3 ธันวาคม 2547 08:12 น.
อัลมิตรา
๏ ขอ เทพไททั่วด้าว...............แดนสรวง
จง ปกปักษ์พระพ่อหลวง.........ปิ่นหล้า
ทรง พระเกียรติเถกิงปวง-........ปรปักษ์ ปลาตแฮ
พระ บารมีพระปิ่นฟ้า..............ปกฟ้าร่มเย็น ฯ
๏ เจริญ จิตจรัสจ้า...................พระเมตตา
ยิ่ง ยากเย็นเยือนพนา..............ธ บ่แพ้
ยืน ยงพระศาสนา..................ทั่วถิ่น ไทยเฮย
นาน พระนามมิเลือนแม้..........ผ่านพ้นหมื่นปี ๚ะ๛
ถวายพระพร เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชมหาราช
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าสมาชิกบ้านกลอนไทย
2 ธันวาคม 2547 00:51 น.
อัลมิตรา
..๏ สักวานักปราชญ์ราชบัณฑิต
ได้ครุ่นคิดพรรณนาอุทาหรณ์
ว่ามวลชนคนเขลาเหล่านิกร
จึงรีบร้อนเร่งรัดแออัดมา
ไม่ตรึกตรองมองเห็นเป็นเหตุผล
ต่างผู้คนวิ่งกรูดูแน่นหนา
สิ่งถูกผิดไม่คิดพิจารณา
ไร้ปัญญาพิเคราะห์ให้เหมาะความ
เช่นตัวฉันนั้นหนาคราลุ่มหลง
ไม่อาจปลงสิเนหาพาอกหวาม
บังเกิดจิตปฏิพัทธ์อาจลุกลาม
เป็นนิยามความรักประจักษ์ใจ
พบหลุมรักเธอแล้วไม่แคล้วตก
แม้นตระหนกว่าไม่เป็นเช่นฝันใฝ่
แต่ยังเผลอพาตนหล่นร่วงไป
คงพอใจคราวจิตนั้นติดตรวน
หากฉันยังนั่งอยู่ดูนิ่งเฉย
แล้วเปิดเฉยความในให้สอบสวน
ว่าเนื่องจากความจริงสิ่งทั้งมวล
แท้จิตล้วนถูกรักเข้ากักกุม
ด้วยเหตุนี้มีปริศนามาสอบถาม
ซึ่งเนื้อความถ้าฉันนั้นตกหลุม
รักเธอแล้วยังฉงนจนเคลือบคลุม
ยังร้อนรุ่มกังวลสับสนเกิน
ว่าบาปไหมใจเผลอรักเธอยิ่ง
แท้ความจริงยังละอายคล้ายขวยเขิน
ทั้งไม่อาจห้ามจิตคิดล่วงเกิน
ซึ่งดำเนินแผนการสานเยื่อไย
เปรียบสายธารละหานห้วงล่วงเลยแล้ว
คงแน่แน่วหลอมกระเซ็นที่เย็นใส
แล้วรวมเป็นหนึ่งมหาชลาลัย
แปรผันไปสู่ทะเลพื้นเพงาม
โอ้ที่รัก..ประจักษ์สิ่งที่จริงเถิด
ว่าบังเกิดเป็นธรรมดาอย่าเกรงขาม
บางอย่างนั้นต้องเป็นเช่นนิยาม
ไม่อาจห้ามสัจธรรมความเป็นจริง
จับมือฉันมั่นไว้ด้วยใจมั่น
ความผูกพันธ์ประสานสุขในทุกสิ่ง
แล้วนำเอาชีวิตฉันอันพาดพิง-
หมายแอบอิงด้วยไมตรีที่จริงใจ
เนื่องเพราะฉันนั้นมิอาจเฝ้าปรารถนา
ห้ามจิตคราคราวฉันยังฝันใฝ่-
ด้วยความรักห่อหุ้มสุมทรวงใน
เกินกว่าใจดิ้นรนพ้นรักแล
เปรียบสายธารละหานห้วงล่วงเลยแล้ว
คงแน่แน่วหลอมกระเซ็นเป็นกระแส
แล้วรวมเป็นชลาลัยไหลผันแปร
อันแน่วแน่สู่ทะเลพื้นเพงาม
โอ้ที่รัก..ประจักษ์สิ่งที่จริงเถิด
ว่าบังเกิดเป็นธรรมดาอย่าเกรงขาม
บางอย่างนั้นต้องเป็นเช่นนิยาม
ไม่อาจห้ามสัจธรรมความเป็นจริง
จับมือฉันมั่นไว้ด้วยใจมั่น
ความผูกพันธ์ประสานสุขในทุกสิ่ง
แล้วนำเอาชีวิตฉันอันพาดพิง-
หมายแอบอิงด้วยไมตรีที่จริงใจ
เนื่องเพราะฉันนั้นมิอาจเฝ้าปรารถนา
ห้ามจิตคราคราวฉันยังฝันใฝ่-
ด้วยความรักห่อหุ้มสุมทรวงใน
เกินกว่าใจดิ้นรนพ้นรักเอย ๚ะ๛
24 พฤศจิกายน 2547 23:34 น.
