11 พฤษภาคม 2547 16:35 น.
อัลมิตรา
..๏ คืนที่เพ็ญสุกสกาวดาวพร่างฟ้า
ช่างงามตาสวยสมภิรมย์ผอง
จึงวาดจินตนาการขานทำนอง
ร่ายกลอนพ้องตอบคำลำนำกวี
วสันต์สวาทมาตรว่าครารำลึก
ยังตราตรึกความทรงจำย้ำวิถี
ลมลู่ไม้แกว่งกวัดกระหวัดฤดี
นึกย้อนที่เคยเป็นเช่นก่อนกาล
ท่ามพนา..เราสองครองสุขสม
ต่างชี้ชมเพ็ญดาราคราผสาน
แสงเดือนส่องยวนใจให้เบิกบาน
เกินจักต้านอารมณ์ข่มภายใน
หนาวน้ำค้างพร่างพรมประโลมร่าง
พี่เคียงข้างกกกอดพลอดชิดใกล้
เย็นยะเยือกพระพายพัดคราใด
อบอุ่นไซร้ด้วยกายคล้ายแอบอิง
แว่วนกไพรขันคูคู่ขับเสียง
แจ้วจำเรียงดุจหยอกบอกนัยหญิง
แลหิ่งห้อยกระพริบแสงแข่งจันทร์จริง
สุขใจยิ่งยามเราเคล้าเคลียคลอ
ครั้นเมื่อถึงริมธารสนานสรง
พี่บรรจงอาบให้สุขใจหนอ
ผะแผ่วไล้เรือนร่างพลางพนอ
เชยชิดคลอชื่นชมดมเนื้อนวล
หอมผกาอื่นใดในโลกหล้า
เจ้าหอมกว่าพรรณใดใคร่คิดหวน
เนียนกว่าเนื้อนุ่มใดหมายรัญจวน
เจ้าเนียนล้วนละมุนกรุ่นทั้งกาย
เห็นเดือนยิ้มพริ้มพราวสกาวพร่าง
ดาวรายทางยังหยอกบอกแสงสาย
เรื่อเรืองฟ้างามผ่องพ้องจันทร์พราย
แลคลับคล้ายแอบมองคู่ครองเคียง
เฉกกินรีคนธรรพ์ประสานสอง
ร่วมประคองขับพิณศิลปะเสียง
บรรเลงคีตรักจักจำเรียง
กล่อมขวัญเยี่ยงห้องหอคลอพงไพร
ครั้งรุ่งสางรังสิมันตุ์สิฉายฉาน
คงตระการนวลอนงค์พี่หลงใหล
อยากเชยชิดสนิทน้องปองหทัย
เป็นคู่ไซร้ทุกภพสบชาติครอง ๚ะ๛
8 พฤษภาคม 2547 23:20 น.
อัลมิตรา
๏ กลิ่นกรุ่นละมุนฝน............และระคนธุลีดิน
เพรียกแผ่วพระพายยิล...........อุระสิ้นระทมตรอม
แว่วเสียงวสันต์พรำ................สิกระหน่ำและขับกล่อม
ดุจเพลงระบำพร้อม...............จิตย่อมระเริงตาม ๚
๏ ฟ้าฝนกมลชื่น...................ชระมื่นประพันธ์ความ
ร่ายฉันท์กวีงาม....................ดุจร่ำระบือไป
หวังเพียงนิพนธ์นี้.................ดรุณีสิเข้าใจ
ร่วมภักดิ์สมัครใน-................รติใกล้นิรันดร์กาล ๚
๏ ขับกล่อมถนอมนวล...........สุรสรวลสนุกนาน
ยินฝนและยลกานท์..............อุระซ่านภิรมย์จริง
อิงแอบและแนบเนื้อ..............มิจะเบื่อสิอ้างอิง
ดอกไม้ไสวกิ่ง.......................ผิว์กระดิ่งระงมดัง ๚
๏ แล้วพร่ำวจีอ้อน..................ขณะตอนพิรุณยัง
แซกเสียงกวีดัง......................สติตั้งกระจ่างใจ
เอื้อนเอ่ยเฉลยพจน์................มธุรสบุราณไทย
หวังน้องสิผ่องใส....................และสบายหทัยนาน ๚ะ๛
29 เมษายน 2547 16:38 น.
