17 มีนาคม 2554 11:19 น.
อัตตา เลิศวิไล
ตอนที่ 1 ตำนานศัสตราวุธที่สูญหาย
วัตถุทรงโค้งสีทองขนาดยักษ์เคลื่อนตัวผ่านผืนท้องนภาอันกว้างใหญ่ ประกายแสงหลายหลากสีอันมีที่มาจากแรงเสียดสีระหว่างวัตถุทรงโค้งกับอากาศธาตุบนท้องนภา ทำให้ผืนท้องนภาที่เคยว่างเปล่าเกิดมีประกายแสงที่แลดูเหมือนกำลังจะแตกร้าวจากแรงเคลื่อนตัวผ่านของวัตถุทรงโค้งสีทองนั่น ในระหว่างที่วัตถุทรงโค้งสีทองได้เคลื่อนตัวห่างหายกลับไปแต่ยังคงทิ้งรอยแตกร้าวของประกายแสงที่ตกค้างอยู่บนท้องนภาอันกว้างใหญ่ไว้ให้แลเห็นได้ไม่นานนัก วัตถุทรงโค้งสีทองก้อนเดิมก็ได้เคลื่อนตัวถาโถมกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ขอบของความโค้งของมันได้เคลื่อนตัวผ่านท้องนภาที่เคยแลดูกว้างใหญ่นั้นกลับต้องแลดูเล็กลงไปถนัดตา เมื่อวัตถุทรงโค้งสีทองนั่นได้กระทบเข้ากับพื้นพิภพอย่างแรง จนบังเกิดเป็นเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว ผืนป่าไม้และลำธารได้มอดไหม้และเหือดแห้งลง จนเหลือเพียงเศษซากของเถ้าถ่านที่ยังคงมอดไหม้ลงไม่หมด แต่อำนาจของการทำลายล้างของวัตถุประหลาดยังไม่ยอมหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ภายหลังจากฝุ่นควันที่คละคลุ้งจางหายไป สิ่งที่ปรากฏชัดถนัดตาของเหล่าปีศาจที่ยึดครองผืนปฐพีก็คือ ตัวเรือนของขวานเพชรขนาดยักษ์ ที่เจียรนัยจากเพชรชิ้นเดียวกัน เมื่อตัวเรือนของขวานขนาดยักษ์ถาโถมกลับเข้ามาใหม่จนคมของมันได้จมหายลงไปในผืนปฐพีส่วนหนึ่ง ขณะที่ส่วนของตัวด้ามขวานที่ทอดตัวยาวไปไกลเสียจนมองไม่เห็นมือและร่างของผู้ถือจับด้ามของขวาน และในทันทีที่คมของขวานเพชรกระทบเข้ากับผืนแผ่นปฐพีได้ไม่นานนัก แสงสว่างอันโชติช่วงก็ได้กระจายตัวออกไปทั่วทั้งโลกาให้แตกกระจัดกระจายและสลายหายไปสิ้น คงเหลือทิ้งไว้แต่เงาของร่างใหญ่โตขนาดยักษ์ของผู้ถือจับขวานเพชรนั่น ส่วนมือข้างที่เหลืออีกข้างหนึ่งของเจ้าของร่างขนาดยักษ์ก็ได้ตบเอาหมู่ดาวและแกแล็คซี่น้อยใหญ่จนแหลกสลายคามือไปอย่างบ้าคลั่ง
ณ ป่าหิมพานต์ แสงสว่างขาวนวล ลำธารใสไหลเย็น เหล่ามัจฉาผู้มีเกร็ดแวววาวดุจโลหะ ลวดลายที่ปรากฏอยู่บนเกร็ด สวยงามวิจิตรราวกับถูกแต่งแต้มโดยฝีมือจิตรกรสวรรค์ ต่างพากันแหวกว่ายฉะวัดเฉวียงกันไปมาอยู่ใน ลำธารกันอย่างรื่นเริง ลึกเข้าไปในดินแดนแห่งต้นมักลีผลนับร้อยต้นที่กำลังผลิดอกออกผลเป็นหญิงสาวงามผู้มีเรือนร่าง