1 กันยายน 2548 08:39 น.

..๏ If we hold on together

อัลมิตรา


๑. 
..๏ เธออย่าด่วนปรวนแปรแลสับสน
หากชีวิตวกวนจนหวั่นไหว 
ผ่านวันคืนหนาวเหน็บเจ็บเพียงใด
เธอยังเดินมาไกลได้เพียงนี้ 

อย่าท้อแท้แลล้าคราเหนื่อยอ่อน
อย่าใจร้อนวางมือหรือหลบหนี 
จงยืนหยัดมั่นใจในความดี
อย่างผู้มีศรัทธากว่าสิ้นลม 

๒. 
ซึ่งความฝันบรรเจิดทั้งเพริศแพร้ว
คงไม่แคล้วต้องประสบพบขื่นขม 
บ้างบอบช้ำร่ำไห้ใจตรอมตรม
แต่อย่าล้มเลิกฝันกลางคันเลย 

ยังมีถนนหนทางอยู่ข้างหน้า
รอเวลาเธอก้าวย่างอย่างผ่าเผย 
จงเริ่มต้นผจญภัยไปเถิดเอย
ถึงแม้เคยท้อถอยปล่อยวางพลัน

๓. 
จงดำรงคงอยู่คู่ความรัก
พร้อมประจักษ์ความจริงทุกสิ่งสรรพ์ 
ด้วยศรัทธา , ปรารถนา , มหัศจรรย์
จงยึดมั่นคุณธรรมหนุนนำใจ 
( สร้อย ) 
หากเราสองประคองกันมุ่งฟันฝ่า
แม้นปัญหาอุปสรรคจักยิ่งใหญ่ 
เพียงร่วมแรงร่วมฝันบุกบั่นไป
กางปีกใจให้ทะยานผ่านเมฆา 

๔. 
ด้วยรู้นักประจักษ์จิตมิผิดแน่
ว่าความฝันมิผันแปรแลไร้ค่า 
เคยกระจ่างสว่างใสแต่ไรมา
จักงดงามค้ำฟ้าแลปฐพี 

อันความฝันนั้นหนานำพาสุข
สิ้นความทุกข์ระทมใจในทุกที่ 
เสมือนมองจ้องเราเฝ้าปราณี
ทั้งเมฆียังลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยบัง
 
๕. 
แสงสุรีย์ที่เร่าร้อนจักอ่อนฤทธิ์
จตุรทิศพลันงามด้วยความหวัง 
เพียงสร้างสรรค์สรรพสิ่งอย่างจริงจัง
อย่าหยุดยั้งย่อท้อรอจำนน 

หากชีวาคราคว้างกลางลมหนาว
ควรแกร่งกร้าวเผชิญหน้าฝ่าลมฝน 
รู้หลบหลีกเป็นปีกหางอย่างอดทน
ฟ้าเบื้องบนยังมีดาวพราวนำทาง 
 
๖. 
มองดาวรายพรายประพัทธ์จรัสจ้า
แล้วนำมาเติมใจให้แจ่มกระจ่าง 
ยึดมั่นไว้จนประสบพบปลายทาง
ถึงอ้างว้างเหว่ว้าอย่าท้อใจ 

ผ่านขุนเขาลำเนาป่าพนาสัณฑ์
มหัศจรรย์น้ำตกเย็นกระเซ็นใส 
แล้วปลดเปลื้องพันธนาการแผ้วพานใจ
จงชำระชะล้างให้ไร้มลทิน 
 
๗. 
คำติฉินนินทาภาษามนุษย์
ดังอาวุธศาสตราคราเล่นลิ้น* 
เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอนยอกย้อนจินต์
มิสุดสิ้นวาจาว่าร้ายกัน 

แต่ยังมีที่รักสมัครสมาน
ซึ่งขับขานกานท์กวีที่หฤหรรษ์ 
บ้างปลอบโยนโอบเอื้อเกื้อกูลกัน
สานสัมพันธ์สมานมิตรจิตอาทร 

