28 เมษายน 2549 07:51 น.
อัลมิตรา
..๏ จากเปล่าเปลี่ยวเดียวดายไร้ความหวัง
อุปมาดั่งไม้เดี่ยวที่เหี่ยวแห้ง
ต้นโคลงคลอนอ่อนไหวไร้เรี่ยวแรง
กิ่งก้านใบไกวแกว่งตามแรงลม
ทนเหน็บหนาวร้าวระทมด้วยลมพัด
กิ่งสะท้านก้านสะบัดอุธัจประสม
ครั้นแกว่งกวัดขัดขวางอย่างตรอมตรม
ต้นระบมดุจทรมานทั้งก้านใบ
ตราบลมอุ่นละมุนมานแผ่วผ่านเอื้อ
ดั่งจุนเจือมอบพลังความหวังให้
กิ่งที่แห้งแปลงเป็นงามล้ำพิไล
เคยสั่นไหวพลันตระหง่านกิ่งก้านงาม
หลากน้ำใจไมตรีที่มอบให้
มากเยื่อใยผูกพันคอยหมั่นถาม
ถึงอ่อนล้าเหนื่อยใจในทุกยาม
ยังคงความห่วงใยไม่ทิ้งกัน
ฟ้าสีเทาคละเคล้าโศกโลกหมองหม่น
ผู้สับสนในชีวิตจิตพลิกผัน
พลันเปลี่ยนไปในนิยามความสัมพันธ์
คนสำคัญเสมือนได้ให้ไมตรี
ท่วงถ้อยคำพร่ำเปรยเอ่ยคำหวาน
ยังกังวานก้องใจในทุกที่
หนึ่งเส้นใยสายรักร้อยถักมี
ความหวังดีเชื่อมใจให้มั่นคง
หนึ่งต้นใจไสวงามด้วยความหวัง
ผลิใบออกดอกสะพรั่งดั่งประสงค์
กิ่งก้านชมร่มรื่นยั่งยืนยง
สูงระหงทรงสง่าท้าลมแรง
แจ้งในรักประจักษ์ใจในบัดนี้
ว่าโลกมีผู้หนึ่งซึ่งแข็งแกร่ง
มอบความหวังเสมอไปไม่เปลี่ยนแปลง
คือคนแห่งสิเนหาปรารถนาเอย ๚ะ๛
23 เมษายน 2549 01:30 น.
อัลมิตรา
๑.
..๏ โรมิโอหลั่งเลือดแล้ว.........วายปราณ
คงมั่นตราบอวสาน................รักแท้
หากมิอาจทัศนาการ..............โลหิต พ่อเฮย
สาเหตุฤๅเลศนัยแล้...............เช่นนี้ดังกัน ฯ
๒.
..๏ เพียงผองมโนภาพด้วย-....อุปมา
อันสุนัขตัวชรา-.....................ขุดแล้ว
จินตภาพติดตามตา...............ตรึงจิต ยิ่งแฮ
แฝงซึ่งความสอดแคล้ว.........บ่ได้ลืมเลือน ฯ
๓.
..๏ สายวสันต์อันเปรียบด้วย....โศกศัลย์
ยังพร่างพรมข่มขวัญ...............ไป่สิ้น
นับแต่แม่วิลาวัลย์...................พลัดพราก
คงแต่ความแดดิ้น...................ค่ำเช้าทุกข์ระทม ฯ
๔.
..๏ เหน็บหนาวราวไร้ที่............อาศัย
จมดิ่งน้ำฝนใน-.......................บัดนี้
น้ำตาที่รินไหล.........................เสมือนท่วม- ตนแล
จนมิอาจบ่งชี้...........................ชอกช้ำเกินทน ฯ
๕.
..๏ อดีตกาลเคยกล้าแกร่ง......เหิมหาญ
ปรากฏแก่เยาวมาลย์..............แจ่มแจ้ง
ยามเมื่อแม่ ฯ อันตรธาน.........เป็นอื่น
จึงปล่อยวางดังแกล้ง..............เช่นผู้ปราชัย ฯ
๖.
..๏ หมายใจใคร่เอ่ยเอื้อน.........บทกวี
เพลงรักอีกดนตรี.....................อื่นนั้น
สัญญาวิปลาสมี......................ปรากฏ พลันเฮย
โทมนัสกลับปิดกั้น...................ต่างล้วนลืมเลือน ฯ
๗.
..๏ ไตรลักษณ์จักสั่งให้.............ดำเนิน- ตามแฮ
เผลอจิตคิดเพลิดเพลิน............บอบช้ำ
ไม่เที่ยงมากทุกข์เผชิญ-..........ความอนัต- ตาเฮย
เป็นบทบัญญัติย้ำ....................จึ่งต้องจำนน ฯ
๘.
..๏ ข้า ฯ เยี่ยงกรวดไร้ค่า.........จริงฤๅ
หมายหยิบยังเกรงมือ..............หยาบกร้าน
ข้า ฯ ซื่อสัตย์ไยถือ...................เป็นอื่น นาแม่
เป็นห่วงว่าจุ้นจ้าน...................เช่นผู้เลือดเย็น ฯ
๙.