ขาวนวลดุจดั่งมนุษย์สาววัยสิบหกปี เหล่านางมักลีผลผู้มีชฎาสวมใส่ติดกายมาแต่ครั้งที่ยอดชฎายังเคยเป็นเหมือนขั้วที่ยึดติดกับตัวต้นผู้ให้กำเนิด ครั้นเมื่อร่างของนางมักลีผลเริ่มสุกงอมผิวพรรณเปล่งปลั่งเต็มที่ ขั้วชฎาที่เคยยึดติดเหนียวแน่นก็จะเริ่มปฏิเสธน้ำหล่อเลี้ยงจากต้นผู้ให้กำเนิด และพากันล่วงหล่นลงไม่ไกลจากตัวต้น ทันทีที่ร่างของนางมักลีผลแตะลงสู่พื้นพระแม่ธรณี ฝ่าเท้าของนางก็จะเต็มไปด้วยรากฝอย ที่กำลังหยั่งรากลึกลงสู่พื้นพระแม่ธรณีทันที ตราบเท่าที่นางยังมิได้ สมสู่กับบุรุษใด เหล่ารากฝอยที่ฝ่าเท้าของนางก็จะเจริญเติบโตต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อกักขังนางให้สิ้นอิสรภาพยาวนานชั่วกัลป์ ส่วนมักลีผลบางนางที่มีเรือนร่างเติบโตยังไม่เต็มที่ ต้นมักลีผลผู้ให้กำเนิดก็จะเร่งส่งน้ำเลี้ยงไปที่ขั้วชฎาที่ติดอยู่เหนือศีรษะของนาง ไปจนกว่าจะถึงวันที่ร่างของนางสุกงอมเต็มที่ และล่วงหล่นลงสู่พระแม่ธรณีในรุ่นต่อไป
ชายร่างกำยำหน้าตาคมเข้มในมือถือขวานเหล็กด้ามไม้ สวมเสื้อเปิดอกแขนกุด แลเห็นแขนท่อนบนกำยำชัดถนัดตา ชายตัดฟืนผู้นี้ได้ก้าวเดินผ่านนางมักลีผลน้อยใหญ่ไปโดยไม่ใยดีต่อเรือนร่างของเหล่านางมักลีผลที่กำลังสุกงอม และสวยงามเลยแม้แต่น้อย ท่านชายเก็บฟืนรูปงาม ท่านโปรดหยุดเก็บไม้และหันมาฟังข้าก่อน ข้าขอความกรุณาท่านรับข้าไปเป็นภรรยาของท่านด้วยเถิด ข้าไม่ต้องการทำหน้าที่เป็นไม้แม่พันธุ์ให้กับเหล่านางฟ้าตกสวรรค์ เสียงของสาวน้อยมักลีผลร่างหนึ่งส่งเสียงทักทายไปยังชายเก็บฟืนที่กำลังรวบรวมท่อนไม้อยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ แต่เมื่อมีเสียงทักทายเข้ามาขัดจังหวะ ทำให้เขาจำต้องยั้งมือวางท่อนฟืนที่กำลังรวบรวมมัดเข้าด้วยกันลงกลางคัน ข้าแต่นางมักลีผลผู้สูงศักดิ์ ชีวิติที่ไม่มีวันดับสูญของข้า มีไว้เพื่อติดตามหาคนรักที่เคยร่วมบุพเพสันนิวาสมาแต่เก่าก่อนเท่านั้น หากตัวข้ายังตามค้นหาดวงวิญญาณของนางไม่พบ ข้าก็ไม่ขอปรารถนาที่จะมีหญิงใดเคียงข้างแทนนางอีกต่อไป หวังว่าแม่นางคงเข้าใจ แต่แม่นางจงอย่าได้วิตกไปเลย อีกในไม่กี่เพลานี้ก็จะมีเหล่าคนธรรพ์ หรือ ท่านพญาวิหกเดินทางผ่านมารับแม่นางและเพื่อนๆไปเป็นบาคบริจาเอง เสียงตอบรับที่เปล่งออกมาจากปากของของชายตัดฟืนได้เปลี่ยนเป็นประกายแสงประหลาดสีเขียวเคลื่อนตัวแทรกซึมไปยังยอดชฎาของนางมักลีผลทุกตัวตนที่มีเรือนร่างเริ่มสุกงอม