๘. 
คืนสู่เหย้าเราก่อนยามอ่อนล้า
แล้วพักกายสายตาคราเหนื่อยอ่อน 
ลืมเรื่องร้ายนั้นหนาอย่าอาวรณ์
เถิดคนดีเอนหลังก่อนนอนพักใจ
( สร้อย ) 
หากเราสองประคองกันมุ่งฟันฝ่า
แม้นปัญหาอุปสรรคจักยิ่งใหญ่ 
เพียงร่วมแรงร่วมฝันบุกบั่นไป
กางปีกใจให้ทะยานผ่านเมฆา 
 
๙. 
ด้วยรู้นักประจักษ์จิตมิผิดแน่
ว่าความฝันมิผันแปรแลไร้ค่า 
เคยกระจ่างสว่างใสแต่ไรมา
จักงดงามค้ำฟ้าแลปฐพี 

อันความฝันนั้นหนานำพาสุข
สิ้นความทุกข์ระทมใจในทุกที่ 
เสมือนมองจ้องเราเฝ้าปราณี
.ทั้งเมฆียังลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยบัง

๑๐. 
แสงสุรีย์ที่เร่าร้อนจักอ่อนฤทธิ์
จตุรทิศพลันงามด้วยความหวัง 
เพียงสร้างสรรค์สรรพสิ่งอย่างจริงจัง
อย่าหยุดยั้งย่อท้อรอจำนน ๚ะ๛

เ ม ฆ เ บื้ อ ง บ น ห้ ว ง เ ว ห า โ ส ภ า พ ร ร ณ  
บ ด บั ง แ ส งรั ศ มี สุ ริ ยัน  
เ พื่ อ ตั ว เ ธ อ  แ ล ะ ฉั น  เ ท่ า นั้ น เ อ ง 

				
29 สิงหาคม 2548 07:36 น.

..๏ เกิดแต่ตม

อัลมิตรา


..๏ บัวเผื่อนบัวผัน
มากมีสีสัน.....................ผ่องพรรณงดงาม
ชูช่อล้อลม......................ชื่นชมสมความ-
สวยสคราญผ่านยาม......เหลืองอร่ามขาวอุไร ฯ

..๏ ดอกเด่นเป็นแถว
เรียงช่อต่อแนว.............บานแล้วฤาไฉน
กรุ่นกลิ่นเกษร...............ผึ้งภมรฝันใฝ่
เคล้าคลุกสนุกใจ...........ตราบได้สมปอง ฯ

..๏ ยามลมแผ่วผ่าน
ดอกเห็นเด่นตระการ.....ชื่นบานยามมอง
กลีบดอกบ่ช้ำ.................สวยล้ำทั้งผอง
จากน้ำเนืองนอง...........อยู่คลองหนองนา ฯ

..๏ ตูมเต่งเร่งวัน
ยามอรุณรุ่งครัน.............สุริยันจรัศฟ้า
จักบานวันพรุ่ง...............หมายมุ่งโสภา
เผยรูปลักขณา................อวดฟ้าท้าลม ฯ

..๏ ชูช่อชดช้อย
มากมายใหญ่น้อย..........รอคอยคนชม
ผิดแผกแปลกสี...............หลากมีเหมาะสม
จักชื่นรื่นรมย์.................สุขสมชมเพลิน ฯ

..๏ แม้ด้อยน้อยศักดิ์
ความงามยังประจักษ์.......พิไลลักษณ์มากเกิน
ไร้ซึ่งราคา.......................โสภาจำเริญ
บอกเล่ากล่าวเกริ่น...........เกินประเมินความงาม ฯ

..๏ เจ้าดอกบัวผัน
บัวเผื่อนผ่องพรรณ.........ลดหลั่นเหลืองคราม
ม่วงแสดขาวผ่อง............ชวนต้องตรองตาม
ยามดอกบานอร่าม..........ทาบทามครอบครอง ฯ

..๏ แต่งแต้มผืนนา
หนองน้ำในป่า...............ตระการตาผุดผ่อง
ชูช่อรอใคร....................พริ้มพิไรเรืองรอง
ดั่งระบำช่ำชอง...............ทั่วหนองคลองบึง ฯ