..๏ มุ่งหมายเพียงให้แม่-.........จอมขวัญ
แจ้งจิตในอาตมัน....................แห่งข้า ฯ
สิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญ.....................คือรัก- ยิ่งเฮย
จักมั่นคงตราบฟ้า-.................เสื่อมสิ้นดินสลาย ฯ
๑๐.
..๏ ข้า ฯ จักยึดมั่นด้วย...........สิเนหา
ตราบเมื่อเดือนดารา..............มืดพร้อม
จนตราบเมื่อสุริยา..................แตกดับ
ตราบเมื่อสรวงสวรรค์น้อม.....ตกใต้ปฐพี ฯ
๑๑.
..๏ เผยปากหากไร้ซึ่ง..............อรรถความ
มธุรสบทกวียาม.....................เอ่ยแล้
กลับปรากฏดังหนาม..............ตำจิต เสมอเอย
มิอาจเอ่ยคำแม้......................มากด้วยสิเนหา ฯ
๑๒.
..๏ ตราบใดตายจากเจ้า........ในอนา- คตเฮย
สิ่งหนึ่งซึ่งปรารถนา...............มากพ้น
คือแม่ ฯ จักหวนมา................ดั่งก่อน
ความรักจักท่วมท้น................จิตข้า ฯ ตลอดกาล ฯ
๑๓.
..๏ มีเพียงรูปแม่ ฯ ครั้ง............เคียงกัน
คือสิ่งที่ผูกพัน..........................จิตข้อง
ชีวิตที่แปรผัน...........................ตามติด- เตือนแล
ยังกักกุมคุมต้อง......................ตกใต้อาชญา ฯ
๑๔.
..๏ บางคราวราวมากด้วย........สุขสราญ
บางย่ำยามทรมาน...................ปวดร้าว
คนใดใคร่หักหาญ....................พรากแม่ ไปเฮย
คราเอ่ยลาดั่งง้าว.....................บาดเนื้อเถือใจ ฯ
๑๕.
..๏ หวังสยายผมแม่ ฯ ให้.........สลวยงาม
จุมพิตฝีปากยาม......................หยอกเย้า
หมายโอบกอดนงราม...............แนบอก
จักเอ่ยเปรยกวีเฝ้า....................พร่ำเพ้ออภิรมย์ ฯ
๑๖.
..๏ ยามใดหากแม่ ฯ ตั้ง-..........จิตภา- วนาเฮย
จงประจักษ์แก่ปัญญา...............แม่ ฯ นั้น
ในอดีตผิดพลาดมา..................วอนแม่ ฯ อภัยเทอญ
เพียงมนุษย์อันจริตรั้น...............หนึ่งผู้ปุถุชน ฯ
๑๗.
..๏ ยามใดใครกอดเจ้า ฯ...........ไยระทวย ?
ใครแนบเนื้อแม่อวย...................โอบเอื้อ ?
ใครเปรยเอ่ยคำระรวย..............เสนาะโสต แลฤๅ ?
คงเปี่ยมสุขยืดเยื้อ....................ประหนึ่งได้มุกมณี ? ฯ
๑๘.
..๏ ยามใดใคร่กอดเจ้า ฯ..........ไยขืน ?
ใคร่แนบเนื้อแม่ ฯ ยืน................ปัดป้อง
ใคร่เปรยเอ่ยคำฝืน....................โสตสดับ แลฤๅ ?
คงเบื่อหน่ายดังต้อง..................แปดเปื้อนปฏิกูล ? ฯ
๑๙.
..๏ หมายใจเป็นเช่นผู้...............เคียงอนงค์ แม่เอย
มธุรสพจน์กวีคง.......................เอ่ยอ้าง
โคลงฉันท์กาพย์กลอนผจง......เจรียงจาก ใจแล
จักกล่อมจอมขวัญบ้าง............ตราบสิ้นวันคืน ฯ
๒๐.
..๏ จอมขวัญโปรดล่วงรู้..........อรรถความ
ปฏิพัทธ์เช่นนิยาม...................สัตย์แล้
ยังรักแม่คนงาม......................เสมอยิ่ง
จักมั่นคงแน่แท้.......................เช่นนั้นนิรันดร ฯ
๒๑.
..๏ หากแม่ ฯ สั่งให้คร่ำ-.........ครวญครัน
จักร่ำไห้โศกศัลย์....................ค่ำเช้า
หากแม่ ฯ สั่งลงทัณฑ์.............สละชีพ พลันเฮย
จักเชือดคออวดเจ้า.................ว่าพร้อมยอมพลี ฯ
๒๒.
..๏ เงยหน้ามองข้า ฯ เถิด.......โฉมตรู
โปรดเพ่งพิจารณาดู...............ถ่องแท้
มอบรักมักอดสู.......................เสมือนพ่าย พนันเฮย
หมายเอ่ยเปรยคำแม้..............แลกด้วยธนสาร ฯ
๒๓.
..๏ อาภัพอับโชคเข้า...............ตาจน
แม่ ฯ โปรดปราณีคน-.............ยากบ้าง
หวังเคียงคู่นฤมล....................ดังก่อน นาแม่
ตราบสุริเยศสล้าง..................จรัสจ้ารัศมี ฯ
๒๔.
..๏ จอมขวัญโปรดล่วงรู้..........อรรถความ
ปฏิพัทธ์เช่นนิยาม..................สัตย์แล้
ยังรักแม่คนงาม.....................เสมอมั่น
จักมั่นคงแน่แท้......................เช่นนั้นนิรันดร ฯ
๒๕.