เคลื่อนเสียงของชายตัดฟืนที่ส่องประกายแสง สีเขียวได้แทรกตัวกระจัดกระจายไปทั่วผืนป่ามักลีผลทันทีที่เหล่านางมักลีผลเริ่มพากันสนทนาไปมาระหว่างต้นมักลีผลที่อยู่ใกล้ตัวนาง เรื่องที่เหล่านางมักลีผลกล่าวขวัญวิพากษ์วิจารณ์ถึงมากที่สุดก็คือ แสงประภัทรสรสุกสว่างสีทองที่ส่องประกายออกมาจากร่างของชายเก็บฟืน นั่นย่อมหมายความว่าชายเก็บฟืนผู้นี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ยิ่งพวกนางพากันวิพากษ์วิจารณ์กันมากเท่าไหร่นั่นยิ่งเป็นการสนับสนุนให้เกิดประกายแสงสีเขียวขยายวงกว้างออกไปในทุกๆที่ ที่มีต้นมักลีผล แสงประภัทรสรสีทองที่สาดส่องออกมาจากร่างของชายตัดฟืน ทำให้นางมักลีผลบางนางถึงกับอดใจไว้ไม่อยู่ เมื่อชายตัดฟืนก้าวเดินผ่านเข้ามาใกล้ นางมักลีผลหลายต่อหลายนาง ได้ใช้มือหวังไขว่คว้า แขนขาอันกำยำของชายตัดฟืนไว้ แค่เพียงเศษเสี้ยวของการสัมผัสไปยังร่างของชายเก็บฟืน นางมักลีผลเหล่านั้นก็ได้สัมผัสเห็นถึง ความรัก ความอาลัย ของชายเก็บฟืนที่มีให้แด่ภรรยาของตน ภาพแห่งภวังค์ของความรักระหว่างชายเก็บฟืนและภรรยาจึงปรากฏขึ้นในใจของเหล่านางมักลีผลทุกตัวตน ชายเก็บฟืนผู้เคยเป็นถึงอสูรเทวะรูปงาม ที่เคยรับพระราชทานกงจักรพระนารายณ์มาเพียงหนึ่งใบ เพื่อนำมาตีขึ้นรูปเป็นศัตราวุธชิ้นใหม่ให้กลายเป็นขวานเพชรอาวุธประจำกายแห่งตน ที่ผสานพลังแห่งความดีงามของสรวงสวรรค์กับพลังแห่งความโหดร้ายของเผ่าพันธุ์อสูรวงศ์เข้าไว้ด้วยกัน เศษเสี้ยวของศัตราวุธที่กำเนิดจากกงจักรแห่ง องค์พระนารายณ์ชิ้นนี้ จึงมีฤทธานุภาพร้ายแรงยิ่งกว่าศัตราวุธใดๆที่ชาวสภาเทวะเคยมีมา
องค์พระนารายณ์ทรงมีบัญชาให้เทวะอสูรรูปงามผู้นี้สร้างศัตราวุธชิ้นนี้ขึ้นมาด้วยภารกิจแห่งสวรรค์เรื่องหนึ่งคือ ทุกครั้งที่องค์พระอิศวรทรงสร้างห้วงเอกภพให้เป็นสถานที่บรรจุโลกยุคใหม่ของพระองค์ หากโลกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้น มีดวงวิญญาณแห่งความชั่วมากกว่าดวงวิญญาณแห่งความดี พระองค์ก็จะทรงมีพระกระแสรับสั่งให้อสูรเทวะผู้นี้ใช้ขวานเพชรทำลายล้างโลกและจักรวาลที่ยุ่งเหยิงในมิตินั้นให้สลายหายไปสิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ราชาปีศาจใช้โลกและจักรวาลแห่งนั้นเป็นกำลังเสริมของกองทัพแห่งโลกปีศาจ ห้วงเอกภพที่บรรจุจักรวาลและหมู่ดาวหลายล้าน