26 มิถุนายน 2550 16:47 น.
อัลมิตรา
๏ ทุกวันนี้ล้นหลามในความสุข
ที่เคยทุกข์,ปวดร้าว,จนเศร้าหมอง
เปรียบฝนเอื้อชุบไพรนัยทำนอง
คล้ายลมล่องพัดสลายเลวร้ายไป
ทุกเวลานาทีที่สัมผัส
บ่งบอกชัดสุขอุรากว่าคราไหน
มิต้องคอยกังวลเล่ห์กลใด
หรือต้องคอยเอาใจใครบางคน
สองเดือนที่อยู่โยงทำโครงการฯ
ไม่เกียจคร้านหวังกระทำสำเร็จผล
เหนื่อยบ้างไหม - ท้อบ้างไหม ? ถามใจตน
ไม่สักหน .. ตอบได้จากใจจริง
บทกวีคุณชายหัวใจละมุน
ต้องวิ่งวุ่นแต่มิเคยจะเฉยนิ่ง
เที่ยวถามไถ่คนรู้จักพึ่งพักพิง
มุ่งมั่นยิ่งกระทำการบนลานกลอน
แม้เชิงอ่อนแสนด้อยยังคอยเสาะ
แน่วแน่เพราะหัวใจมิไถ่ถอน
สิบเจ็ดชายละมุนคุ้นสัญจร
ทุกบทกลอนได้บุญเขาจุนเจือ
แปดสิบห้าผลงานกานท์กวี
ชายใจดีร่วมประดิษฐ์มอบสิทธิ์เอื้อ
ทุกชิ้นงานความสามารถดั่งปราชญ์เครือ
หวานล้ำเหลือนะคุณชายใจละมุน
หนังสือเล่มเรียบง่ายคล้ายรายงาน
เผื่อคนอ่านผ่อนคลายหายว้าวุ่น
หนึ่งหัวใจขอมอบตอบแทนคุณ
แม้นร่วมบุญถ้าหากบริจาคทาน
อาจจะไม่สะสวยดูด้อยค่า
แต่เจตนาประกาศได้ว่าไพศาล
เราหวังช่วยผ่อนผันถิ่นกันดาร
บุญเจือจานด้วยกวีที่เป็นไป
โดยหน้าปกใคร่บอกที่ออกแบบ
ชมพูแสบปรากฏความสดใส
ภาพผู้ชายแสนละมุนคนคุ้นใจ
คนที่ใช่ .. มิตรภาพตราบฟ้าดิน
เราเรียบเรียงจากจิตแล้วคิดเล่า
รำลึกเขาผู้เกื้อกูลมิสูญสิ้น
มิตรภาพ ฤๅ เพียงแค่เผื่อแผ่กิน
คนละถิ่นแต่หัวใจไม่วังเวง
ส่วนอีกปกภาพเขาร่างเงาทาบ
สีฟ้าฉาบเห็นทะเลเรือเโหรงเหรง
เลขสิบเจ็ดสื่อนัยไม่กริ่งเกรง
จะบรรเลงนับแต่นี้กวีนิพนธ์
อาจมีแหล่งที่มาและที่ไป
หรืออาจไม่ สวนกลับเริ่มสับสน
ที่มาและที่ไปใครยินยล
ยามอับจนสูญสิ้นจินตนาการ
เราประดิษฐ์ประดอยสองร้อยเล่ม
เหมือนงมเข็มในสมุทรสุดเล่าขาน
โน่นไม่เคย,นี่ไม่เป็น,เค้นหัวบาน
กองกระดาษเกลื่อนบ้านละลานตา
กว่าสำเร็จสมมาตรตามคาดหวัง
ก็หลายพลั้งเหมือนใจไม่ประสา
แต่ยามพลาดก็ยิ้มได้ไม่ครณา
ยังฟันฝ่าจนสำเร็จเสร็จกระบวน
เคยนึกอยากยกโขยงส่งโรงพิมพ์
ฤๅ เต็มอิ่มความรู้สึกรำลึกถ้วน
ลงมือเองได้อะไรใจทบทวน
ด้วยสมควรถมถั่งความตั้งใจ
สมประสงค์เจตนาบรรณาการ
ปรากฏจิตเบิกบานเกินขานได้
อุราที่เปี่ยมสุขปราศทุกข์ใด
จะจดจำจารึกไว้ไม่ลืมเลือน ๚ะ๛
15 มิถุนายน 2550 14:22 น.
อัลมิตรา
แม้มิใช่ชาติใช่เชื้อ ถ้ามีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้ออาตมา
แม้เป็นชาติเป็นเชื้อ ถ้าไม่มีการเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้อในป่า
๏ อุปมาเชิงธรรมโน้มนำจิต
ให้พินิจพิเคราะห์ความเหมาะสม
แม้เป็นชาติเป็นเชื้อเมื่อแล้งลม
หากชื่นชมฤๅกมลสับสนใด
มาตรแม้ว่ามิใช่ชาติใช่เชื้อ
แต่ดวงจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้
ทุกอย่างที่กระทำล้วนน้ำใจ
เทียบเนื้อในอาตมันกระนั้นแล
คำใช่ชาติใช่เชื้อเมื่อเอ่ยเทียบ
ศาสดาเปรียบนัยยะในกระแส
สานุศิษย์ทั้งปวงลุดวงแด
ญาติจริงแท้/เพื่อนปลอมย่อมต่างกัน
ทุกสรรพสิ่งย่อมพึ่งพาอัชฌาสัย
รำลึก ไว้ ณ ดวงจิตมิผิดผัน
ไม่ว่ามากหรือน้อยคอยแบ่งปัน
โลกสุขสันต์ก็เพราะธรรมนำวิธี
จะชาติเชื้อหรือไม่ใคร่ครวญคิด
อย่ายึดติดกับพวกพ้องทำนองวิถี
ผิดหรือถูกต้องจำแนกแยกชั่วดี
ปัญญามีพึงใช้เพื่อไตร่ตรอง ๚ะ๛
13 มิถุนายน 2550 17:36 น.
