22 เมษายน 2551 14:49 น.
อัลมิตรา
๏ เศรษฐกิจติดขัดอึดอัดหนอ
อยู่อย่างไรเพียงพอขอถามไถ่
เพราะข้าวยากหมากแพงขึ้นแข่งไป
ส่วนรายได้ของเรามันเท่าเดิม
ทุกข์สาหัสขัดสนทนท้องกิ่ว
คราโหยหิวต้องการอาหารเสริม
เผลอมองหญ้ายาไส้หมายต่อเติม
หญ้าดันเพิ่มมูลค่าราคาแพง
จะประหยัดอย่างไรในหนทาง
เพราะทุกอย่างต้องซื้อต้องยื้อแย่ง
ช่างอนาถปราศเหลือแม้เกลือแกง
คิดแอบแฝงเข้าคุกกินข้าวฟรี
สารพันรันทดแสนอดอยาก
เราลำบากเนื่องด้วยรวยเจ้าหนี้
ทำไงได้ในเมื่อเงินไม่มี
เกียรติศักดิ์ศรีเก็บพับคราวอับจน
หวังลืมตาอ้าปากฝากโชคช่วย
มาตรแม้นเราถูกหวยร่ำรวยผล
จะแจกจ่ายความสุขให้ทุกคน
แต่ตอนนี้กระเสือกกระสนเฝ้าบนบาน
ท่องหิวหนออิ่มหนอจนท้อใจ
เพียงเพื่อให้ความจนมันพ้นผ่าน
ประเทศไทยในแคว้นแสนกันดาร
อยากย้ายบ้านไกลราวสุดดาวแดน
คิดลงรากปักฐานสร้างบ้านใหม่
หวังเลี่ยงภัยความจนหลบข้นแค้น
แม้นต้องหาหญ้าดินมากินแทน
จะแสร้งว่าสุขแสนนั่นแผนเรา ๚ะ๛
19 เมษายน 2551 22:43 น.
อัลมิตรา
๏ เจ้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในครานี้
และเกือบที่ยอมรับว่าสับสน
การแข่งขันเคร่งเครียดคล้ายเบียดชน
เพราะกังวลมากหนอจึงท้อใจ
กว่าเรี่ยวแรงแกร่งกล้ากว่าคราก่อน
บทเรียนสอนอ้างอิงความยิ่งใหญ่
เจ้าจงย้อนตอนเด็กยามเล็กไป
พลิก/คว่ำ/คลาน/ยืน/ได้...โดยใครกัน
ควรรำลึกเรื่องราวย่างก้าวแรก
คราวก้าวสู่โลกแปลกที่แผกผัน
กี่ล้มลุกคลุกคลานเนิ่นนานวัน
จวบเท้ามั่นเยี่ยงนี้ท่าทีเดิน
กว่าอักษรตัวแรกเข้าแทรกซึม
เจ้าเคยทึ่มงงงวยอาจขวยเขิน
ครั้น ก.กา ก.ไก่ อ่านได้เพลิน
ช่วงเจริญอีกวัยเจ้าได้เรียน
ณ สถานศึกษาวิชาการ
กว่าเขาบอกเจ้าผ่านการอ่านเขียน
เจ้าไม่อยากลำบากจึงพากเพียร
ถูกเขาเฆี่ยนบางหนต้องทนเอา
จนสำเร็จเสร็จสรรพรับปริญญา
ใบตีตราเจ้าฉลาดไม่ขลาดเขลา
เออออเองเก่งแล้วคิดแผ่วเบา
ครั้นพลาดพลั้งตัวเจ้าจึงเศร้าตรม
เจ้าสามารถปราดเปรื่องในเรื่องเรียน
แต่กลับเพี้ยนมากมายไม่เหมาะสม
ประสบการณ์ผ่านมาค่าแล้งลม
เจ้าโง่งมหลงเชื่อตนช่ำชอง
ทุกข์หนักหน่วงช่วงโค้งของชีวิต
เพราะคาดผิดไปหน่อยด้อยสมอง
เจ้าเลี่ยงรู้สู้ภัยไม่ไตร่ตรอง
กลับร่ำร้องเกลียดโกรธโทษชะตา
เจ้าหลงลืมเรื่องราวในคราวก่อน
หากเจ้าย้อนเพียงนิดจิตรู้ค่า
เจ้าจะยังหยัดได้แม้นภัยมา
ดุจเด็กน้อยยิ้มร่าเมื่อกล้าเดิน ๚ะ๛
11 เมษายน 2551 10:23 น.