ห้วงเอกภพจึงถูกอสูรเทวะผู้นี้ ใช้ขวานเพชรสำเร็จโทษมายาวนานกว่า หนึ่งพันกัลป์ กาลเวลาที่ผันผ่านไป ขวานเพชรที่อสูรเทวะครอบครองอยู่ได้หล่อหลอมรวมกันเป็นส่วนหนึ่งเดียวกับร่างอสูรเทวะ จนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ สงครามเย็นที่องค์พระตรีมูรติทั้งสามพระองค์ทรงมีแด่ราชาปีศาจ จึงมีอสูรเทวะผู้นี้เป็นตัวแปรสำคัญของสงครามระหว่าง ความดีงาม กับความชั่วร้ายที่เหล่ากองทัพของทั้งสองฝ่าย ต่างรู้จักอสูรเทวะผู้เป็นตัวแทนแห่งการล้างบาปตนนี้ในนามของ
*** หนึ่งกัลป์ เท่ากับหรือประมาณ สิบเอ็ดล้านเจ็ดแสนหกหมื่นปีของโลกมนุษย์ ***
ยักษ์รามสูร ผู้ใช้ขวานเพชรทำลายล้าง ทั้งความดีและความชั่ว ให้สูญสลายไปจนเหลือแต่ความว่างเปล่า โลกและจักรวาลในห้วงเอกภพแล้วห้วงเอกภพเล่าที่ยักษ์รามสูรชิงทำลายล้างลง ส่งผลให้ราชาปีศาจสูญเสียแหล่งกำเนิดวิญญาณชั่วร้ายของกองทัพไปอย่างมากมาย ราชาคณะแห่งโลกปีศาจจึงจัดประชุมเรื่องความอยู่รอดของชาวโลกปีศาจขึ้น และคงมีเพียงหนทางเดียวที่จะเพิ่มจำนวนแหล่งกำเนิดของดวงวิญญาณแห่งความชั่วร้ายได้คือการกำจัดหรือหยุดยั้งการกระทำของยักษ์รามสูรลง แต่เมื่อยักษ์รามสูรเป็นยักษ์หนึ่งเดียว ที่ได้พรจากพระตรีมูรติให้มีชีวิตเป็นอมตะ แตกต่างกับยักษ์ชั้นสามัญตนอื่นๆ ที่แอบกินน้ำอมฤตให้ชีวิตตนเป็นอมตะ การกำจัดยักษ์รามสูรจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ จอมราชาปีศาจจึงส่งทหารเอกของตนนามว่า ปรปักษ์ มาค้นหาหนทางปราบยักษ์รามสูร ปรปักษ์ได้สาปนางฟ้าสวรรค์ชั้นวิมานเมฆ หญิงอันเป็นที่รักของยักษ์รามสูรให้กลายเป็นดวงแก้วมณีเม็ดหนึ่งและขว้างดวงแก้วมณีเม็ดนั้นหายไปใน ห้วงท้องทะเลของก้อนมวลสาร อันเป็นแหล่งกำเนิดของห้วงเอกภพจำนวนมากมายนับอนันต์ที่ยากต่อการค้นหาสิ่งที่ตกลงไปพบ คำสาปของปรปักษ์จะถูกลบล้างให้สิ้นสุดลงได้ ก็ต่อเมื่อชีวิตของมันจะดับดิ้นสิ้นชีพลงเท่านั้น แม้ว่ายักษ์รามสูรจะป่าวประกาศตัว ท้ารบกับปรปักษ์จนแพร่สะพัดไปทั่วท้องทะเลของก้อนมวลสารปรปักษ์ก็ยังไม่ออกมารบกับยักษ์รามสูรตามคำท้านั่น โทสะของยักษ์รามสูรได้ทำลายห้วงเอกภพนับร้อยดวงบนผืนท้องทะเลของก้อนมวลสารอันเป็นแหล่งกำเนิดของดวงวิญญาณแห่งชีวิตได้สูญสลายหายไปอย่างมากมาย ภายหลังจากยักษ์รามสูรได้พบกับพระนารายณ์ในร่างอวตารของพระราม ทำให้ยักษ์รามสูรสำนึกผิดและยอมให้ เทพคิมหันต์ จับกุมตัวเดินทางกลับสู่สวรรค์