อัลมิตรา
..๏ ฉันขอเริ่มต้นเรื่อง...........ความขำ- ขันนา
บังเกิดจากสัจธรรม...............โลกนี้
ยังครวญคร่ำเครงครำ*..........บ่สร่าง
แต่มิอาจบ่งชี้........................เหตุนั้นเป็นไฉน ฯ
..๏ ความขำขันเนื่องด้วย.......ฉันเอง
โอ ! จิตเริ่มวังเวง.................ร่ำไห้
สรรพสิ่งที่ข่มเหง...................อุบัติจาก- โลกนา
ฉันอาจสรวลเสได้.................ตราบแจ้งความจริง ฯ
..๏ ว่าเรื่องตลกเหล่านั้น.........ทั้งมวล
ล้วนเปรียบดังโซ่ตรวน...........รัดล้อม
อันเรื่องโศลกสำรวล*................สรรพสิ่ง
สิงสู่อยู่พรั่งพร้อม....................บีบคั้นตัวตน ฯ
..๏ ฉันแหงนมองฟากฟ้า........สรวงสวรรค์
มือยกบังตาครัน....................จึ่งขยี้
แล้วลุกจากเตียงพลัน..............ทำกิจ- วัตรแฮ
รับเรื่องกังวลที่*......................ท่วมท้นบนหัว ฯ
..๏ สาเหตุเกิดจากถ้อย-..........พาที
ตราบเมื่อสิ้นชีวี.....................จบสิ้น
มูลเหตุปัจจัยมี......................จากโลก- ธาตุแฮ
จึงพ่ายแพ้แดดิ้น....................ปิดกั้นปัญญา ฯ
..๏ มีชีวิตอยู่ยั้ง.....................เพียงใด
หากเพ่งสิ่งเป็นไป..................เหล่านั้น
ว่าเรื่องขบขันไฉน..................สถิตที่- ฉันนา
ยังมุ่งมาดคาดคั้น..................จิตให้เรรวน ฯ
( สร้อย )
..๏ ฉันแหงนมองฟากฟ้า........สรวงสวรรค์
มือยกบังตาครัน....................จึ่งขยี้
แล้วลุกจากเตียงพลัน..............ทำกิจ- วัตรแฮ
พบเรื่องกังวลที่*.....................ท่วมท้นบนหัว ฯ
..๏ สาเหตุเกิดจากถ้อย-..........พาที
ตราบเมื่อสิ้นชีวี.....................จบสิ้น
มูลเหตุปัจจัยมี......................จากโลก- ธาตุแฮ
จึงพ่ายแพ้แดดิ้น....................ปิดกั้นปัญญา ฯ
..๏ มีชีวิตอยู่ยั้ง.....................เพียงใด
หากเพ่งสิ่งเป็นไป..................เหล่านั้น
ว่าเรื่องขบขันไฉน..................สถิตที่- เรานา
ยังมุ่งมาดคาดคั้น..................จิตให้เรรวน ฯ
..๏ โอหนอมวลเรื่องแม้น........ขำขัน
หากแต่มีโศกศัลย์..................พรั่งพร้อม
สรรพสิ่งปิดบังฉัน..................ปานหลอก- หลอนเฮย
ความตลกวกแวดล้อม.............รุกล้ำหยามใจ ฯ
..๏ ภายนอกยังหยอกเย้า........สราญรมย์
หากแอบแฝงทุกข์ระทม..........ท่วมท้น
หน้าชื่นอกขื่นขม...................แสดงบท- บาทแฮ
หมายยกจิตหลุดพ้น-..............ยากแท้เกินประสงค์ ๚ะ๛
20 พฤศจิกายน 2547 22:39 น.
