12 มีนาคม 2548 09:55 น.
อัลมิตรา
ปราชญ์สร้างวิชาหวังพาวิวัฒน์
วกสู่วิบัติลืมจัดวิสัย
สังคมวินาศคนขาดวินัย
กี่คนวิจัย? กี่ใครวิจารณ์?
กี่คนวินิจด้วยจิตวิมุต
สร้างความวิสุทธิ์เสกความวิศาล
ทบทวนวิถีถ้วนถี่วิธาน
ลบความวิการลาญความวิกล
เป็นคำถามที่ถามโดยความเขลา
เพราะฉันเฝ้าสงสัยในสับสน
อะไรคือนิยามความเป็น คน
หรือวกวนวุ่นวายตราบหายใจ
รออีกกี่ศาสดามาบังเกิด
จึงกำเนิดค่านิยมสังคมใหม่
โลกปลอดการเข่นฆ่าค้ากำไร
ผู้คนไม่แตกต่างทางฟากยืน
เสียงสรวลเสเฮฮาอย่างหฤหรรษ์
แทนเสียงอันบาดลึกสะอึกสะอื้น
สังคีตร่ำจำเรียงกลบเสียงปืน
และโลกรื้นไร้เสียงร้องทำนองคราง
ยังหวังว่าบทกวีมีพลวัต
ยังยืนหยัดจุดยืนแม้ขื่นบ้าง
ยังวาดฝันที่เหมือนภาพเลือนลาง
ยังเคว้งคว้างไขว่คว้าแม้ล้าแรง
จะเติมไฟให้สว่างส่องทางสวรรค์
พร้อมมุ่งมั่นมุ่งหน้าอุตส่าห์แสวง
ทุกบทเรียนแลกมาราคาแพง
เอามาแปลงเป็นทุนไว้หมุนเวียน
ไม้ขีดไฟสักก้านอาจผลาญป่า
ทุนปัญญารายย่อยทบรอยเขียน
เผาป่าเถื่อนเกลื่อนไทยให้โล่งเตียน
เพื่อปรับเปลี่ยนคนป่าเป็นนาคร
สังคมแห่งปัญญาค่าไพศาล
ยังรอการเคี่ยวกรำการพร่ำสอน
สร้าง ความรู้เท่าทัน ถูกขั้นตอน
อุทาหรณ์ชีวิตชวนคิดตาม
เคยปรากฏบทสรุปเรื่องอุปโลกน์
ประโลมโลกรัญจวนชวนวาบหวาม
พาใจคนคร่ำเคร่งกับเพลงกาม
ศาสน์เสื่อมทรามสังคมจมโลกีย์
จาก จุดหมาย ของมนุษย์สู่ จุดขาย
ความมักง่ายปะปนอยู่ล้นปรี่
คือมองข้ามความงามเมินความดี
ลืมหน้าที่..หลงทิศ..เดินผิดทาง
เคยใหม่แปลกแตกแถวเกิดแนวขบถ
เพื่อประชด บริภาษ กล้าบาดหมาง
แสร้งประจานสังคมปมอำพราง
แค่มุ่งสร้างอัตลักษณ์ในปลักเดิม
แกล้งละเลยการเรียนรู้ของผู้อ่าน
กระบวนการทางปัญญาล้าแรงเสริม
กลับหยิบฉวยอวิชชามาแต่งเติม
ก็ยิ่งเพิ่มความหลงผิดเพาะพิษภัย
วรรณกรรมเยาวชนขาดคนสร้าง
กี่คนบ้างเหลียวแลคิดแก้ไข
เลิกใจแคบมุ่งค้าหากำไร
แล้วพร้อมให้ ปัญญาเอื้ออาทร
แทนนักเขียนแปรพักตร์เป็นนักขาย
ทุกนิยายค่านิยมผูกปมซ่อน
ที่เตลิดตามตลาดตะลอนตะลอน
ทวนสังวรสังเวชตรองเหตุการณ์
หากขุดคุ้ยความอัปรีย์มาตีแผ่
อย่าให้แพร่พิษสู่ผู้เสพสาร
สร้างวุฒิภาวะวิจารณญาณ
ส่งเสริมด้าน ภูมิคุ้มกันทางปัญญา
เปลี่ยนจากผู้มอมเมาเป็นเสาหลัก
งานทุกวรรคทุกตอนสะท้อนค่า
สะท้อนคิดผ่านคำแทนตำรา
เติมศรัทธา,ความหวังให้สังคม
อย่างชนชั้นปัญญาชนมุ่งค้นคว้า
แทนหลับตาจนสนิทหลงติดหล่ม
แล้วปะทุออกมาแค่อารมณ์
ใครแค่นชมก็ปลื้มพาลลืมตัว
ทยอยการเคี่ยวกรำจิตสำนึก
เพื่อรู้สึกรู้(เดียง)สาว่าดี-ชั่ว
กล้าคิดใหม่ทำใหม่ไกลเมามัว
ไม่ขลาดกลัวเผชิญหน้าผู้อาธรรม
เสียงเพรียกของอุดมการณ์ประสานเสียง
ร่ำร้องเพียงเพื่อกลืนสะอื้นร่ำ
นำประชาเรียนรู้อย่างผู้นำ
วีรกรรมอีกย่างก้าวของชาวกวี
4 มีนาคม 2548 12:17 น.