เทพคิมหันต์และเหล่าเทวะสภาจึงต่างพากันเข้ากราบทูลให้องค์พระศิวะทรงพิจารณาโทษที่ ยักษ์รามสูรได้กระทำลงไป และแล้วยักษ์รามสูรผู้เคยเป็นตัวแปรสำคัญของสงครามเย็น ระหว่างความดี กับ ความชั่ว ก็ได้ปิดฉากความสำคัญลง ยักษ์รามสูรถูกองค์พระศิวะสาปมิให้สุขสมในความรักไปจนกว่าจะสามารถสังหารทหารเอกของจอมราชาปีศาจลงได้ และถูกเนรเทศให้เป็นชายตัดฟืนผู้รับใช้ฤษีวาลมิกิไปจนกว่าท่านฤษีวาลมิกิจะยอมบันทึกเรื่องราวและประวัติของยักษ์รามสูรลงสู่ดวงวัชระของพระองค์เมื่อใด ยักษ์รามสูรก็จะได้อาวุธประจำกายของตนเองกลับคืนมาเพื่อนำไปใช้ปราบทหารเอกของจอมราชาปีศาจต่อไป ครั้นเมื่อภาพภวังค์และเรื่องราวของชายเก็บฟืนจางหายไปพร้อมกับความสิ้นหวังของเหล่านางมักลีผลผู้เลอโฉม พวกนางต่างพากันทรุดกายลงกับพื้นพระแม่ธรณีอย่างสิ้นหวัง ชายผู้นี้เขาเกิดมาเพื่อรักผู้หญิงเพียงนางเดียวเท่านั้น นางมักลีผลผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด หากวันเวลาที่ล่วงเลยเกินเจ็ด ราตีแล้วยังไม่มีชายใดมารับพวกเราไปเป็นภรรยา ร่างของพวกเราก็จะแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้แห่งแม่พันธุ์ที่หยั่งรากลึกลงสู่พื้นของพระแม่ธรณี และทำหน้าที่เป็นผู้ให้กำเนิดนางมักลีผลผู้ต้องคำสาปจากอาญาสวรรค์ในรุ่นต่อไป ยาวนานนับกัลป์หรือสุดแล้วแต่ความหนักเบาของโทษแห่งอาญาสวรรค์ ที่พวกเราได้กระทำลงไป นางมักลีผลอีกผู้หนึ่งกล่าวในขณะที่เท้าทั้งสองของนางกำลังจมหายลงสู่พื้นพระแม่ธรณี เหล่านางมักลีผลหลายนางที่ศีรษะยังติดอยู่กับขั้วของกิ่งก้านใบถึงกับหลั่งน้ำตาไหลพรากเมื่อแลเห็นร่างของชายเก็บฟืนที่ยังมุ่งมั่นก้าวเดินไกลห่างออกไปไกลลับตา
ประกายแสงสีเขียวที่เกิดจากการสนทนาของเหล่านางมักลีผล ยังทำหน้าที่กระจายแสงสว่างออกไปทั่วทั้งผืนป่า ประกายแสงสีเขียวเหล่านั้นได้ถูกเฝ้าสังเกตการณ์มาอย่างช้านานจากทหารแห่งพญาวิหกร่างกำยำสวมเกราะเหล็กที่เรียงตัวเหมือนขนนก ยืนจังก้าอยู่บนอาสนะสีน้ำเงินเข้ม ที่โอบอุ้มรองรับตัวปราสาทลอยฟ้าทรงหน้าจั่วประดับด้วยเพชรนิลจินดาอย่างวิจิตรงดงาม ยอดจั่วของปราสาทเป็นรูปปั้นของนางฟ้าสวรรค์ครึ่งกายแอ่นอกประนมมือ ส่วนที่อยู่เหนือศีรษะของรูปปั้นนางฟ้าขึ้นไปนั้น เป็นยอดชฎาของเหล่านางฟ้าสวรรค์ชั้นวิมานเมฆ ที่จัดว่าสวยงามไม่เป็นรองนางฟ้าสวรรค์ชั้นใดๆ บ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าของปราสาทเรือนนี้ว่า นิยมสาวงามจากเมืองสวรรค์มากเหนือสิ่งอื่นใด