อัลมิตรา
..๏ ขับรถออกติดตามยามหนึ่งทุ่ม
ด้วยร้อนรุ่มอาลัยใจสับสน
มองจุดหมายปลายทางช่างมืดมน
ดังอับจนปัญญาตามหาเธอ
ทุกสิ่งสรรพ์พลันสลายคล้ายว่างเปล่า
ได้แต่เฝ้าคะนึงหาทุกคราเสมอ
แว่วเสียงใจเพรียกพร่ำร่ำละเมอ
กลับพบเจอความกังวลสับสนใจ
สิ้นโอกาสคลาดกันแสนหวั่นแท้
หวังเพียงแค่พบกันพลันชิดใกล้
วันนี้คงปล่อยวางอย่างอาลัย
แม้นทรวงในห่วงหาเฝ้าอาวรณ์
ครั้นเวลาห้าทุ่มทุกข์รุมเร้า
ยังโศกเศร้าคำนึงถึงดวงสมร
ครั้นตีสามต้องกลับไปหลับนอน
จำต้องย้อนหันหลังอีกครั้งครา
ยังเรียกสายปลายทางอย่างมุ่งหวัง
แม้ทุกครั้งไม่เป็นเช่นปรารถนา
หวังเพียงแค่โทรศัพท์ตอบกลับมา
ช้ำอุราเหตุไฉนไร้สัญญาณ
อยากงอนง้อขอวอนงามงอนเจ้า
อย่ามัวเฝ้าถือโทษโปรดสงสาร
โปรดกลับมาเคียงกันดั่งวันวาน
เพื่อร่วมสานถักสร้อยร้อยรักเรา
มีชีวิตจิตใจโดยไร้รัก
จึงตระหนักนิยามแห่งความเศร้า
ปราศจากเธอผู้เป็นเช่นดังเงา
เกินบรรเทาไฟทุกข์ลุกท่วมตัว
ต้องโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเศร้าใจแท้
ดุจใบไม้อ่อนแก่แลหลุดขั้ว
แล้วล่องลอยเคว้งคว้างอย่างหวาดกลัว
ทั้งพันพัวด้วยระทมขมขื่นครัน
เป็นความรักประจักษ์จิตคิดห่วงหา-
อาทรมารัดรึงซึ่งใจฉัน ?