อัลมิตรา
๏ ครุครุ-ลหุ-ครุครุ1.............ลหุลหุ-ครุ1-ลหุ-ครุครุ2
ครุครุ-ลหุ-ครุครุ2 ...............ลหุลหุ-ครุ-ลหุ-ครุครุ3
๏ ครุครุ-ลหุ-ครุครุ4.............ลหุลหุ-ครุ4-ลหุ-ครุครุ3
ครุครุ-ลหุ-ครุครุ3................ลหุลหุ-ครุ-ลหุ-ครุครุ ๚
..๏ ครั้นรัตติกาลเยือน.............ศศิเคลื่อนนภาพราว
พลันให้หทัยหนาว.................อุระร้าวมิเสื่อมคลาย
..๏ ครุ่นคิดคะนึงหา................ฤ ยุพาสิกลับกลาย
เชยชิดสนิทชาย-...................นระอื่นและชื่นชม ๚
..๏ ครั้นแสงพระจันทร์ส่อง......สิริผ่องประภาสม
ฤๅน้องมโนรม........................ฤ สิชมเสมือนกัน
..๏ เพรียกเพ้อละเมอถึง...........และคะนึงมิเว้นวัน
ข่มใจมิใฝ่ฝัน........................รตินั้นก็ลุกลาม ๚
..๏ แผ่วผ่าวพระพายพัด..........และอุธัจประชิดตาม
ครั้นจิตพินิจความ..................มิสงบและบรรเทา
..๏ เหยียบย่ำกระหน่ำจิต........วิปริต ฤ หนอเรา
หม่นหมองมิบางเบา...............ขณะเศร้าและอาลัย ๚
..๏ ยามเมื่ออดีตนั้น................ปริพันธ์กวีให้
กล่อมเจ้าระรื่นใจ....................อภิรมย์และสมปอง
..๏ ร้อยคำประพันธ์พจน์.........นยะบทกวีผอง
เอื้อนอรรถรสพ้อง....................สรพันและเย้ายวน ๚
..๏ เชยชิดสนิทเจ้า..................ผิว์กระเซ้าสิเสสรวล
ตรึงในฤทัยชวน-.....................อนุจินต์ถวิลหา
..๏ ดาวเดือนสิเคลื่อนคล้อย.......ดุจลอยและร้างลา
ตราบเมื่อสุรีย์จ้า.......................ลลนา ฤ เช่นกัน ๚
..๏ สิ้นรักประจักษ์จิต..............บ่สนิทสนมพลัน
ลืมเลือนอดีตนั้น.....................มิตระหนักและภักดี
..๏ คืนนี้นภาพราว..................ศศิวาวสกาวศรี
แต่ข้าพเจ้ามี-..........................ปริเวทนาการ ๚
..๏ คร่ำครวญคะนึงหา- ..........วนิดาบ่เว้นวาร
เจ้าลืมเกษมศานต์...................ณ อดีตกาลฤๅ ? ๚ะ๛
1 มีนาคม 2548 16:13 น.
อัลมิตรา
..๏ สิ่งที่เธอทำลงไปในครานั้น
ผลสะท้อนคือฉันต้องขวัญหาย
เมื่อความรักความหวังพังทลาย
เหลือฝันร้ายไว้หลอนตอนกลับคำ
อย่ามาอ้างเรื่องราวรักคราวก่อน
รักร้อยเล่ห์ดั่งละครตอนชื่นฉ่ำ
พอเปลี่ยนฉากเปลี่ยนบทลืมจดจำ
ที่เคยพร่ำก็พร่าเลือนไม่เหมือนเคย
ดั่งบทเรียนสอนใจให้รู้แจ้ง
เธอพลิกแพลงวาจาหน้าตาเฉย
กว่าฉันรู้ว่าลวงก็ล่วงเลย
ถูกเธอเชยจนช้ำก่อนอำลา
นี่คงเป็นนาฏกรรมของความรัก
ฉันอกหักเพราะใครไม่เห็นค่า
คนสับปลับกลับคำเป็นธรรมดา
คำสัญญาเหลวไหลมีไว้ลวง ๚ะ๛
Will you love me for the rest of my life ?