อัลมิตรา
ตำนานวันสงกรานต์
๑.
..๏ เพรงกาลอันล่วงแล้ว...........คณาวิสัย
นานเนิ่นเกินกัปป์ขัย.................ผ่านพ้น
เศรษฐีหนึ่งมากใน....................สมบัติ
เคหะสถานล้น...........................เลิศล้ำศฤงคาร ๚
๒.
..๏ ทรัพย์มากหากปราศผู้.........สืบสกุล
เมียหนึ่งพอเจือจุน....................เจตน์อ้าง
ครองเรือนต่างสนับสนุน............เป็นสุข- ยิ่งนา
ตราบเฒ่าเนาแนบข้าง...............คู่คล้องครองเกษม ๚
๓.
..๏ เรือนชานตระหง่านใกล้.....โรงสุ- ราแฮ
หากนักเลงเหล้าอุ*..................หนึ่งนั้น
มีบุตรสุดสวาทสุ-.....................วรรณเทียบ
ผุดผ่องงดงามครั้น...................เพ่งแล้วเพลินเหลือ ๚
๔.
..๏ ณ อรุณรุ่งหนึ่งเจ้า.............คนเมา
เดินง่วนชวนหยักเหยา.............เพื่อนบ้าน
ผรุสวาททักทายเขา.................สุดหยาบ- คายนา
ดูหมิ่นดุจจิตด้าน......................ห่างด้วยคุณธรรม ๚
๕.
..๏ เศรษฐีมิขุ่นข้อง.................เคืองใจ
หากแต่คิดฉงนใน...................เรื่องย้ำ
เพียงเหตุเนื่องความใด...........จึงด่า เรานอ
ขอท่านอย่าเกินก้ำ..................เหตุแท้พึงขยาย ๚
๖.
..๏ คนเมาคราวกล่าวด้วย.......ขำขัน
อันท่านสินทรัพย์อนันต์..........พรั่งพร้อม
เรือกสวนไร่นาครัน.................เรือนใหญ่- โตพ่อ
ปราศบุตรธิดาล้อม.................จักสิ้นวงศ์สกุล ๚
๗.
..๏ กงการงานด้วยท่าน-.........เชียวฤๅ
ไร้ลูกสุขนั้นคือ........................มากพ้น
มากบุตรสุดชำงือ*.................จิตขุ่น- เคืองนา
โภคทรัพย์ดุจโจรปล้น............เปรียบได้ดังกัน๚
๘.
..๏ ทุกข์มากหากไร้ลูก...........หลานเหลน
คราวเฒ่าจักชัดเจน................ส่อเค้า
กายปวดเมื่อยอีกเคน*............โรคเบียด- เบียนแฮ
ใครเล่าจักหยอกเย้า...............นวดเฟ้นเยียวยา ๚
๙.
..๏ คราชีพดับด่าวสิ้น..............ลมปราณ
สินทรัพยลับอันตรธาน............เสื่อมด้วย
นาสวนไร่เรือนชาน..................ตกแก่- ใครฤๅ
ทนทุกข์ตราบมอดม้วย............แม่นแท้คำเรา ๚
๑๐.
..๏ กุฏุมพีนิ่งด้วย..................จำนน
ครุ่นคิดจิตสับสน....................รุ่มร้อน
ปรารถน์บุตรสุดสวาทจน........ผอมซีด- เชียวนอ
ตรองตรึกนึกยอกย้อน............สิ่งเร้นเป็นจริง ๚
๑๑.
..๏ คำนึงคำถ้อยแห่ง...............คนหยาม
พินิจพิเคราะห์ความ.................ขุ่นคล้อง
ฤๅกรรมเก่าทัณฑ์ตาม.............สาปส่ง จริงเฮย
สังเวชสังวาสย้อง.....................หากไร้บุตรเคียง ๚
๑๒.
..๏ เหตุไฉนจึ่งไร้ลูก................หนอแม่- เรือนเอย
เหตุก่อนดุจร่างแห...................ห่อหุ้ม
เหตุการณ์ผ่านผันแปร.............เปรียบวิ- บากฤา
เหตุสุดวิสัยคลุ้ม.......................ครั่นคร้ามตามหลอน ๚
๑๓.