..๏ ข้าจักคงมั่นด้วย..............สิเนหา
ตราบเมื่อดาวดารา..............มืดพร้อม
จนตราบเมื่อสุริยา................แตกดับ
ตราบเมื่อสรวงสวรรค์น้อม.....ต่ำใต้ปฐพี ฯ
๒๖.
..๏ เผยปากหากไร้ซึ่ง............อรรถความ
มธุรสบทกวียาม...................เอ่ยแล้
กลับปรากฏดังหนาม............ตำจิต เสมอเอย
มิอาจเอ่ยคำแม้....................มากด้วยสิเนหา ฯ
๒๗.
..๏ ตราบใดตายจากเจ้า........ในอนา- คตเฮย
สิ่งหนึ่งซึ่งปรารถนา..............มากพ้น
คือแม่ ฯ จักคืนมา.................เสมือนเช่น เคยแฮ
ความรักจักเปี่ยมล้น.............ชั่วฟ้าดินสลาย ๚ะ๛
ยั ง รั ก แ ม่ ฯ ม า ก ล้ น . . . . เ ช่ น นี้ นิ รั น ด ร
20 เมษายน 2549 16:42 น.
อัลมิตรา
..๏ เพราะเราคือกรวดหินที่สิ้นค่า
ไร้คนมารวบรวมร้อยสวมใส่
มากรอยข่วนขีดขวางพร่างพร้อยไป
จะขัดสีเจียระไนก็ไม่งาม
ดูแตกต่างอย่างมณีที่บริสุทธิ์
มากมวลมนุษย์ใฝ่ฝันกันล้นหลาม
อยู่ใต้ดินหินบังยังพยายาม
สู้ติดตามเสาะหาเอามาครอง
อันกรวดหินดินทรายกระจายเกลื่อน
เปรียบเสมือนตัวตนคนหม่นหมอง
ครั้นเปรียบหินนิลมณีที่เรืองรอง
ฤๅควรปองคว้าไขว่ตามใจตน
สำนึกและจดจำว่าต่ำต้อย
ค่าเราน้อยยิ่งนักใครจักสน
เม็ดกรวดที่เกลื่อนกลาดอนาถยล
คงไร้คนคิดคว้ามาประดอย ๚ะ๛
19 เมษายน 2549 11:53 น.
อัลมิตรา
..๏ เมื่อเราสองต่างค้นกันจนเจอ
เราสองคนจึงเผลอเพ้อหวั่นไหว
จนกระทั่งเธอนั้นแปรผันไป
เหลือเพียงฉันร้องไห้ปราศใครแล
ฤๅสองเราพานพบเพื่อเพียงผ่าน
จบตำนานรักเลือนไร้กระแส
มากรอยร้าวซุกไว้ในดวงแด
คงยากแก้ปลุกฟื้นให้รื่นรมย์
หากวันนั้นต่างคนมิค้นหา
ฉันคงไม่เสียน้ำตาอุราขม
รักลวงเธอมอบไว้ทำให้ตรม
ฉันจ่อมจมโศกนั้นทุกวันคืน
รักเพื่อเพียงผ่านไปบางใครทำ
แผลคงย้ำมิหายกลายเป็นอื่น
หัวใจที่บอบช้ำเกินกล้ำกลืน
ฉันสะอื้นยามจิตคิดทบทวน ๚ะ๛
13 เมษายน 2549 23:31 น.
อัลมิตรา
ประวัติวันสงกรานต์
๑.
..๏ เพรงกาลอันล่วงแล้ว............คณาวิสัย
นานเนิ่นเกินกัปป์ขัย.................ผ่านพ้น
เศรษฐีหนึ่งมากใน.....................สมบัติ
เคหะสถานล้น............................เลิศล้ำศฤงคาร ๚
๒.
..๏ ทรัพย์มากหากปราศผู้..........สืบสกุล
เมียหนึ่งพอเจือจุน.....................เจตน์อ้าง
ครองเรือนต่างสนับสนุน.............เป็นสุข- ยิ่งนา
ตราบเฒ่าเนาแนบข้าง................คู่คล้องครองเกษม ๚
๓.
..๏ เรือนชานตระหง่านใกล้........โรงสุ- ราแฮ
หากนักเลงเหล้าอุ*.....................หนึ่งนั้น
มีบุตรสุดสวาทสุ-.......................วรรณเทียบ
ผุดผ่องงดงามครั้น.....................เพ่งแล้วเพลินเหลือ ๚
๔.
..๏ ณ อรุณรุ่งหนึ่งเจ้า.............คนเมา
เดินง่วนชวนหยักเหยา.............เพื่อนบ้าน
ผรุสวาททักทายเขา.................สุดหยาบ- คายนา
ดูหมิ่นดุจจิตด้าน......................ห่างด้วยคุณธรรม ๚
๕.
..๏ เศรษฐีมิขุ่นข้อง.................เคืองใจ
หากแต่คิดฉงนใน...................เรื่องย้ำ
เพียงเหตุเนื่องความใด...........จึงด่า เรานอ
ขอท่านอย่าเกินก้ำ..................เหตุแท้พึงขยาย ๚
๖.