เมื่อเหล่าทหารชุดเกราะสองตนแลเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางผืนป่ามักลีผล ทหารผู้สังเกตการณ์จึงได้หันมาสบตากัน ก่อนที่ทหารผู้ยืนอยู่เบื้องขวาของทางเข้าปราสาทจะเริ่มประนมมือในท่ายืนสงบนิ่งอยู่ชั่วครู่หนึ่งก็บังเกิด ประกายแสงสีส้มอันมีที่มาจากเพชรเม็ดหนึ่งที่ประดับอยู่บนยอดหมวกเหล็ก ลำแสงสว่างสีส้มได้ดูดซับเอาละอองน้ำใน อากาศธาตุให้ล่องลอยเข้ามารวมตัวกันเป็นก้อนน้ำทรงกลมหลายหลากสี ก่อนที่จะพากันลอยตัวพุ่งเข้าไปในตัวปราสาท
ภายในปราสาทที่ห้อมล้อมไปด้วยผ้าม่านผืนบางหลายสิบผืน ห้อยตัวยาวลงมาจากเพดานปราสาท เว้นแต่ทางตอนท้ายสุดของห้องโถงอันใหญ่โต มีแท่นพระที่นั่งของผู้เป็นเจ้าของปราสาทที่มีเรือนร่างใหญ่โตราวกับอาชาหนุ่มที่ใช้พุ่งรบในสงคราม แต่มีรูปร่างและใบหน้าเหมือนมนุษย์ ยกเว้นปากที่ยื่นออกมาเหมือนนก ที่ศีรษะสวมมงกุฎยอดต่ำและในวงแขนอันกำยำมีขนเหมือนนกขนาดใหญ่แทรกตัวอยู่ใต้วงแขนนั่น ร่างกายช่วงลำตัวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ผู้ชายทั่วไปแต่ร่างกายท่อนล่างกลับเป็นขาที่กำยำเหมือนน่องพญาอินทรี ที่มีเล็บเท้าอันแหลมคมแข็งแกร่ง และทรงพลังยิ่ง พญาวิหกผู้นั่งอยู่บนพระที่นั่งทรงต่ำ ขาของพระที่นั่งมีรูปร่างเหมือนขาสิงห์ที่ประดับด้วยเพชรนิลจินดา ที่สร้างสรรค์จากพระศิวะกรมชาวสวรรค์ ต่ำลงมาที่พระที่นั่ง มีเหล่านางฟ้าสวรรค์นั่งเรียงรายอยู่บนพื้นต่างระดับที่ลดหลั่นลงมาถึงห้าชั้น
เมื่อราชสารของนายด่าน ที่ถูกส่งมาในรูปของละอองน้ำหลากสี กำลังพุ่งเข้ามารวมตัวเป็นแผ่นบางๆล่องลอยอยู่ตรงเบื้องหน้าพญาวิหก เพชรที่ประดับอยู่บนยอดมงกุฎของท่านก็ได้ส่องแสงสว่างเป็นประกายสีน้ำเงินเข้ม ทำให้เหล่าละอองน้ำที่ลอยอยู่แปรสภาพเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางผืนป่ามักลีผล ใบหน้าของนายด่านชุดเกราะได้แทรกเข้ามาพร้อมกับภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ขอเดชะ บัดนี้ได้เกิดเหตุอัศจรรย์จากทวยเทพชั้นฟ้าช่วยแจ้งถิ่นอาศัยของเหล่านางมักลีผลแห่งจตุรยุค ที่เริ่มสุกงอม ได้เวลาเก็บเกี่ยวมาครอบครองไว้ในพระราชวังแล้วพะย่ะข้า