..๏ ควรเราควรใฝ่เฝ้า...............บวงสรวง นาแม่
อุทิศอุทัยดวง...........................แจ่มฟ้า
สำรับสำหรับปวง-.....................ทวยเทพ
ประสิทธิ์ประสาทร้า*................รื่นให้สมประสงค์ ๚
๑๔.
..๏ ผันศกศักราชพ้น...............สามวสันต์
ปราศเดชเหตุอัศจรรย์.............เสกให้
มิอาจสมปราถนาอัน................จรุงเจต- นาเฮย
อธิษฐานเทพไท้.....................ไป่ได้ดังหวัง ๚
๑๕.
..๏ ณ กาลวันหนึ่งนั้น..............รวิวาร
นักขัตฤกษ์พิธาน.....................เก่าย้อน
ราศีเมษแห่งกาล-....................จิตตมาส
ทวยราษฏร์ต่างรำฟ้อน............รื่นร้องสนุกสนาน ๚
๑๖.
..๏ เศรษฐีมีจิตพ้อง..................ภรรยา
คราวเมื่อมหาชนพา..................ลูกน้อย
เที่ยวชมมหรสพหนา................หมองหม่น ยิ่งเฮย
สังเวชพลันเศร้าสร้อย..............เนื่องด้วยหน่อสกุล ๚
๑๗.
..๏ จึ่งคิดอุทิศไท้.....................เทพสวรรค์
เครื่องเซ่นบูชายัญ...................หลากล้น
บวงสรวงเทพยดาอัน...............มเหสักข์
สถิตย์โคนไทรต้น.....................ฝั่งน้ำภิรมย์สถาน ๚
๑๘.
..๏ มวลหมู่วิหคร้อง..................เริงระงม
แผกเผ่าแปลกพันธ์ขรม............กร่นก้อง
ยักย้ายขวักไขว่ชม...................แฉลบผ่าน
เห็นซึ่งพลีกรรมข้อง-.................มุ่งด้วยบุตรธิดา ๚
๑๙.
..๏ เครื่องเซ่นสรรพสิ่งล้วน......มากมี
ข้าวสุกบริสุทธิ์ดี.......................ยิ่งแท้
ข้าวสารคัดพรรณฉวี.................ผุดผ่อง
หุงจากน้ำนมแล้........................เลิศล้ำหอมหวน ๚
๒๐.
..๏ บรรจงตกแต่งต้น................ไทรงาม- งดเฮย
พิณพาทย์ประโคมความ..........เพราะพริ้ง
แตรสังข์ดั่งประณาม*...............ทวยเทพ
หวังซึ่งบุตรสิงคลิ้ง*.................หล่อเลี้ยงสืบสกุล ๚
๒๑.
..๏ รุกขเทพสถิตย์ต้น...............ไทรตรอง
เห็นซึ่งพลีกรรมของ..................คู่นี้
บังเกิดกรุณาระลอง*.................ดลจิต
จึงเหาะสู่สวรรค์รี้......................เร่งเฝ้ามัฆวาน ๚
๒๒.
..๏ หากแต่องค์เทพไท้.............สรวงสวรรค์
ทิพยอาสน์เป็นอัศจรรย์.............ยิ่งแล้ว
คราวก่อนอ่อนนุ่มพลัน...............เปรียบแผ่น- ศิลาเฮย
ร้อนรุ่มหฤทัยแพ้ว*....................ขุ่นข้องกังขา ๚
๒๓.
..๏ พระอินทร์ทรงเพ่งด้วย-......ทิพยญาณ
ทรงแจ่มแจ้งดังการณ์..............เช่นนั้น
หากเฉยจักมรณานต์................เคลื่อนจาก- สวรรค์นอ
อายุเศรษฐีสั้น........................จักม้วยเสมอตน ๚
๒๔.
..๏ ทรงมีดำรัสด้วย.................เทวบัญ- ชาแฮ
จึงส่งเทพยบุตรอัน.................เลิศหล้า
บุญญฤทธิ์สิทธิ์อนันต์.............เดชเดื่อง
คือเทพธรรมบาลกล้า.............สู่ท้องเศรษฐินี ๚
๒๕.
..๏ นับแต่เสร็จกิจนั้น...............เมียผัว
สพสุขปราศหมองมัว...............หม่นไข้
มินานฝ่ายเมียตัว.....................เกิดคลื่น- ไส้นา
อยากรสเปรี้ยวเปรียบได้.........ดั่งแจ้งแสดงครรภ์ ๚
๒๖.