.. No , I shall love you for the rest of mine.
I love you , you complete me.
The story of us.
.. You lie !! ..
21 กุมภาพันธ์ 2548 08:09 น.
อัลมิตรา
..๏ แหวกว่ายรายรอบระเริงจน-......... แซงสลับสับสน
ระคนคละสีตระการตา
ครีบหางพลางสะบัดลีลา......................ลุกไล่ไปมา
เหลื่อมล้ำนำหน้าว่องไว
บ้างเคียงคู่ครองล่องไป........................เล้าโลมทันใด
สมใจโลดโผนโจนทะยาน
ดีดตัวผ่านพ้นชลธาร............................สับสนอลหม่าน
จนธารแตกกระเซ็นเป็นฟอง ฯ
..๏ ดั่งเล่นกายกรรมช่ำชอง...................เป็นท่วงทำนอง
ลำพองกริยาท่าที
เกาะกลุ่มฝูงออรอรี...............................บ้างปลีกหลีกหนี
หาที่ว่ายแหวกแทรกแซง
ใหญ่กว่าท่วงท่าสำแดง.........................ล่วงล้ำกำแหง
ว่ายพลางพลิกแพลงแข่งขัน
ครีบหางช่างสะบัดอัศจรรย์...................หยั่งเชิงดังประชัน
หมายมั่นว่ายนำกำชัย ฯ
..๏ บ้างว่ายรายเรียงเคียงไป..................เริงละหารธารใส
พลิ้วไหวเวียนวนจนเพลิน
ดำผุดดำว่ายก่ายเกิน..............................งามล้ำจำเริญ
ยามเมิล*ยิ่งชื่นรื่นรมย์
มัศยาช่างสนุกสุขสม............................ควรให้ใคร่ชม
นิยมจึงประจักษ์ลักขณา
ยิ่งคราวโยกย้ายไปมา...........................ฉูดฉาดบาดตา
สีสันโสภางดงาม ฯ
..๏ รื่นเริงเป็นสุขทุกยาม.....................ว่ายชิดติดตาม
บ่งความอิสระเสรี
แหวกว่ายไปมามากมี...........................พร้อมเพรียงดิบดี
บางทีคึกคะนองท่องชล
ลืมความหม่นหมองในกมล.................ไร้ทุกข์คลุกระคน
นำตนปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
เป็นเช่นฝูงปลาระเริงธาร......................แสนสุขทุกกาล
เพื่อทุกข์อันตรธานทันใด ๚ะ๛
19 กุมภาพันธ์ 2548 21:57 น.
อัลมิตรา
โคลงโลกนิติ..
..๏ นาคีมีพิษเพี้ยง..................สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช........................แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส....................แมงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า........................อวดอ้างฤทธี ๚ะ๛
..๏ กำแหงแมงป่อง
..๏ นาคีฤทธิ์พิษเพี้ยง................สุริเยศ
เดชดั่งอหิเชฏฐ์........................เพศพ้อง
เรืองสิทธิ์สถิตเทศ....................เดชเลื่อง
ปานอัสนีย์ก้อง.........................เกริกกล้าเกียรติไกร ฯ
..๏ อายูรยาตรเยื้อง...................เนืองนวย- นาตรเฮย
พิษพ่นสกลตรวย-......................พุ่งฟ้า
ผลาญเผาผ่าวแผดพวย...............เดชเดื่อง
เสงี่ยมขดขนดล้า......................ท่าถ้วงลวงฤๅ ฯ
..๏ กำแหงแมงป่องแกล้ว...........อุกฤษฏ์
กายนิดฤทธิ์สถิต.......................พิษน้อย
สำแดงแข่งแรงฤทธิ์...................อิสรีย์ มีเฮย
เหล็กพิษสะกิตคล้อย..................ค่อยท้าบารมี ฯ
..๏ ปวดแปลบแสบเสียดซ้อน......เสียวทรวง
พิษผ่านมรณานต์ดวง-................จิตร้าว
เพียงพิษปลิดชีพลวง..................หลอกล่อ
หาดับกับเหล็กกร้าว...................ป่องห้าวเหิมหาญ ๚ะ๛