..๏ คนเมาคราวกล่าวด้วย........ขำขัน
อันท่านสินทรัพย์อนันต์...........พรั่งพร้อม
เรือกสวนไร่นาครัน..................เรือนใหญ่- โตพ่อ
ปราศบุตรธิดาล้อม..................จักสิ้นวงศ์สกุล ๚
๗.
..๏ กงการงานด้วยท่าน-...........เชียวฤๅ
ไร้ลูกสุขนั้นคือ.........................มากพ้น
มากบุตรสุดชำงือ*....................จิตขุ่น- เคืองนา
โภคทรัพย์ดุจโจรปล้น.............เปรียบได้ดังกัน๚
๘.
..๏ ทุกข์มากหากไร้ลูก.............หลานเหลน
คราวเฒ่าจักชัดเจน...................ส่อเค้า
กายปวดเมื่อยอีกเคน*...............โรคเบียด- เบียนแฮ
ใครเล่าจักหยอกเย้า..................นวดเฟ้นเยียวยา ๚
๙.
..๏ คราชีพดับด่าวสิ้น.................ลมปราณ
สินทรัพยลับอันตรธาน...............เสื่อมด้วย
นาสวนไร่เรือนชาน....................ตกแก่- ใครฤๅ
ทนทุกข์ตราบมอดม้วย...............แม่นแท้คำเรา ๚
๑๐.
..๏ กุฏุมพีนิ่งด้วย......................จำนน
ครุ่นคิดจิตสับสน........................รุ่มร้อน
ปรารถน์บุตรสุดสวาทจน............ผอมซีด- เชียวนอ
ตรองตรึกนึกยอกย้อน................สิ่งเร้นเป็นจริง ๚
๑๑.
..๏ คำนึงคำถ้อยแห่ง.................คนหยาม
พินิจพิเคราะห์ความ...................ขุ่นคล้อง
ฤๅกรรมเก่าทัณฑ์ตาม................สาปส่ง จริงเฮย
สังเวชสังวาสย้อง.......................หากไร้บุตรเคียง ๚
๑๒.
..๏ เหตุไฉนจึ่งไร้ลูก..................หนอแม่- เรือนเอย
เหตุก่อนดุจร่างแห.....................ห่อหุ้ม
เหตุการณ์ผ่านผันแปร...............เปรียบวิ- บากฤา
เหตุสุดวิสัยคลุ้ม.........................ครั่นคร้ามตามหลอน ๚
๑๓.
..๏ ควรเราควรใฝ่เฝ้า.................บวงสรวง นาแม่
อุทิศอุทัยดวง.............................แจ่มฟ้า
สำรับสำหรับปวง-.......................ทวยเทพ
ประสิทธิ์ประสาทร้า*..................รื่นให้สมประสงค์ ๚
๑๔.
..๏ ผันศกศักราชพ้น.................สามวสันต์
ปราศเดชเหตุอัศจรรย์...............เสกให้
มิอาจสมปราถนาอัน..................จรุงเจต- นาเฮย
อธิษฐานเทพไท้.......................ไป่ได้ดังหวัง ๚
๑๕.
..๏ ณ กาลวันหนึ่งนั้น.................รวิวาร
นักขัตฤกษ์พิธาน........................เก่าย้อน
ราศีเมษแห่งกาล-.......................จิตตมาส
ทวยราษฏร์ต่างรำฟ้อน...............รื่นร้องสนุกสนาน ๚
๑๖.
..๏ เศรษฐีมีจิตพ้อง......................ภรรยา
คราวเมื่อมหาชนพา......................ลูกน้อย
เที่ยวชมมหรสพหนา....................หมองหม่น ยิ่งเฮย
สังเวชพลันเศร้าสร้อย..................เนื่องด้วยหน่อสกุล ๚
๑๗.
..๏ จึ่งคิดอุทิศไท้..........................เทพสวรรค์
เครื่องเซ่นบูชายัญ........................หลากล้น
บวงสรวงเทพยดาอัน....................มเหสักข์
สถิตย์โคนไทรต้น..........................ฝั่งน้ำภิรมย์สถาน ๚
๑๘.
..๏ มวลหมู่วิหคร้อง.......................เริงระงม
แผกเผ่าแปลกพันธ์ขรม.................กร่นก้อง
ยักย้ายขวักไขว่ชม........................แฉลบผ่าน
เห็นซึ่งพลีกรรมข้อง-......................มุ่งด้วยบุตรธิดา ๚
๑๙.
..๏ เครื่องเซ่นสรรพสิ่งล้วน...........มากมี
ข้าวสุกบริสุทธิ์ดี............................ยิ่งแท้
ข้าวสารคัดพรรณฉวี......................ผุดผ่อง
หุงจากน้ำนมแล้.............................เลิศล้ำหอมหวน ๚
๒๐.
..๏ บรรจงตกแต่งต้น.....................ไทรงาม- งดเฮย
พิณพาทย์ประโคมความ...............เพราะพริ้ง
แตรสังข์ดั่งประณาม*....................ทวยเทพ
หวังซึ่งบุตรสิงคลิ้ง*......................หล่อเลี้ยงสืบสกุล ๚
๒๑.
..๏ รุกขเทพสถิตย์ต้น....................ไทรตรอง
เห็นซึ่งพลีกรรมของ.......................คู่นี้
บังเกิดกรุณาระลอง*......................ดลจิต
จึงเหาะสู่สวรรค์รี้...........................เร่งเฝ้ามัฆวาน ๚
๒๒.