..๏ เศรษฐีมิจิตพร้อม...............โสมนัส- ยิ่งเอย
สั่งปลูกปราสาทจัด...................เจ็ดชั้น
บริเวณแห่งไทรอุบัติ-...............เลอเทียบ- สวรรค์นา
เป็นเคหสถานหั้น*....................แห่งผู้สืบวงษ์ ๚
๒๗.
..๏ ทศมาสคลาดเคลื่อนคล้อย..กาลสมัย
คลอดบุตรสุดพิไล.....................สง่าล้ำ
ขนานชื่อธรรมบาลไข...............ดังเก่า
อาพาธมิอาจกล้ำ......................สุขด้วยบุญญา- บารมี ๚
๒๘.
..๏ วสันต์กาลผ่านพ้น.................เจ็ดหน
เพียรหมั่นศึกษาจน.....................เก่งกล้า
ศิลปวิทยามนต์...........................สรรพศาสตร์
ไตรเพทวิชาค้า-.........................รอบรู้สรรพเสียง ๚
๒๙.
..๏ คราวเมื่อกาลเก่านั้น..............มหาชน
นบนอบพรหมเบื้องบน................เทพไท้
เพราะท่านบ่งมงคล.....................แสดงแก่- ชนนา
เพียงเหตุฉะนี้ไซร์........................ต่างน้อมบูชา ๚
๓๐.
..๏ กิตติศัพท์แห่งท้าว-................ธรรมบาล
ชนต่างระบือขนาน.......................แซ่ซ้อง
ดุจศาสตราจารย์..........................แห่งศิษย์
แสดงเหตุมงคลพ้อง....................ประจักษ์ผู้สรรเสริญ ๚
๓๑.
..๏ กบิลพรหมท่านท้าว................มหิทธิคุณ
ทราบเรื่องพลันเคืองขุ่น...............จิตร้อน
อิจฉาอีกเอื้อหนุน.........................ประทุษฐจิต
จึงผูกปัญหาซ้อน.........................เล่ห์ร้ายมล้างชนม์ ๚
๓๒.
..๏ ปัญหาดุจหอกง้าว....................ดาบคม
หวังบั่นคอนอนจม-........................เลือดคลุ้ง
เพียงจิตคิดโสมม..........................หมกมุ่น- บาปนา
แก่งแย่งสำแดงฟุ้ง........................ชั่วช้าสามานต์ ๚
๓๓.
..๏ นี่แนะพ่อหนุ่มน้อย...................สุธี
อันท่านปัญญาดี.............................แน่แท้
สรรพวิทยาการมี...........................ปรากฏ- ตนเฮย
อัจฉริยภาพแล้..............................ล่วงล้ำเทพสวรรค์ ๚
๓๔.
..๏ หากเรามีสิ่งเร้น......................ปัญหา
ยังปราศผู้วิสัชนา.........................เนื่องด้วย
ควรนักหากท่านมา.......................คลายโจทย์ ฉงนนอ
ฤาท่านจักมอดม้วย......................เหตุด้อยจนเชาน์ ๚
๓๕.
..๏ ธรรมบาลนั้นใคร่-....................ครวญเห็น- จริงนา
พรหมอาจเจือจิตเป็น....................มุ่งร้าย
จึงถามไถ่ประเด็น.........................ความเงื่อน- งำเฮย
ขอท่านจงผะผ้าย*........................กล่าวข้อปัญหา ๚
๓๖.
..๏ กบิลพรหมเจ้าเล่ห์...................แห่งไตร- ภูมิเฮย
กระหยิ่มยิ้มทันใด..........................แยกเขี้ยว
อันท่านหากจนใน.........................มวลปริศ- นานอ
ขออย่าทำบิดเบี้ยว.......................จักต้องตัดหัว ๚
๓๗.
..๏ นี่แน่ะพ่อหนุ่มน้อย..................หน้ามน
หากท่านคลายความฉงน..............ขุ่นข้อง
เปิดเผยเอ่ยยุบล*.........................ตรงเหตุ
เราจักตัดเศียรพ้อง........................เพื่อให้ยุติธรรม ๚
๓๘.