..๏ ความงามธรรมชาติ
บ่แสร้งแต่งชาด................พริ้มพิลาสตราตรึง
ภาพจริงสิ่งเป็น................ที่เห็นเป็นหนึ่ง
ชื่นชมสมจึง-....................ซาบซึ้งสุนทรี ฯ

..๏ เด็ดดอกเจ้าแล้ว
เลือกสรรพรรณแพรว......ตามแนวแถวนที
จักนำบูชา.......................พระศาสดาชินสีห์
อีกพระธรรมมี.................สงฆ์ที่มากคุณ ฯ

..๏ เจ้าดอกบัวผัน.
บัวเผื่อนผ่องพรรณ.........กลีบอันอ่อนละมุน
แต่งโต๊ะบูชา...................โสภาสรรพบุณย์
ชื่นชมสมดุลย์..................อิ่มบุญอิ่มใจ ฯ

..๏ เกิดจากโคลนตม
หนองน้ำดินหล่ม.............สวยสมงามพิไล
เปรียบมนุษย์เช่นกัน........ชนชั้นอันใด
แตกต่างอย่างไร...............หาใช่ความจริง ๚ะ๛

				
26 สิงหาคม 2548 09:22 น.

..๏ มหัศจรรย์

อัลมิตรา


กาพย์ฉบับ ๑๖

๏ เอนโอนต้นอ่อนผ่อนปรน...ชื่นชมลมฝน 
จำนนจนไหวใบปลิว 
เสียดสีเป็นแนวแถวทิว.........บ้างแยกแผกพลิ้ว 
สูงลิ่วต่างลู่ตามลม 
บังเกิดสำเนียงเสียงผสม......กังวานนานนม 
โยกย้ายเยี่ยงกลมเกลียวกัน 
ยามลมกรรโชกโกรกพลัน......สั่นระริกพลิกผัน 
บ้างสั่นสะท้านไหวใบบาง ฯ 

๏ ดุจนาฏกรรมดุริยางค์..........แห่งน้องนวลนาง 
เอวบางร่างน้อยคอยระบำ 
พลิ้วไหวบรรเทิงเริงรำ...........ยามลมลำนำ 
เลิศล้ำลีลาท่าที 
หวีดหวิวหวานแว่วสุนทรี......เสมือนหนึ่งซึ่งกวี- 
ผู้มีจินตนาการเกิน 
ร่ายเรียงรจนาพาเพลิน.........โอบเอื้อเชื้อเชิญ 
จำเริญชมทุ่งจรุงใจ ฯ 

๏ เห็นอ้อปอปลงหญ้าไทร....แน่นขนัดกวัดไกว 
สั่นไหวใบหวั่นกระนั้นเอง 
นกน้อยสับสนอลเวง............เกาะลงโคลงเคลง 
รีบเร่งรุกไล่ไปมา 
โฉบเฉี่ยวเลี้ยวว่อนลีลา........โผผินบินถลา 
เหินฟ้าร่อนลงปลงปอ 
ซุกซ่อนหลบเร้นรีรอ............บ้างออกหลอกล่อ 
ครั้นพอเห็นฝูงพุ่งทะยาน ฯ 

๏ สำเนียงเสียงขรมผสมผสาน..เริงระรื่นชื่นบาน 
พริ้วผ่านหญ้าอ้อปอเอน- 
จับปลงโค้งเอียงเบี่ยงเบน.....ไร้บทกฏเกณฑ์
โผดเผ่นเช่นสนุกสุขจริง 
บินมาถลาล่วงช่วงชิง.............แล้วแนบแอบอิง 
ซุกนิ่งแล้วขยับฉับไว 
ตราบลมกรรโชกทันใด...........นำวสันต์อันใส 
จำใจพลัดพรากจากจร ๚ะ๛



กลอนหก

..๏ มองไกลสุดปลายสายฟ้า
เมฆาลาเลื่อนเคลื่อนหาย 
บังเกิดอัศจรรย์พลันกลาย
โปรยปรายเป็นเม็ดเกร็ดงาม 

สวยใสต้องกายเย็นฉ่ำ
สุขล้ำเกลื่อนกล่นล้นหลาม 
กระเซ็นเป็นละอองฟองตาม
ยังความสดชื่นรื่นรมย์   