..๏ หากแต่องค์เทพไท้..................สรวงสวรรค์
ทิพยอาสน์เป็นอัศจรรย์..................ยิ่งแล้ว
คราวก่อนอ่อนนุ่มพลัน....................เปรียบแผ่น- ศิลาเฮย
ร้อนรุ่มหฤทัยแพ้ว*.........................ขุ่นข้องกังขา ๚
๒๓.
..๏ พระอินทร์ทรงเพ่งด้วย-............ทิพยญาณ
ทรงแจ่มแจ้งดังการณ์....................เช่นนั้น
หากเฉยจักมรณานต์......................เคลื่อนจาก- สวรรค์นอ
อายุเศรษฐีสั้น...............................จักม้วยเสมอตน ๚
๒๔.
..๏ ทรงมีดำรัสด้วย......................เทวบัญ- ชาแฮ
จึงส่งเทพยบุตรอัน......................เลิศหล้า
บุญญฤทธิ์สิทธิ์อนันต์..................เดชเดื่อง
คือเทพธรรมบาลกล้า..................สู่ท้องเศรษฐินี ๚
๒๕.
..๏ นับแต่เสร็จกิจนั้น.....................เมียผัว
สพสุขปราศหมองมัว.....................หม่นไข้
มินานฝ่ายเมียตัว...........................เกิดคลื่น- ไส้นา
อยากรสเปรี้ยวเปรียบได้...............ดั่งแจ้งแสดงครรภ์ ๚
๒๖.
..๏ เศรษฐีมิจิตพร้อม.....................โสมนัส- ยิ่งเอย
สั่งปลูกปราสาทจัด.........................เจ็ดชั้น
บริเวณแห่งไทรอุบัติ-.....................เลอเทียบ- สวรรค์นา
เป็นเคหสถานหั้น*..........................แห่งผู้สืบวงษ์ ๚
๒๗.
..๏ ทศมาสคลาดเคลื่อนคล้อย.......กาลสมัย
คลอดบุตรสุดพิไล..........................สง่าล้ำ
ขนานชื่อธรรมบาลไข....................ดังเก่า
อาพาธมิอาจกล้ำ...........................สุขด้วยบุญญา- บารมี ๚
๒๘.
..๏ วสันต์กาลผ่านพ้น...................เจ็ดหน
เพียรหมั่นศึกษาจน.......................เก่งกล้า
ศิลปวิทยามนต์.............................สรรพศาสตร์
ไตรเพทวิชาค้า-...........................รอบรู้สรรพเสียง ๚
๒๙.
..๏ คราวเมื่อกาลเก่านั้น................มหาชน
นบนอบพรหมเบื้องบน..................เทพไท้
เพราะท่านบ่งมงคล.......................แสดงแก่- ชนนา
เพียงเหตุฉะนี้ไซร์..........................ต่างน้อมบูชา ๚
๓๐.
..๏ กิตติศัพท์แห่งท้าว-..................ธรรมบาล
ชนต่างระบือขนาน.........................แซ่ซ้อง
ดุจศาสตราจารย์............................แห่งศิษย์
แสดงเหตุมงคลพ้อง......................ประจักษ์ผู้สรรเสริญ ๚
๓๑.
..๏ กบิลพรหมท่านท้าว...................มหิทธิคุณ
ทราบเรื่องพลันเคืองขุ่น..................จิตร้อน
อิจฉาอีกเอื้อหนุน............................ประทุษฐจิต
จึงผูกปัญหาซ้อน............................เล่ห์ร้ายมล้างชนม์ ๚
๓๒.
..๏ ปัญหาดุจหอกง้าว.......................ดาบคม
หวังบั่นคอนอนจม-...........................เลือดคลุ้ง
เพียงจิตคิดโสมม.............................หมกมุ่น- บาปนา
แก่งแย่งสำแดงฟุ้ง...........................ชั่วช้าสามานต์ ๚
๓๓.
..๏ นี่แนะพ่อหนุ่มน้อย......................สุธี
อันท่านปัญญาดี................................แน่แท้
สรรพวิทยาการมี..............................ปรากฏ- ตนเฮย
อัจฉริยภาพแล้.................................ล่วงล้ำเทพสวรรค์ ๚
๓๔.
..๏ หากเรามีสิ่งเร้น........................ปัญหา
ยังปราศผู้วิสัชนา...........................เนื่องด้วย
ควรนักหากท่านมา.........................คลายโจทย์ ฉงนนอ
ฤาท่านจักมอดม้วย........................เหตุด้อยจนเชาน์ ๚
๓๕.
..๏ ธรรมบาลนั้นใคร่-.......................ครวญเห็น- จริงนา
พรหมอาจเจือจิตเป็น.......................มุ่งร้าย
จึงถามไถ่ประเด็น............................ความเงื่อน- งำเฮย
ขอท่านจงผะผ้าย*...........................กล่าวข้อปัญหา ๚
๓๖.
..๏ กบิลพรหมเจ้าเล่ห์......................แห่งไตร- ภูมิเฮย
กระหยิ่มยิ้มทันใด.............................แยกเขี้ยว
อันท่านหากจนใน............................มวลปริศ- นานอ
ขออย่าทำบิดเบี้ยว..........................จักต้องตัดหัว ๚
๓๗.