..๏ หลากเรื่องหลากเล่ห์ร้าย..........หลอกลวง- ไรฤๅ
พรหมเพ่งเพียงผลพวง..................ภัคน์พร้อม
ซอกซัง*สิ่งสิงทรวง.......................ทรามซ่อน
เหี้ยมโหดห่อหุ้มห้อม.....................หัชให้โหยหวน ๚
๓๙.
..๏ ธรรมบาลคิดปลิดเปลื้อง..........ปัญหา
พลันเอ่ยปิยวาจา..........................ตอบด้วย
เราขอผ่อนเพลา...........................ตรองตรึก
จักบั่นคอมอดม้วย........................หากไร้คำเฉลย ๚
๔๐.
..๏ ดีละถ้าเช่นนั้น.........................พึงฟัง
อรุณรุ่งสุริเยศยัง...........................เยี่ยมฟ้า
ราศีที่ชนหวัง.................................สถิตอยู่ ใดฤา
ขอท่านอย่าชักช้า.........................ตอบให้คลายใจ ๚
๔๑.
..๏ สุริยเทพเที่ยงตั้ง-....................ตรงหัว
สิริที่ชมชัว*....................................เนื่องนั้น
สถิตอยู่พอรู้ตัว..............................หรือไม่ นาพ่อ
เปรื่องปราดอาจปิดกั้น...................มอดม้วยมรณา ๚
๔๒.
..๏ สายัณห์หลังเคลื่อนคล้อย........อัสดง
วิหคผกผินตรง...............................เยี่ยมเหย้า
ราศรีที่จำนง...................................สถิตที่- ใดนา
ขอท่านพ่อหนุ่มเหน้า......................อย่าให้คอยนาน ๚
๔๓.
..๏ เราขอเจ็ดชั่วคล้อย...................สุรีย์ฉาย
จักคิดปริศนาคลาย.........................ขุ่นข้อง
หากพลาดจักขอตาย.....................ทูนมอบ - เศียรนา
คำสัตย์เสียงกู่ก้อง..........................เทพฟ้าเป็นพยาน ๚
๔๔.
..๏ จนจิตจนจับไข้...........................คร่ำเคร่ง- เฉลยแฮ
กาลล่วงกาลเลยเกรง......................กลัดกลุ้ม
ย่ำค่ำย่ำคืนเหง*..............................ห่อนสุข
ปราศพิชญ์ปราดเปรื่องคุ้ม...............คลาดแคล้วยมบาล ๚
๔๕.
..๏ ห้าวันกาลเปลี่ยนแล้ว................ยังฉงน
สิริที่ขวายขวน................................หลบเร้น
ธรรมบาลหลีกสับสน.......................มุ่งทุ่ง- นาเฮย
มือก่ายหน้าผากเขม้น-....................จากผู้ปราศรัย ๚
๔๖.
..๏ เอนหลังใต้ต้นเดี่ยว..................ตาลนา
สองเหยี่ยวเมียผัวครา...................หยอกเย้า
เมียนกกล่าววาจา.........................ถามต่อ- ผัวเฮย
วันพรุ่งยามรุ่งเช้า.........................จักได้ภักษา ๚
๔๗.
..๏ มิต้องลอยล่องฟ้า...................ปีกสยาย
เนื่องจากธรรมบาลตาย.................แน่แท้
พรหมฯเฒ่าจักมุ่งหมาย................เข่นฆ่า พ่อเฮย
เพราะมิอาจคิดแก้........................กล่าวข้อปัญหา ๚
๔๘.
..๏ เหตุไฉนมล้างซึ่ง....................เยาวพาน
ปราศจิตเมตตาผสาน...................โหดร้าย
ฤาเป็นเช่นมรณกาล.....................ของพ่อ- หนุ่มนา
พี่ท่านขอจงส้าย*..........................ตอบถ้อยคำเฉลย ๚
๔๙.
..๏ กุมารจักสิ้นชื่อ........................เกียรติขจาย
คอขาดชีวาวาย.............................ดับดิ้น
ล่วงกาลเจ็ดวันปลาย....................กำหนด
ครุ่นคิดปริศนาสิ้น..........................มืดคล้ายหมอกบัง ๚
๕๐.
..๏ ปัญหาข้อหนึ่งนั้น..................จักเฉลย
ยามรุ่งราศีเผย............................ที่หน้า
ตื่นเช้าอย่าละเลย.......................ก่อนมุ่ง- การนา
ชำระมลทิลถ้า.............................ผ่องแล้วจักงาม ๚
๕๑.