อัลมิตรา
๏ เขาบอกให้สมานฉันท์ผูกพันมิตร
ชักตะหงิดนี่หรือขานสมานฉันท์
ชาวปักษ์ใต้ถูกฆ่าเข่นไม่เว้นวัน
สมานฉันท์เท่าที่เห็นลุกเป็นไฟ
บรรดาม็อบกอบกู้ใครปูเสื่อ
คนขี่เสือนั่งงงฤๅลงไหว
ปกาศิตอายัดทรัพย์กับดักใคร
คนเคยใหญ่ร้อนรนคล้ายจนมุม
นักการเมืองปากตะไกรหัวใจมั่น
ช่างดื้อรั้นแตกแถวเห็นแล้วกลุ้ม
ประเทศชาติยุ่งเหยิงดั่งเพลิงรุม
ยังแบ่งกลุ่มฟาดฟันน่าขันแท้
แอบมาบ่นบวกบวกกับพวกพ้อง
ไม่เรียกร้องให้กลบลบกระแส
เมื่อเหตุการณ์สมานฉันท์เริ่มผันแปร
ฉันก็แค่เคี่ยวละลายความหมายมัน ๚ะ๛
7 มิถุนายน 2550 23:28 น.
อัลมิตรา
๏ เรารับรู้เรื่องราวอันเศร้าโศก
คล้ายกับโลกอยุติธรรมกระหน่ำเขา
ต้นเหตุเคราะห์เพราะมีพ่อขี้เมา
กินแต่เหล้าแล้วทุบตีทุกวี่วัน
เขา -ธันวา วิไล- หน้าใสซื่อ
อดบางมื้ออยู่ไปอย่างไหวหวั่น
ภาระแอกแบกปัญหาสารพัน
ต้องฝ่าฟันความยากไร้เพื่อได้เรียน
หลายครั้งที่อิดโรยและโหยหิว
ท้องร้องกิ่วทรมานยามอ่านเขียน
น้ำประทังลำบากหากยังเพียร
หวังปรับเปลี่ยนชีพตนพ้นชะตา
เขาวาดฝันวันใดได้เรียนจบ
จะพานพบชีวิตใหม่ใจหรรษา
แต่วันพรุ่งเลือนลางดุจค้างคา
ไม่รู้ว่ากองทุนไหนจุนเจือ ?
หากไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ
คิดแล้วท้อชีวิตยามคิดเผื่อ
คงไม่พ้นกินข้าวคลุกเคล้าเกลือ
และไม่เหลือสิ่งใดชุบใจตน
........................................................
-ธันวา- เอ๋ย...คนดีที่สัมผัส
เรายากปัดหักใจทำไม่สน
อยากช่วยเหลือพยุงไว้ในหนึ่งคน
ฉุดเขาพ้นห้วงทุกข์พบสุขสบาย
หนึ่งกำลังสองมือฤๅสามารถ
แม้นไม่อาจพาเขาสู่เป้าหมาย
แต่เจตนาของเรามิเปล่าดาย
ด้วยสหายเมตตามาบำรุง
โปรดจุนเจือเด็กน้อยที่ด้อยแรง
ให้เติบโตกล้าแกร่งแล้วแรงรุ่ง
เราวิงวอนให้ร่วมด้วยช่วยผดุง
มอบวันพรุ่งแด่ -ธันวา- สักคราเทอญ ๚ะ๛
6 มิถุนายน 2550 12:47 น.
อัลมิตรา
๏ เชิญร้องไห้ให้พอคนท้อแท้
รินกระแสอารมณ์พร่างพรมไหล
เมื่อเลิกร้องเลิกช้ำจงทำใจ
ลุกขึ้นใหม่อีกครั้งอย่ารั้งรอ
ยามน้ำตาเหือดแห้งโปรดแกร่งกล้า
ความปวดปร่าละมันเถิดฉันขอ
หวังคำพูดตรงตรงคงเพียงพอ
ปลอบคนท้อเพื่อคืนความรื่นรมย์
หากเธอไม่ตระหนักเลยสักนิด
ซ้ำถือสิทธิ์คล้อยตามความขื่นขม
ยอมพ่ายแพ้แก่ชะตาก้มหน้าตรม
เทียบเธอคนโง่งมคงกลมกลืน
จงปลดเรื่องโศกศัลย์เหล่านั้นเสีย
ยามละเหี่ยสู้เตือนใจให้แข็งขืน
แล้วพิจารณาเหตุการณ์เมื่อวานซืน
เพื่อพลิกฟื้นอีกหนเป็นคนเดิม ๚ะ๛