..๏ นี่แน่ะพ่อหนุ่มน้อย.....................หน้ามน
หากท่านคลายความฉงน.................ขุ่นข้อง
เปิดเผยเอ่ยยุบล*............................ตรงเหตุ
เราจักตัดเศียรพ้อง...........................เพื่อให้ยุติธรรม ๚
๓๘.
..๏ หลากเรื่องหลากเล่ห์ร้าย.............หลอกลวง- ไรฤๅ
พรหมเพ่งเพียงผลพวง.....................ภัคน์พร้อม
ซอกซัง*สิ่งสิงทรวง..........................ทรามซ่อน
เหี้ยมโหดห่อหุ้มห้อม........................หัชให้โหยหวน ๚
๓๙.
..๏ ธรรมบาลคิดปลิดเปลื้อง.............ปัญหา
พลันเอ่ยปิยวาจา.............................ตอบด้วย
เราขอผ่อนเพลา..............................ตรองตรึก
จักบั่นคอมอดม้วย...........................หากไร้คำเฉลย ๚
๔๐.
..๏ ดีละถ้าเช่นนั้น............................พึงฟัง
อรุณรุ่งสุริเยศยัง..............................เยี่ยมฟ้า
ราศีที่ชนหวัง....................................สถิตอยู่ ใดฤา
ขอท่านอย่าชักช้า............................ตอบให้คลายใจ ๚
๔๑.
..๏ สุริยเทพเที่ยงตั้ง-........................ตรงหัว
สิริที่ชมชัว*........................................เนื่องนั้น
สถิตอยู่พอรู้ตัว..................................หรือไม่ นาพ่อ
เปรื่องปราดอาจปิดกั้น.......................มอดม้วยมรณา ๚
๔๒.
..๏ สายัณห์หลังเคลื่อนคล้อย............อัสดง
วิหคผกผินตรง...................................เยี่ยมเหย้า
ราศรีที่จำนง.......................................สถิตที่- ใดนา
ขอท่านพ่อหนุ่มเหน้า..........................อย่าให้คอยนาน ๚
๔๓.
..๏ เราขอเจ็ดชั่วคล้อย.......................สุรีย์ฉาย
จักคิดปริศนาคลาย.............................ขุ่นข้อง
หากพลาดจักขอตาย.........................ทูนมอบ - เศียรนา
คำสัตย์เสียงกู่ก้อง..............................เทพฟ้าเป็นพยาน ๚
๔๔.
..๏ จนจิตจนจับไข้...............................คร่ำเคร่ง- เฉลยแฮ
กาลล่วงกาลเลยเกรง..........................กลัดกลุ้ม
ย่ำค่ำย่ำคืนเหง*..................................ห่อนสุข
ปราศพิชญ์ปราดเปรื่องคุ้ม...................คลาดแคล้วยมบาล ๚
๔๕.
..๏ ห้าวันกาลเปลี่ยนแล้ว.....................ยังฉงน
สิริที่ขวายขวน.....................................หลบเร้น
ธรรมบาลหลีกสับสน............................มุ่งทุ่ง- นาเฮย
มือก่ายหน้าผากเขม้น-.........................จากผู้ปราศรัย ๚
๔๖.
..๏ เอนหลังใต้ต้นเดี่ยว.......................ตาลนา
สองเหยี่ยวเมียผัวครา........................หยอกเย้า
เมียนกกล่าววาจา..............................ถามต่อ- ผัวเฮย
วันพรุ่งยามรุ่งเช้า..............................จักได้ภักษา ๚
๔๗.
..๏ มิต้องลอยล่องฟ้า........................ปีกสยาย
เนื่องจากธรรมบาลตาย......................แน่แท้
พรหมฯเฒ่าจักมุ่งหมาย.....................เข่นฆ่า พ่อเฮย
เพราะมิอาจคิดแก้.............................กล่าวข้อปัญหา ๚
๔๘.
..๏ เหตุไฉนมล้างซึ่ง.........................เยาวพาน
ปราศจิตเมตตาผสาน........................โหดร้าย
ฤาเป็นเช่นมรณกาล..........................ของพ่อ- หนุ่มนา
พี่ท่านขอจงส้าย*...............................ตอบถ้อยคำเฉลย ๚
๔๙.
..๏ กุมารจักสิ้นชื่อ.............................เกียรติขจาย
คอขาดชีวาวาย..................................ดับดิ้น
ล่วงกาลเจ็ดวันปลาย.........................กำหนด
ครุ่นคิดปริศนาสิ้น...............................มืดคล้ายหมอกบัง ๚
๕๐.
..๏ ปัญหาข้อหนึ่งนั้น.......................จักเฉลย
ยามรุ่งราศีเผย.................................ที่หน้า
ตื่นเช้าอย่าละเลย............................ก่อนมุ่ง- การนา
ชำระมลทิลถ้า..................................ผ่องแล้วจักงาม ๚
๕๑.
..๏ ปริศนาลำดับข้อ......................ความสอง นาแม่
ยามเที่ยงสุรีย์รอง.........................เพริศแพร้ว
ราศีที่ชนปอง................................อยู่ที่- อกเฮย
ร้อนรุ่มสุมทรวงแล้ว.......................ลูบน้ำฉ่ำเย็น ๚
๕๒.