..๏ ปริศนาลำดับข้อ....................ความสอง นาแม่
ยามเที่ยงสุรีย์รอง.......................เพริศแพร้ว
ราศีที่ชนปอง..............................อยู่ที่- อกเฮย
ร้อนรุ่มสุมทรวงแล้ว.....................ลูบน้ำฉ่ำเย็น ๚
๕๒.
..๏ ตะวันชิงพลบร้าง.................เลือนมหรรณพ์
ชนมุ่งความสุขสันต์....................หลับคล้อย
ราศีที่สมกัน...............................คือคู่- บาทนา
ก่อนมุ่งสู่ห้องน้อย......................จักล้างก่อนเสมอ ๚
๕๓.
..๏ ธรรมบาลกรรณเงี่ยต้อง.........สุรเสียง
นกคู่ต่างจำเรียง..........................พจน์แก้
บังเกิดดุจเผลียง*.......................เย็นชุ่ม- ดินเฮย
โสมนัสปราโมทย์แล้...................ดั่งได้มไหศวรรย์ ๚
๕๔.
..๏ ครบวันกำหนดต้อง.................เฉลยความ
พรหมเฒ่านึกเหยียดหยาม..........ยักคิ้ว
หัวเราะเยาะคุกคาม.....................ข่มพ่อ
หากตอบผิดบิดพลิ้ว....................จักต้องตัดเศียร ๚
๕๕.
..๏ ธรรมบาลหนุ่มน้อย................เมธี
ยามเอ่ยเผยปรัศนีย์....................เล่ห์ร้าย
สมคำดั่งพาที..............................วิหค คู่นา
พรหมเฒ่าร้อนเร่าคล้าย..............มอดไหม้ในเพลิง ๚
๕๖.
..๏ ฟังความตามปราชญ์น้อย......ธรรมบาล
พรหมเฒ่าราวทรมาน..................มีดย้ำ
เสียชีพหากสมุฏฐาน..................สัตย์ยั่ง- ยืนนา
ไตรโลกสรรเสริญซ้ำ..................แซ่ซ้องนิรันดร ๚
๕๗.
..๏ กบิลพรหมข่มจิตด้วย............ขันติ- ธรรมนา
เรียกลูกสาวสิริ............................แน่งน้อย
สั่งเสียตามนิติ............................สุดร่ำ- ไรเฮย
พ่อสุดแสนเศร้าสร้อย.................จากเจ้าเจ็ดนาง ๚
๕๘.
..๏ หากเศียรพ่อพลาดพลั้ง..........ตกดิน
หรือเลือดหยดหลั่งริน..................อาบพื้น
โลกจักมอดไหม้ภินท์...................สลายธาตุ
บังเกิดเอิกเกริกครื้น....................ล่มหล้าลบสวรรค์ ๚
๕๙.
..๏ จงรับเศียรพ่อด้วย.................พานทอง
ประทักษิณาผอง........................เขตด้าว
กาลผันล่วงผ่านตรอง..................เมรุราช
เวียรรอบจนตราบท้าว*................ศกสิ้นกาลสมัย ๚
๖o.
..๏ จงตกแต่งด้วยทิพย์................สังเวย
เครื่องเซ่นเนรมิตเคย...................หยิบใช้
วิษณุเทพบุตรเชย-......................ชมเสก- ...สรรค์นา
ดังเช่นมณเฑียรไท้......................เทพฟ้ามัฆวาน ๚
๖๑.
..๏ สั่งเสียเศียรขาดด้วย.............พระขรรค์
นางแม่พรหมกัญญ์....................แน่งน้อย
นามทุงษะเทวีพรรณ..................ผุดผ่อง
พานรับจับเศียรคล้อย.................นอบน้อมถนอมเศียร ๚
๖๒.
..๏ พรหมกัญญาแน่งน้อย..........โฉมเฉลา
ทัดดอกทับทิมเนา......................หนึ่งแย้ม
อาภรณ์แต่งพริ้มเพรา................ปัทมราช
มะเดื่อเป็นภักษ์แกล้ม................หัตถ์ซ้ายทรงสังข์ ๚
๖๓.
..๏ หัตถ์ขวาทรงจักรเพี้ยง...........นารายณ์
ทรงครุฑยุดนาคสยาย.................ปีกกว้าง
รับเศียรซึ่งปิตุหมาย-..................วนเทือก- สุเมรุนา
ลุศกศักราชอ้าง..........................เปลี่ยนน้องอัญเชิญ ๚
๖๔.