อัลมิตรา
..๏ โอ้มวลหมู่แมกไม้..................นานา พันธุ์เอย
พิกสิตผลิผกา.............................เกลื่อนคุ้ม
จรูงทิพย์กลิ่นยามา......................ยามเมษ
เชอร์รี่หลากกลุ่มซุ้ม....................เศวตแล้ชมพู ๚
..๏ เยาว์ยุพาเลี่ยงร้อน................สูริยา
เจ้าทัดเกศกรรณา......................ช่อแก้ว
สกาวพัสตร์ฤรัมภา......................เผลอผ่าน พิภพแฮ
แย้มโอฐอ่อนยุพาแผ้ว................ภาพย์ไร้มายา ๚
..๏ อ่านกลอนอมรศรี...............อุระปรีดิ์วจีวิทูร
เรืองดั่งสว่างสูรย์......................สุพิมลกระจ่างนภา
ทั้งเรื่องประเทืองหัว.................มธุกลั้วสุคนธ์ผกา
กล่อมเห่ทะเลจ๋า.......................สติบ้าประชดประชัน ๚
..๏ ขอขวัญทแกล้วหาญ............อริลาญระทดระทม
งานสารพันสม.........................ปณิธาณกวีมิวัญฌ์
มอบส่งอนงค์ขวัญ...................อภินันท์ลิขิตประพันธ์
ร้อยกานท์พิธานฉันท์..............ฤชุถ้อยพิศุทธิ์พิชาน ๚ะ๛
28 เมษายน 2547 15:39 น.
อัลมิตรา
วิปริตสันดานไอ้มารร้าย
มุ่งทำลายประเทศชาติบังอาจเหิม
ทั้งที่กินอยู่อาศัยได้ต่อเติม
โคตรเหง้าเพิ่มกลับมิตรึกสำนึกตน
คิดการชั่วปล้นฆ่าอาละวาด
เผาเกลื่อนกลาดโรงเรียนเหี้ยนทุกหน
ฟันคอพระยังทำได้ร้ายเต็มทน
มันเป็นคนหรือสัตว์..จัดกลุ่มที
ริกำแหงแบ่งเขตสมเพชนัก
เข้าหาญหักอวดกล้าบ้าบัดสี
เขากูลเกื้อรักกันเนิ่นนานมี
ไอ้เวรนี่ !..ดันยุแยกให้แตกพันธุ์
ถือกำเนิดในไทยแต่ใจผลาญ
ซ้ำคิดรานชาติเชื้อหน่อเนื้อนั่น
ทั้งที่กระดูกปู่ย่าตายายมัน
ฝังธาตุมั่นเป็นธุลีที่แดนทอง
ถึงเวลาแล้วหรือยังไทยทั้งชาติ ?
ร่วมพิฆาตมารร้ายให้คลายผยอง
แผ่นดินนี้ของใครได้ครอบครอง
ก็ล้วนผองพี่น้องเราโปรดเข้าใจ
ถึงเวลาแล้วหรือยังให้หยั่งคิด ?
สิ่งถูกผิดจากเหตุอาเพศใต้
ฤๅ จะปล่อยลุกลามทรามทั่วไป
จนมอดไหม้หมดสิ้นแผ่นดินเรา
25 เมษายน 2547 23:55 น.
อัลมิตรา
..๏ ยามขลุ่ยครวญพญาโศกให้อกหวั่น
แว่วรำพันผ่านเสียงสำเนียงหมาย
ด้วยคำนึงห่วงหาคราเดียวดาย
ถูกทักทายด้วยเศร้าเข้าเยี่ยมเยือน
ปากบรรเลงเพลงแผ่วใจแน่วแน่
นิ้วเปลี่ยนแปรเป็นเสียงเยี่ยงเชือดเฉือน
พญาโศกคร่ำครวญรัญจวนเตือน
ดั่งเค้าเงื่อนความหมายให้ตรอมตรม
ครั้งเก่าก่อนนอนแนบแอบอิงตัก
พร่ำคำรักเพลงหวานพลันสุขสม
เป่าขลุ่ยกล่อมคราวใกล้ให้อภิรมย์
ยังพลั้งชมเชยเจ้าดั่งเย้ายวน
นิ้วบรรเลงเสียงเสนาะไพเราะแล้ว
คงไม่แคล้วหันหน้ามาเสสรวล
เป่าเป็นเพลงลาวดวงเดือนเหมือนเชิญชวน
ฟังถ้อยถ้วนแห่งจิตติดตรึงตรา
สิ้นสำเนียงหมายกล่อมถนอมเจ้า
ยังใฝ่เฝ้าร่ายนิยามตามภาษา
ชมหมู่ดาวพราวเด่นเพ็ญนภา
จำนรรจาเป็นกวีที่เปรียบเปรย
สายลมเย็นแผ่วผ่านพลันหวั่นไหว
พลั้งเผลอใจหลงอดีตโอ้จิตเอ๋ย
แท้ความจริงอ้างว้างดั่งเช่นเคย
ลมรำเพยให้ตื่นฟื้นจากภวังค์
พญาโศกคงความย้ำความโศก
ดั่งลมโกรกพัดให้อาลัยหวัง
ด้วยคำนึงครวญคร่ำพร่ำลำพัง
อันความหลังรบเร้าเฝ้าหลอกใจ
แม้นพลัดพรากจากไกลไม่หวนกลับ
ยามตื่นหลับยังหวังดังฝันใฝ่
เกินหักห้ามสิเนหาและอาลัย
ด้วยเยื่อใยผูกพันนิรันดร์กาล ๚ะ๛