..๏ ตะวันชิงพลบร้าง...................เลือนมหรรณพ์
ชนมุ่งความสุขสันต์.......................หลับคล้อย
ราศีที่สมกัน.................................คือคู่- บาทนา
ก่อนมุ่งสู่ห้องน้อย.........................จักล้างก่อนเสมอ ๚
๕๓.
..๏ ธรรมบาลกรรณเงี่ยต้อง.............สุรเสียง
นกคู่ต่างจำเรียง.............................พจน์แก้
บังเกิดดุจเผลียง*..........................เย็นชุ่ม- ดินเฮย
โสมนัสปราโมทย์แล้......................ดั่งได้มไหศวรรย์ ๚
๕๔.
..๏ ครบวันกำหนดต้อง...................เฉลยความ
พรหมเฒ่านึกเหยียดหยาม.............ยักคิ้ว
หัวเราะเยาะคุกคาม........................ข่มพ่อ
หากตอบผิดบิดพลิ้ว.......................จักต้องตัดเศียร ๚
๕๕.
..๏ ธรรมบาลหนุ่มน้อย..................เมธี
ยามเอ่ยเผยปรัศนีย์......................เล่ห์ร้าย
สมคำดั่งพาที................................วิหค คู่นา
พรหมเฒ่าร้อนเร่าคล้าย.................มอดไหม้ในเพลิง ๚
๕๖.
..๏ ฟังความตามปราชญ์น้อย.........ธรรมบาล
พรหมเฒ่าราวทรมาน.....................มีดย้ำ
เสียชีพหากสมุฏฐาน.....................สัตย์ยั่ง- ยืนนา
ไตรโลกสรรเสริญซ้ำ.....................แซ่ซ้องนิรันดร ๚
๕๗.
..๏ กบิลพรหมข่มจิตด้วย..............ขันติ- ธรรมนา
เรียกลูกสาวสิริ..............................แน่งน้อย
สั่งเสียตามนิติ..............................สุดร่ำ- ไรเฮย
พ่อสุดแสนเศร้าสร้อย....................จากเจ้าเจ็ดนาง ๚
๕๘.
..๏ หากเศียรพ่อพลาดพลั้ง............ตกดิน
หรือเลือดหยดหลั่งริน....................อาบพื้น
โลกจักมอดไหม้ภินท์.....................สลายธาตุ
บังเกิดเอิกเกริกครื้น......................ล่มหล้าลบสวรรค์ ๚
๕๙.
..๏ จงรับเศียรพ่อด้วย..................พานทอง
ประทักษิณาผอง.........................เขตด้าว
กาลผันล่วงผ่านตรอง...................เมรุราช
เวียรรอบจนตราบท้าว*.................ศกสิ้นกาลสมัย ๚
๖o.
..๏ จงตกแต่งด้วยทิพย์..................สังเวย
เครื่องเซ่นเนรมิตเคย.....................หยิบใช้
วิษณุเทพบุตรเชย-........................ชมเสก- ...สรรค์นา
ดังเช่นมณเฑียรไท้........................เทพฟ้ามัฆวาน ๚
๖๑.
..๏ สั่งเสียเศียรขาดด้วย...............พระขรรค์
นางแม่พรหมกัญญ์......................แน่งน้อย
นามทุงษะเทวีพรรณ....................ผุดผ่อง
พานรับจับเศียรคล้อย...................นอบน้อมถนอมเศียร ๚
๖๒.
..๏ พรหมกัญญาแน่งน้อย............โฉมเฉลา
ทัดดอกทับทิมเนา........................หนึ่งแย้ม
อาภรณ์แต่งพริ้มเพรา..................ปัทมราช
มะเดื่อเป็นภักษ์แกล้ม..................หัตถ์ซ้ายทรงสังข์ ๚
๖๓.
..๏ หัตถ์ขวาทรงจักรเพี้ยง..............นารายณ์
ทรงครุฑยุดนาคสยาย....................ปีกกว้าง
รับเศียรซึ่งปิตุหมาย-.....................วนเทือก- สุเมรุนา
ลุศกศักราชอ้าง.............................เปลี่ยนน้องอัญเชิญ ๚
๖๔.
..๏ วันสงกรานต์เกิดด้วย................ดังความ- โคลงเฮย
วัฒนธรรมงดงาม...........................สืบไว้
ทำบุญตักบาตรยาม.......................เปลี่ยนศัก- ราชนา
ก่อพระเจดีย์ทรายให้.....................เหลื่อมฟ้าจิตรการ ๚
๖๕.
..๏ รดน้ำท่านผู้เฒ่า.......................ปูชนีย์
จักเช่นเป็นราศรี............................เกียรติสร้าง
มาลัยกระแจะมี.............................รดท่าน- เถิดนา
จักวัฒนานิจอ้าง............................ส่งให้เกษมศานต์ ๚
๖๖.