แม้ใคร่เผยความจริงสิ่งสำคัญ
เกินจำนรรจ์บอกไปให้รู้ความ
ว่าตัวฉันหวั่นไหวเช่นไรบ้าง
ความอ้างว้างท่วมท้นจนเกรงขาม
ยามนี้ยังเผชิญทุกข์ที่ลุกลาม
เกินหักห้ามสิเนหาเพราะอาลัย
( สร้อย )
เยือนแว่นแคว้นแดนดินทุกถิ่นฐาน
ดั่งดวงมานของฉันเฝ้าฝันใฝ่
เสียงคร่ำครวญคำนึงถึงทรามวัย
เพียงหวังให้เธอนั้นพลันกลับมา
เปิดหัวใจให้ฉันนั้นมอบรัก
ได้สานถักไมตรีสิเนหา
ด้วยยังเปี่ยมความหวังอีกครั้งครา
ยังปรารถนาโอบเอื้อด้วยเยื่อใย
เยือนแว่นแคว้นแดนดินทุกถิ่นฐาน
ดั่งดวงมานของฉันเฝ้าฝันใฝ่
เสียงคร่ำครวญคำนึงถึงทรามวัย
เพียงหวังให้เธอนั้นพลันกลับมา
เปิดหัวใจให้ฉันนั้นมอบรัก
ได้สานถักไมตรีสิเนหา
ด้วยยังเปี่ยมความหวังอีกครั้งครา
ยังปรารถนาโอบเอื้อด้วยเยื่อใย
เพียงชั่วคราวราวกับอาภัพนัก
ได้ประจักษ์ความจริงอันยิ่งใหญ่
ว่าความรักหลุดลอยคล้อยจากไกล
เกินฝันใฝ่ไขว่คว้ามาครอบครอง
ฤๅวันชื่นคืนสุขทุกสิ่งสรรพ
นั้นล่วงลับร้างไกลไปทั้งผอง
แล้วคืนสู่สามัญตามครรลอง
จำใจต้องยอมรับกับเหตุการณ์
แต่บ้านเมืองทั้งมวลล้วนปรากฏ-
ความรันทดปวดร้าวราวหักหาญ
รู้ซึ้งว่าสิ้นหวังนั่งทรมาน
เพียงพบพานอีกครั้งยังจนใจ
( สร้อย )
เยือนแว่นแคว้นแดนดินทุกถิ่นฐาน
ดั่งดวงมานของฉันเฝ้าฝันใฝ่
เสียงคร่ำครวญคำนึงถึงทรามวัย
เพียงหวังให้เธอนั้นพลันกลับมา
เปิดหัวใจให้ฉันนั้นมอบรัก
ได้สานถักไมตรีสิเนหา
ด้วยยังเปี่ยมความหวังอีกครั้งครา
ยังปรารถนาโอบเอื้อด้วยเยื่อใย
เยือนแว่นแคว้นแดนดินทุกถิ่นฐาน
ดั่งดวงมานของฉันเฝ้าฝันใฝ่
เสียงคร่ำครวญคำนึงถึงทรามวัย
เพียงหวังให้เธอนั้นพลันกลับมา
เปิดหัวใจให้ฉันนั้นมอบรัก
ได้สานถักไมตรีสิเนหา
ด้วยยังเปี่ยมความหวังอีกครั้งครา
ยังปรารถนาโอบเอื้อด้วยเยื่อใย ๚ะ๛
17 พฤศจิกายน 2547 11:39 น.
อัลมิตรา
๏ คืนสถานสถิตเบื้อง.............บนสวรรค์
เสวยสุขตราบนิรันดร์.............นิราศร้อน
ลืมเสียงร่ำโศกศัลย์.................ทรวงเสียด
สรวงสนั่นสรวลสะท้อน..........ทั่วห้องเวหา ฯ
๏ กราบลาร้าวอกโอ้................อาลัย
มฤตพรากพาแม่ไกล..............ก่อนแล้ว
อ้อมแขนอุ่นเคล้าไอ...............เคยโอบ
คราวขาดความหนาวแผ้ว........ผ่านสะท้านมานสะเทือน ฯ
๏ ดังเหมือนไทรใหญ่ล้ม........ราบภินท์
ร้อนขาดร่มถวิล.....................ว่างว้าง
เสียงคำซึ่งเคยยิน...................ขานหยุด
ยามสุดคำเคว้งคว้าง................ขาดแล้วร่มไทร ฯ
๏ เหลือไว้เพียงภาพเค้า...........ความจำ
คุณแม่เคยกระทำ...................กระทั่งพร้อม
เพียรสอนสั่งลูกสำ-.................เร็จ สิ่ง ประสงค์ เนอ
ประสานสิบนิ้วยอน้อม...........มนัสค้อมผคมสนอง ฯ
๏ ไปครองทิพย์ถิ่นบ้าน..........บนสวรรค์
เสวยสุขตราบนิรันดร์..............นิราศพ้น
ผองภัยทุกข์ไหนอัน................อาจเบียด-
เบียนเบี่ยงเหลือเพียงล้น..........สฤษฏ์ล้ำสราญผล ๚ะ
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
ผศ.นพ.ธีรวรรธน์ ขันทอง
ขอร่วมไว้อาลัยและแสดงความเสียใจกับการจากไปนี้ด้วยค่ะ
อัลมิตรา