กี่เม็ดโปรยปนหล่นฟ้า
แหงนหน้าเพ่งมองสวยสม 
กายเปียกเย็นฉ่ำตามชม
ยามลมล่องแผ่วพัดพา 

เมฆฝนบนฟ้าครากลาย
ควรหมายสุขสันต์หรรษา 
ชมวสันต์พลันเพลินเจริญตา
จนกว่าซาสร่างร้างกลาย  

สองมือชูรับจับน้ำ
ดื่มด่ำความเย็นกระเซ็นสาย 
น้ำฝนกลางหาวราวคลาย
ดับกระหายโหยหิวกิ่วท้อง 

ฝูงนกเริงร่าหฤหรรษ์
เฉกฉันไม่ขยับจับจ้อง 
ปรารถนาเห็นรุ้งเรืองรอง
ขอบฟ้าสีทองอำไพ 

สายฝนโปรยปรายคล้ายเคลื่อน
คล้อยเลื่อนลอยห่างทางไหน 
คงเหลือดินชุ่มพุ่มไม้
สวยใสสดชื่นตื่นตา 

ต่างแย้มดอกตามความฉ่ำ-
ชื่นล้ำรับรองพฤกษา 
เสกสรรค์หลากสีลีลา
เกินกว่าบรรยายในกวี 

สายรุ้งพุ่งพานภาเพริศ
ล้ำเลิศปาฏิหาริย์วรรณฉวี 
สัตตพรรณช่างล้ำงามมี
บังเกิดยามที่ฝนคลาย 

ต้องแสงสุรีย์ฉายกลายเปลี่ยน
ล้อเลียนฝนฟ้าคราหาย 
สดชื่นแจ่มใสใจสบาย
เรียงรายงดงามยามมอง ๚ะ๛

				
24 สิงหาคม 2548 07:48 น.

..๏ เส้นสายโศก

อัลมิตรา



..๏ นิ้วกดสายมั่นหมายสั่งทั้งหกสาย
แสนใจหายซึ่งครวญหาขวัญตาพี่
บ้างรุ่มร้อนบ้างเหน็บหนาวร้าวชีวี
อันคอร์ดคีย์ที่บรรเลงเพลงคร่ำครวญ

นิ้วส่ายสะบัดใจขาดสะบั้นรันทดท้อ
จับคอร์ดพอส่งสำเนียงเสียงโหยหวน
ครั้งนุ่มนวลคราหนักแน่นแสนรัญจวญ
แทนถ้อยถ้วนทุกข์ทับถมจมน้ำตา 

บีบเส้นสายคลายเส้นเสียงสำเนียงส่ง
ครั้นคิดคงผิดแผกไปใฝ่ฝันหา
ทุกทำนองก้องกังวานสะท้านมา
เกินเวลากี่ย่ำยามยากห้ามใจ

เสียงเพลงแผ่วแล้วพลิกผลันรำพันแล้ว
จิตแน่แน่วห้านิ้วสั่นนั้นเปรียบได้-
กับบทเพลงบรรเลงร่ำคร่ำครวญใด
ล้วนเลศนัยให้แก้วตามายลยิน 
 
เสี้ยวแห่งจิตครุ่นคิดถึงรำพึงพ้อ
เพียงพร่ำขอให้หายตรมขื่นขมสิ้น
ครั่นหกสายคลายห่วงหาเป็นอาจิน
คงลืมสิ้นซึ่งอดีตกาลเผาผลาญทรวง

จากอารมณ์จมไอรักยิ่งหักหาญ
ทุกข์แผ้วพานด้วยคะนึงหาพาห่วงหวง
กรีดสำเนียงเสียงสำนวนล้วนย้ำทวง
ตามหลอกลวงให้เคล้าคลุกทุกข์ยั่งยืน 
 
นิ้วบรรเลงเพลงบรรยายคล้ายตอกย้ำ
ใจบอบช้ำนิ้วยิ่งระบมตรมเกินฝืน
เคลื่อนคอร์ดคีย์ครั้นขับขานตราบวันคืน
ครั้นขัดขืนทุกข์คั่นขวางพลางย่ำยี