..๏ บรรเทิงเริงเล่นน้ำ.....................ยามสง- กรานต์นา
จิตใฝ่หมายจำนง...........................เก่ายั้ง
คงคู่ชาติดำรง................................ตราบลูก- หลายเฮย
เอกลักษณ์ไทยจักตั้ง.....................คู่ฟ้าเคียงสยาม ๚ะ๛
สรงน้ำพระ
..๏ น้อมจิตบูชา
องค์พระปฏิมา................ศรัทธาตั้งมั่น
จุดธูปเทียนถวาย...........มั่นหมายสารพัน
ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์.......ชีวันจึ่งเจริญ
ปิดทองอร่ามเรือง
พระพุทธนามเลื่อง..........ทรงเครื่องงามเกิน
ดอกไม้มาลา...................นำมาสรรเสริญ
เปรยคำกล่าวเกริ่น..........สรรเสริญพุทธคุณ
บุญญาบารมี
แห่งพุทธชินสีห์................จักมีเกื้อหนุน
พระธรรมล้ำเลิศ.............ประเสริฐสรรพบุณย์
จักเอื้อเจือจุน..................วิรุฬห์วัฒนา
มาลัยมาลัย
น้ำปรุงจรุงใจ....................น้ำใสน้ำท่า
น้อมเข้านมัสการ.............สงฆ์ท่านศีลา-
จารวัตรสุทธา...................ขอขมาขอพร ฯ
..๏ สรงน้ำพระสงฆ์
ด้วยจิตจำนง..................บุญจงสถาวร
บังเกิดผลดี....................อย่ามีทุกข์ร้อน
ตราบนิรันดร..................จตุรพรพร้อมมี
หอมเอยหอมกรุ่น
ขอให้กิตติคุณ.................หอมกรุ่นทุกที่
เสมือนน้ำใสเย็น.............จงเป็นผลดี
ยศศักดิ์มากมี.................ลาภทวีมากมาย
ผลบุญรักษา
มวลเทพยดา...................รักษาใจกาย
จักอยู่จตุรทิศ...................ฤๅคิดค้าขาย
ด้วยกุศโลบาย................สมหมายทุกประการ
กิจการงานเมือง
ขึ้นชื่อลือเลื่อง.................รุ่งเรืองเนื่องนาน
ไร้โรคาพาธ....................สามารถเชียวชาญ
วิวัฒนาการ....................ด้วยทานการกุศล ฯ
..๏ มากมิตรไมตรี
พร้อมชนคนดี................น้องพี่เหลือล้น
ร่วมทุกข์ร่วมสุข............ทั่วทุกผู้คน
ต่างมีอภินนท์.................บันดลสุขเกษม
สุขเอยสุขใจ
เกินกว่าหาไหน............จิตใจอิ่มเอม
เย็นใจไร้ทุกข์................แสนสุขปรีดิ์เปรม
ดั่งพบแดนเกษม..........อิ่มเอมยิ่งแล้
ร่มเย็นยั่งยืน
ประสบสุขสดชื่น..........ทุกคืนวันแท้
ด้วยบารมีพระ-............รัตนตรัยแล
ชีวิตแน่วแน่...................ถึงแก่รุ่งเจริญ
ไหว้พระสงกรานต์
ประเพณีสืบสาน...........นมัสการสรรเสริญ-
พระรัตนตรัย..................ดลให้จำเริญ
ทั้งได้เพลิดเพลิน...........นานเนิ่นตลอดวัน ๚ะ๛
บ้าบอขอสนุก
..๏ อ้อระเหยลอยนวล........กลิ่นพยอมหอมหวลลอยมาแต่ไกล
มาเที่ยวเทศกาลสรงกรานต์....สดชื่นรื่นสราญเบิกบานหัวใจ
ผู้คนมากหน้าหลายตา........ขวักไขว่ไปมาเอาละหวาผู้ใด
ตัวเราเปล่าเปลี่ยวยิ่งแท้......เข้าวัดหมายแค่เหลียวแลคู่ใจ
เห็นคนรุ่นราวสาวหนุ่ม.....โอ้เดินเกาะกลุ่มกระชุ่มกระชวยทันใด
สาวแก่แม่เฒ่าพ่อเฒ่า........มองหารุ่นเราผู้เยาว์ลงไป
เอ๊ะ ! นั่นสีสันบาดตา............เดินเลาะเข้ามาหน้าตาไฉไล
ขอสาดน้ำใสไหลเย็น...........ให้ซ่านกระเซ็นเป็นฟองเย็นใส
รดน้ำสาดน้ำมั่วแล้ว..............แต่ยังไม่แคล้วต้องระวังเข้าไว้
โทรศัพท์มือถือนั่นหนา..........อุ๊ย ! ที่โทรมางงหว่าเป็นไผ
ที่แท้พ่อแม่ของเรา.................สงสัยใคร่เฝ้าด้วยรักยิ่งใหญ่
ผู้คนสับสนอลหม่าน..............ขอร่ายลมปราณพลุ่งซ่านฉับไว
แล้วเต้นแร๊พร๊อครำเซิ้ง..........ด้วยใจบรรเทิงรื่นเริงหฤทัย
ศิลปินหมอรำบ่ฮู่.....................แต่ที่ข้อยรู้สบายอกสบายใจ
เอ๊ย ! นั่นพยาบาลแลหมอ.....วิ่งมาไล่ล่อเรานี่เหตุไร
เสียงร้องก้องถ้อยสำเนียง....จงอย่าหลีกเลี่ยงลี้หลบไปไหน
จับส่งโรงพยาบาลทันที.........พากลับส่งศรีธัญญาโดยไว
หลบละหนอนั่นใคร..............เป็นฟืนเป็นไฟวิ่งไล่เราเอย ๚ะ๛