..๏ วันสงกรานต์เกิดด้วย..............ดังความ- โคลงเฮย
วัฒนธรรมงดงาม.........................สืบไว้
ทำบุญตักบาตรยาม.....................เปลี่ยนศัก- ราชนา
ก่อพระเจดีย์ทรายให้...................เหลื่อมฟ้าจิตรการ ๚
๖๕.
..๏ รดน้ำท่านผู้เฒ่า.....................ปูชนีย์
จักเช่นเป็นราศรี..........................เกียรติสร้าง
มาลัยกระแจะมี...........................รดท่าน- เถิดนา
จักวัฒนานิจอ้าง..........................ส่งให้เกษมศานต์ ๚
๖๖.
..๏ บรรเทิงเริงเล่นน้ำ..................ยามสง- กรานต์นา
จิตใฝ่หมายจำนง.........................เก่ายั้ง
คงคู่ชาติดำรง..............................ตราบลูก- หลายเฮย
เอกลักษณ์ไทยจักตั้ง..................คู่ฟ้าเคียงสยาม ๚ะ๛
7 เมษายน 2551 21:22 น.
อัลมิตรา
.
..๏ กี่ค่ำคืนยืนมองผองดาวพร่าง
กี่คืนบ้างชมจันทร์อันเฉิดฉาย
กี่ครั้งคราใฝ่ฝันอันมากมาย
กี่ความหมายที่หามาเนิ่นนาน
ตั้งคำถามตามจิตที่ติดข้อง
แล้วไตร่ตรองความฝันอันพ้นผ่าน
ที่พลั้งพลาดเสมือนพบประสบการณ์
เป็นตำนานชีวิตลิขิตตน
แม้นมองหาจันทราดาราผ่อง
ย่อมหม่นหมองหากไร้ในเวหน
ครั้นคืนแรมจันทราลาลับสกล
ปล่อยให้คนผู้หนึ่งซึ่งเฝ้ารอ
หากดวงดาวสกาวเกินมาเมินแล้ว
คงมิแคล้วผิดหวังดั่งวอนขอ
ว่ายังมีชีวิตผิดพลาดพอ
เพียงอย่าท้อทุกข์ระทมขื่นขมนัก
การพบพรากจากจรดุจสอนสั่ง
สุขสมหวังเคล้าระคนจนรู้จัก
แท้ตัวตนคนใดใครที่รัก
ที่มากนักไม่เทียบเปรียบตัวเรา
เร่งค้นคว้าหาฝันอันงามแสน
มาทดแทนความระทมตรมหมองเศร้า
เติมความแกร่งเก่งกล้าวิชาเชาว์
เร่งเดินเข้ามุ่งหน้าคว้าสิ่งดี ๚ะ๛
1 เมษายน 2551 13:15 น.
อัลมิตรา
..๏ หากมิ่งมิตรคิดเคืองในเรื่องก่อน
เพราะซับซ้อนจึงยากลำบากไข
ทุกความเห็นประเด็นฉาวขอกล่าวไป
ปราศสงสัย-อิสระ-เชิญกระทำ
หากมิ่งมิตรคิดแค้นมุ่งอาฆาต
แม้นสามารถอย่าช้ามากระหน่ำ
ถ้าปรารถนาฆ่าเข่นสร้างเวรกรรม
อย่าพูดพร่ำเหลี่ยมเล่ห์เสียเวลา
หากมิ่งมิตรคิดโทษซ้ำโกรธเกลียด
ถูกโรคเครียดผจญหนักต้องรักษา
ความสัมพันธ์วันวานที่ผ่านมา
ถือเสียว่าร่วมแสดงเสแสร้งกัน
หากมิ่งมิตรคิดผูกพยาบาท
จวบพ้นชาติยึดติดไม่ผิดผัน
จนเป็นบาปทาบจิตนิจนิรันดร์
คิดเยี่ยงนั้นมิห้ามข้าฯ ตามใจ
หากมิ่งมิตรคิดร้ายมิหมายดี
ข้าฯ พร้อมพลีทุกอย่างยอมวางให้
อยากกระทำย่ำยีบัดสีใด
ข้าฯ อภัยทั้งผองปราศจองเวร ๚ะ๛