เสียงเส้นสายนิ้วส่ายสะบัดบ่งชัดแจ้ง
ใช่เสแสร้งฤๅปรุงจิตคิดเสียดสี
แม้นิ้วระบมนั้นคือระบายคลายโศกี
เปลี่ยนคอร์ดคีย์กี่ครั้งคราอย่านับเลย ๚ะ๛ 


หลังจากที่มันถูกเก็บไว้บนหลังตู้เสื้อผ้าอยู่นาน
ซึ่งก็นานพอที่จะทำให้ฝุ่นจับจนเขรอะ
ความคุ้นเคยบางอย่างหายไป..
ทั้งที่เมื่อก่อน... 
แทบจะเรียกได้ว่า
ไม่มีวันใดที่นิ้วไม่ได้สัมผัสเส้นสายของมัน

คืนที่ต้องอยู่ลำพังกับความรู้สึกที่สับสน
โดยที่สายตาไม่ได้ตั้งใจ 
แต่พลันไปเห็นกีตาร์บนหลังตู้
มองมันแล้วสะเทือนใจตนเอง
กระทั่งปลายนิ้วได้สัมผัสเส้นสายอีกครั้ง
ความทรงจำบางอย่างเหมือนภาพย้อน
เส้นสายโศก ในความโศก

				
23 สิงหาคม 2548 11:46 น.

..๏ ฉีก..

อัลมิตรา

กลอนฉีกคำจนความเพี้ยน

เขียน..
เพื่อความจำเป็นของทำนองเขียน 
จึงควรเปลี่ยนแปลงปลูกฝังถูกหน 
มิใช่มารยาดำริทำกล 
เป็นแยบยลหรือไม่วานใคร่ครวญ

อ่าน..
เพื่อความจำ   เป็นของ  ทำนองเขียน 
จึงควรเปลี่ยน   แปลงปลูก  ฝังถูกหน 
มิใช่มาร   ยาดำ   ริทำกล 
เป็นแยบยลหรือไม่วานใคร่ครวญ

ใจความ..
เพื่อ  ความจำเป็น ของทำนองเขียน 
จึงควร  เปลี่ยนแปลง  ปลูกฝัง  ถูกหน 
มิใช่  มารยา  ดำริ  ทำกล 
เป็นแยบยลหรือไม่วานใคร่ครวญ

...

เจอบทกลอนชุดนี้มา จากเวปสถาบันสุนทรภู่
น่าสนใจดี ..
ปกติการเขียนกลอนแปด 
ในวรรคเขาจะเขียนติด ๆ กัน (ไม่เว้นวรรค)
เมื่อจะอ่านออกเสียง นั่นจึงจะอ่านตามจังหวะ 3 - 2 - 3

เห็นว่าเป็นข้อเตือนใจว่า..
ไม่ควรฉีกคำคร่อมจังหวะ
การแบ่งวรรคกลอน..
 ก็เหมือนแบ่งวรรคร้อยแก้ว เช่น
ยานี้ดี กินแล้วแข็ง แรงไม่มี โรคภัยเบียดเบียน 
คนละความหมายกับ
ยานี้ดี กินแล้วแข็งแรง    ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน 
ไม่ใช่ฝึกให้ผิดเป็นนิสัย 
 แต่ช่วยให้.. ไม่ผิดอีก

อยากให้เพื่อนๆ เขียนกลอน 1 บท 
ให้มีการฉีกคำคร่อมจังหวะ  
ที่อ่านแล้วเป็นคนละเรื่องกับถ้าไม่ฉีกคำ  
อย่างน้อย 1 แห่งหรือ มีมากเท่าไรยิ่งดี 
ใครมีมากที่สุด หรือถูกใจที่สุด ..
อาจมีรางวัลจากอัลมิตราเป็นที่ระลึก



                     ///\\
                  (@ @)
     +--oOO---(_)---Ooo---+
     |           ลองหน่อย           I   
     I              นะจ๊ะ               |         
     +----------------------------+
                  |__|__|  
                     ||  ||
                ooO  Ooo

				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัลมิตรา
Lovings  อัลมิตรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอัลมิตรา