคณา
เกินจะเอ่ยเอื้อนออกมาเป็นคำกลอน
๓ ในประพันธ์ผันผ่านก็อ่านอยู่
หลายกานท์กลอนนั้นก็รู้มิใช่สอน
ไม่สัมผัสกันเลยในวรรคตอน
เหมือนคนจรหัดเขียนเรียนไม่เป็น
๔ บ้างดูแปลกแตกเหล่าเล่าไม่จบ
บ้างน่าคบบ้างจงห่างตามที่เห็น
หากเติมแต่งไปบ้างอย่างจำเป็น
ด้วยเล็งเห็นมิตรภาพตราบดวงใจ
๕ มีคนแวะมากมายมาทายทัก
หลายคนปักคารมอันอ่อนไหว
อัลมิตราเขียนกานท์กลอนสะท้อนไป
หวังว่าใครได้รู้กู่ความจริง
๖ ได้วางจิตสนิทแล้วเกลอแก้วพี่
มาตรงนี้เพื่อตั้งหลักใจให้หยุดนิ่ง
รักษาใจไม่ก้าวร้าวไม่ประวิง
หยุดทุกสิ่งที่กระทบทำนบใจ
๗ หากปุจฉาถามมาจะว่าตอบ
ด้วยรักชอบการขีดเขียนจึงหวั่นไหว
ค่าอักษรายิ่งใหญ่นักเหนือกว่าใด
กลั่นออกไปเรียบเรียงเผดียงกลอน
๘ เจออารมณ์ปั่นหัวให้มัวจิต
เหมือนดั่งพิษแผลร้ายจากคันศร
มุ่งหมายให้สำเร็จโทษทัณท์จากจร
ยังใจอ่อนสะท้อนรุ่มกลุ้มเหลือเกิน
๙ หลากหญิงชายกรายย่างเข้ามาหา
ฝากวาจาจำเรียงไว้ให้ขวยเขิน
ต้องเก็บใจฝากบทกลอนให้เผชิญ
ความร้าวรานคงมีเพิ่มทุกคืนวัน
๑๐ เรื่องแค่นี้มิได้ช้ำอย่างที่คิด
เพราะจารจำจุมพิตเริ่มก่อนนั้น
มาบานปลายให้คลายแค้นดับตะวัน
เข้าห้ำหั่นฟาดฟันพาลบรรลัย
๑๑ มิอยากให้ควันไฟนั้นลามทุ่ง
จำใจมุ่งหักใจออกจากได้
กลับมาถิ่นพำนักรักษาใจ
เพื่อกล้าแกร่งคงจะได้ร่ายกานท์กลอน
๑๒ ขอบคุณพี่ที่ได้ช่วยนำจิต
หว่านคำนิดก็ชื่นใจสายสมร
อีกหลายครั้งที่แอบเห็นในบทกลอน
เหมือนดั่งสอนให้คิดจิตพิศเอา
๑๓ ยามเจ็บช้ำน้ำตาแทบพาลไหล
เหมือนดั่งมีพี่ชายช่วยคลายเหงา
เขียนกวีปลอบอ่านแล้วได้บรรเทา
ลืมความเศร้าความช้ำ..ฉ่ำฤดี
๑๔ อันครูโคลงสอนสั่งตั้งใจไว้
หากว่าไปทางใดจิตหมองศรี
ให้ยิ้มเถิดเจ้าลิงน้อยกลอยชีวี
อย่าได้มีเรื่องราวร้าวรานเลย
๑๕ รับคำสอนใส่เกล้ามาปกเกศ
ยามอาเพทร้ายรุ่มพี่ช่วยเผย
เหมือนอยู่ใกล้ชิดกันดั่งก่อนเคย
มาหยอกเย้ยให้ยิ้มเล่นเป็นเพื่อนกัน
๑๖ ด้วยชอบอ่านหนังสือถือเป็นใหญ่
มีความซ่อนอยู่มากมายที่ได้ฝัน
บางครั้งเก็บมาร้อยเรียงสุขใจพลัน
มาสร้างสรรค์ภาษาน่าภิรมย์
๑๗ ด้วยนิสัยใช่พาลไพรคล้ายนามแฝง
ยามสิ้นแรงแปลงกายเป็นลิงข่ม
อัลมิตราสาวน้อยใครชื่นชม
แปลงเป็นลิงเพราะใจบ่มขมเศร้านัก
๑๘ ประกาศลาไปแล้วพี่แก้วเอ๋ย
หากกลับคืนไปอย่างเคยให้คิดหนัก
ถ่มน้ำลายไปแล้วยั้งคืนพัก
ฤาจะทักทายได้อย่างไรกัน
๑๙ มิได้เป็นเช่นชายชายที่หนักแน่น
แข็งถึงแก่นแม้นนิ่มในหัวใจฉัน
บ่งบอกร้าวกร้าวลั่นจำลาพลัน
ฤาจะหันกลับไปให้ฟังความ
๒๐ ด้วยว่ามีศักดิ์ศรีกวีแก้ว
บอกลาแล้วมิเห่กลับอย่าทักถาม
ถึงชอกช้ำยังยืนยันทุกสิ่งตาม
จะยั้งห้ามหัวใจให้คิดมัน
๒๑ แม้นขุนแผนแสนสะท้านมาบอกจิต
มาลิขิตเขียนเขียนเผดียงฉันท์
จำลาลับดุจดั่งพรากนับชั่วกัลป์
ใจมิพรั่นตอบไปให้รู้ดี
๒๒ ตอบกระทู้ดูให้ดีนะพี่ท่าน
เขียนกลอนกลั่นจากดวงจิตอันนิดนี่
ให้เข้าใจน้องเถิดนะพี่คนดี
ด้วยน้องมีเกียรติยศกำหนดใจ
22 กันยายน 2545 20:46 น.
อัลมิตรา
(๑)
ดาวจ๋าดาวขาวผ่องทองพันช่าง
ดาวอย่าร้างแรมเลือนเลื่อนลอยหาย
แม้นเมฆใหญ่เมฆน้อยลอยบังกาย
ดาวอย่าได้หมองมัวกลัวหมอกดำ
(๒)
ดาวจ๋าดาวคราวก่อนตอนวัยเยาว์
ค่ำคืนหนาวดาวพร่างยังจดจำ
ได้หมายปองเชยชื่นทุกคืนค่ำ
ทั้งร้องลำฉ่ำใจใต้แสงดาว
(๓)
ดาวจ๋าดาวคราวนั้นฉันจำได้
ดาวเจ้าใสสดส่องท้องฟ้าขาว
เจ้าพริบพรับวับแววแพรวสกาว
แม้เมฆขาวต้องหลบซบภูผา
(๔)
ดาวจ๋าดาวเจ้าล่องท่องฟ้าหนาว
ราตรียาวมืดมนคนหลบหน้า
มีบ้างไหมเหนื่อยกายเจ้าอ่อนล้า
เจ้าจันทราก็ซบหลบเจ้าไป
(๕)
ดาวจ๋าดาวเช้ารุ่งทุ่งสีทอง
ดาวเจ้าหมองมัวเมาเจ้าลับหาย
หรือเพียงเจ้าพักผ่อนบรรเทากาย
พอเริ่มสายก็หายวับกับแสงจันทร์
(๖)
ดาวจ๋าดาวเย็นย่ำคราวค่ำคืน
ดาวก็ตื่นสดใสได้ทอฝัน
ดาวรู้ไหมฉันเองก็เช่นกัน
เฝ้ารอวันหวนคืนผืนดินเรา
(๗)
ดาวจ๋าดาวคราวตอนก่อนจะจาก
น้ำตาพรากหลากไหลใต้ฟ้าเหงา
เพราะกลัวนักกลัวใจจะไร้ดาว
กลัวคืนหนาวไร้เจ้าคนเข้าใจ
(๘)
ดาวจ๋าดาวรู้ไหมใครครวญคร่ำ
ด้วยกลัวคำอำลาร้างแรมหาย
กลัวคืนห่างวันเหงาเจ้าเปลี่ยนไป
กลัวยามไกลใจเจ้าแปรเปลี่ยนเป็น
(๙)
ดาวจ๋าดาวเว้าวอนขออ้อนดาว
รู้ไหมเจ้าเช้ามาข้าทุกข์เข็ญ
เพราะรอเฝ้าเช้าค่ำถึงย่ำเย็น
กลัวไม่เห็นดาวเจ้าคราวค่ำคืน
(๙)
ดาวจ๋าดาวคราวนั้นฉันจำจด
น้ำตารดหลั่งไหลใจสะอื้น
เพราะเจ้าหายลับไปไม่หวนคืน
รุ่งเช้าตื่นไม่เห็นจนเย็นกลาย
(๑o)
ดาวจ๋าดาวรู้ไหมใจฉันครวญ
ด้วยจิตหวลโหยหาดาราใส
เพราะที่นี่ที่อยู่ผืนดินใหม่
ดาวก็ไร้จันทร์ก็หม่นบนนภา
(๑๑)
ดาวจ๋าดาวพราวแพรวแว่วในจิต
ดาวเจ้าคิดอย่างไรจึงหายหน้า
ด้วยเบื่อหน่ายกังวลบ่นระอา
หรือเพียงว่าฟ้าหม่นดลเจ้าลวง
(๑๒)
ฟ้าจ๋าฟ้าใสสางสว่างหน่อย
ด้วยข้าคอยปลอบเหงาเจ้าดาวดวง
ฟ้าอย่าหมองได้ไหมใจข้าห่วง
วันคืนล่วงผ่านมานภาหมอง
(๑๓)
ฟ้าจ๋าฟ้าเมตตาข้าสักหน
ด้วยอับจนหนทางสั่งฟ้าล่อง
จึงวอนฟ้าเป่าเสกเมฆสีทอง
ดาวอย่างหมองฟ้าอย่าเศร้าข้าเว้าวอน