28 กันยายน 2552 07:58 น.
อัลมิตรา
๏ คงเป็นเรื่องธรรมดาของหน้าฝน
แลท้องฟ้าเบื้องบนช่างหม่นหมอง
ยามฝนรินหลั่งไหลคล้ายทำนอง
บางคราวพ้องเสียงร่ำไห้ใจภินท์พัง
คงเป็นเรื่องธรรมดาของหน้าหนาว
เพียงลมผ่าวนิดเดียวเย็นเสียวหลัง
แลท้องฟ้าคราใดไร้เมฆบัง
ช่างขรึมขลังทิวทัศน์ยามทัศนา
ฉันนั้นเกิดหน้าฝนคนกรุงเทพฯ
พอสังเขปการงานการศึกษา
เรียนเลิศล้ำช่ำชองสองปริญญา
เป็นหัวหน้าไอทีดีเงินเดือน
มาหัดกลอนกล้อมแกล้มแจมงานเขียน
เป็นคนเพี้ยนนิสัยปราศใครเหมือน
เขียนเพื่อกลบลบเศร้าหวังเหงาเลือน
ชอบอยู่เรือนแลฝนหล่นโปรยปราย
เพราะเกิดท่ามกลางฝนบนวิถี
ทุกคราวที่เจ็บช้ำจำความหมาย
ฝนตกท่วมน้ำตาคราเดียวดาย
รอบข้างกายสักคนค้นไม่เจอ
ส่วนเขาเกิดหน้าหนาวราวคนไกล
ปราศหลักแหล่งแห่งใดไม่เสนอ
เปรียบบุรุษนิรนามล้นหลามเกลอ
เขียนกลอนเพ้อคนนิยมชื่นชมกัน
ฉลาดฉมังคลังคำแสนล้ำเลิศ
จินตนาการพริ้งเพริศช่างเฉิดฉัน
แต่ละพจน์รสร้อยถ้อยรำพัน
ฉันแอบฝันหลงใฝ่ไขว่คว้าครอง
ฤๅ คนเกิดหน้าฝนต้องทนหนาว
จำรวดร้าวสาหัสอกกลัดหนอง
เมื่อเขาไม่ใส่ใจไม่เหลียวมอง
ฉันจึงต้องอดทนยามฝนพรำ๚ะ๛
23 กันยายน 2552 16:38 น.
อัลมิตรา
๏ ทะ นงหลงโลกอ้าง..... อัตธรรม
ลุ่ม ลึกคึกนึกคลำ...........แค่นแย้ง
ปุ่ม ปมประดับทำ...........ท่าเปรื่อง
ปู แกว่งขาน้ำแห้ง...........ห่อนรู้มองตน
ทุ รนไต่เหยีบบเต้า........ตีนตม
สุ ขะหลังคาถม.............ธุระคลุ้ง
มุ ส่อเสียดคำคม...........คายอนาถ
ดุ ด่าโดนเต็มมุ้ง............มุดแก้มุดไข
อุ ไรเทียมเปลือกเรื้อง....อร่ามงอม
สา ระในเนื้อปลอม.........แปลกสิ้น
นา นาเรื่องมิยอม..........หยั่งตอบ
รี เลี่ยงกลมเล่นลิ้น.........ลากข้างเข้าถา
โก วิทกาเหว่าร้อง..........ฤๅหงส์
วา ศอกย่อหย่อนลง........เล่นเลี้ยง
ปา หินกระทบกรง..........เกริ่นกู่
เปิด ช่องฟังเจ้าเอี้ยง.......เอ่ยคล้ายขุนทอง
จก ตรองจิกแต่เนื้อ.........นำแถลง
จี้ เหตุจ่อผลแจง.............จึ่งสล้าง
รี้ ริกรีบสำแดง...............ดังเปล่า เปลือยนา
ไร รูปธรรมอ้าง..............โอ่แก้กลเมือง ๚ะ๛
21 กันยายน 2552 09:57 น.
อัลมิตรา
๏ จากแรกเริ่มดรุณวัยไร้เดียงสา
มือไขว่คว้ายึดมั่นฉันเจ้าของ
โตมาเสาะสินทรัพย์แย่งจับจอง
พาให้ต้องทุกข์ท้นทุรนทุราย
หลงอัตตาตัวตนจนเกินเหตุ
เป็นประเภทฟั่นเฟือนเลือนจุดหมาย
ปล่อยใจตามความอยากที่มากมาย
ชีวิตกลายกลัดกลุ้มไฟสุมทรวง
ท่ามกลางการแก่งแย่งการแข่งขัน
การแบ่งปันมิอาจแทนการแหนหวง
จนสังคมจมบาปหลงภาพลวง
พลอยผลพวงชักพาถึงฆ่าฟัน
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เคยแลเห็น
ก็กลายเป็นเปลืองเปล่าให้เขาหยัน
เป็นจุดอับจุดอ่อนซ่อนโทษทัณฑ์
กลายจุดผันผลักไสให้เลวทราม
คือรากเหง้าเหล่านี้ที่เห็นทั่ว
คนลืมตัวลืมตรองกลับมองข้าม.
โลภโกรธหลงเหลวไหลเฉกไฟลาม
ยากมีความสุขสงบให้พบพาน
ขอสักเศษส่วนเดียวเสี้ยวสำนึก
ได้รู้สึกรู้สาหาแก่นสาร
เลิกปล่อยใจจมปลักความดักดาน
หลุดจากการโง่เง่าหลงเงาตัว
ขอสักเศษศีลธรรมนำชีวิต
ให้ยำเกรงเพ่งพิจก่อนคิดชั่ว
สิ่งสามานย์สารพันมิพันพัว
อย่าเป็นบัวเกลือกตมจมอัตตา ๚ะ๛
17 กันยายน 2552 16:56 น.
อัลมิตรา
๏ ฤๅ ทั้งปวงท่วงท่ามายาภาพ
ฤๅ เพียงฉาบภายนอกหลอกสีสัน
ฤๅ ความจริงยิ่งกว่าสนทนากัน
ฤๅ เธอ/ฉันเฉกละครโลกออนไลน์
ฤๅ ห่วงหาอาทรเมื่อตอนจาก
ฤๅ แค่ฝากดวงจิตหวังชิดใกล้
ฤๅ หว่านหวานปานว่าแสนอาลัย
ฤๅ หวั่นไหวน้อยนิดก่อนปิดจอ
ฤๅ ทุกถ้อยคารมคล้ายลมแล้ง
ฤๅ เธอแสร้งเพื่อให้เชื่อใจหนอ
ฤๅ ลำพังกลัดกลุ้มลุ่มหลงรอ
ฤๅ ที่ท่วมทุกข์ท้อเพราะก่อเอง
ฉันจึงต้องตรอมตรมระทมจิต
ปราศโยนผิดว่าเธอเผลอข่มเหง
ที่บรรจงลงกลอนผ่อนบรรเลง
หวังครื้นเครงเรื่องราวปวดร้าวลืม ๚ะ๛
14 กันยายน 2552 17:12 น.
อัลมิตรา
๏ ฝันประหลาดหวาดผวาเมื่อคราตื่น
ฝันเมื่อคืนคล้ายนิมิตจิตหวั่นไหว
ฝันเห็นพญานาคราชฤทธิ์เกรียงไกร
เขียวอาบทองผ่องอำไพลอยใกล้มา
ก่อนจำแลงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม
แล้วเดินดุ่มประชิดกายหมายเข้าหา
ร่างปลอมแปลงแต่งเติมเดิมนาคา
ถ้อยเจรจาหวานละมุนเฉกคุ้นเคย
อนิจจา.. นาคเทวีไยลี้หลบ
ฤๅ ลืมภพลืมชาติอนาถเหวย
ชั้นจาตุมหาราชิกาคราล่วงเลย
เราร่วมเขนยเคียงคู่สมสู่พงศ์
เจ้าลืมสิ้นถิ่นสวรรค์ชั้นเหนือโลก
ยอมทุกข์โศกเยี่ยงมนุษย์สุดลุ่มหลง
ลืมกระทั่งเทวลิขิตก่อนปลิดปลง
ยอมดำรงปุถุชนวนว่ายกรรม
ลืมเกียรติภูมิเทวาแห่งสาคร
ลืมนาคาฐานันดรถดถอนต่ำ
ลืมนครแห่งบาดาลคล้ายคร้านจำ
ลืมสัตย์คำขอเที่ยวครู่เดียวพอ
บัดนี้ผ่านเพลามานานเนิ่น
เจ้ายังเพลินเที่ยวไถลกระไรหนอ
โลกมนุษย์สุดบัดสีไยรีรอ
สมควรพอข้าฯจักรับเจ้ากลับไป
จวบรุ่งรางสว่างแสงแห่งสุรีย์
นิมิตนี้ยังรำลึกรู้สึกได้
ฤๅ จวนถึงซึ่งวันชีพครรไล
จึงถูกทวงถามไถ่ในสัญญา
จักน้อมรับกลับถิ่นยามสิ้นภพ
จักยอมจบแม้นขาดวาสนา
หากเสมือนเงื่อนไขในวิญญาณ์
ขอเชิญองค์นาคามารับตัว ๚ะ๛