เมื่อคำกล่าวรายงานของนายด่านสิ้นสุดลง พญาวิหกจึงโบกมือขวาสะบัดออกไป แหวนเพชรที่ประดับอยู่บนนิ้วมือที่โบกสะบัดนั่น ได้สาดคลื่นเสียงประหลาดคล้ายเสียงร้องของนกอินทรีดังกึกก้องไปทั่วทั้งปราสาท ส่งผลให้เหล่าพญานกที่ยืนแข็งเป็นรูปปั้นหิน เรียงแถวอยู่รอบปราสาทกลับมามีชีวิตขึ้นมาทันที พวกมันต่างพากันทิ้งตัวโฉบลงมาจากปราสาททีละแถวอย่างเป็นระเบียบ และบินมุ่งหน้าสู่ผืนป่ามักลีผลที่ยังส่องประกายแสงนำทางอยู่ในทิศทางเดียวกัน
ณ ใจกลางผืนป่ามักลีผล กระแสลมที่พัดโหมกระหน่ำจากการกระพือปีกของเหล่าทหารวิหกนับร้อย ทำให้ต้นมักลีผลต่างพากันโน้มเอียงไปในทิศทางที่กระแสลมจากใต้วงปีกวิหกนับร้อยที่ผัดผ่าน ชั่วฉับพลันนั้นเอง กระแสลมที่เคยรุนแรงก็ได้แผ่วเบาลงจากการดิ่งพสุธาของเหล่าสมุนวิหก ที่ต่างพากันเหินบินโฉบลงมานำร่างของเหล่านาง มักลีผลหลายนางจับไว้ในอุ้มมือพร้อมกับกระพือปีกอันทรงพลัง เหินบินกลับขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง และบินหายลับขอบฟ้าไปกันเป็นทิวแถว หลังจากเหล่าพญาวิหกบินหายลับขอบฟ้าไปแล้ว ชายตัดฟืนจึงเร่งมือเก็บรวบรวมท่อนฟืนที่มัดรวมกันมาผูกไว้ระหว่างตัวเรือนขวานกับด้าม ก่อนจะแบกท่อนฟืนเหล่านั้นขึ้นพาดบ่าและก้าวเดินต่อไป
ครั้นเมื่อชายตัดฟืนเดินสวนทางกับกระแสของแม่น้ำทามาสลัดเลาะมาจนกระทั่ง ก้าวเท้าเข้าสู่เขตป่าไม้เขียวชอุ่มหลายหลากพันธุ์ เป็นสัญญาณเตือนว่าเขาได้ก้าวผ่านเข้ามายัง เขตแดนอันเป็นที่ตั้งแห่งอาศรมของมหาฤษีวาลมีกิแล้ว อาศรมเก่าแก่ที่ถูกสร้างมาจากไม้เนื้อแข็งทั้งหลังที่สลักลวดลายวิจิตรงดงามกว่าอาศรมของฤษีทั่วไป บนพื้นไม้ของอาศรมที่ขัดมันจนเป็นเงาแลดูสะอาดตา ฤษีวาลมีกิยังคงนั่งทำสมาธินิ่งราวกับรูปปั้น เสียงการย่างเท้าของชายตัดฟืนได้ดังใกล้เข้ามา แม้ผู้ที่เดินจะพยายามเยื้อย่างเท้าอย่างแผ่วเบาเพียงใดก็ตาม ฤษีวาลมีกิก็ยังสามารถสัมผัสรับรู้ได้ว่ากำลังมีผู้ที่มีสายเลือดผสมระหว่างวงศ์เทวะกับอสุรวงศ์ เดินทางมาเยือนอาศรม ชายตัดฟืนวางท่อนฟืนกองลงที่เบื้องหน้าอาศรมก่อนก้มลงกราบแทบเท้าท่านมหาฤษีและนั่งสงบนิ่งลงที่แทบเท้านั่น แสงประภัทรสรสีทองที่สาดส่องจากร่างของชายเก็บฟืนยังผลให้ท่านมหาฤษีมีสีหน้าของความปลื้มปีติ ท่านจึงเริ่มกล่าวกับผู้กราบกรานอยู่เบื้องหน้าของตนว่า
รามอสูรบัดนี้ถึงแด่กาลเวลาที่พลังแห่งศัตราวุธของเจ้า จะได้รับการปลดปล่อยสู่ตัวเจ้าอีกครั้ง และเรื่องราวเบื้องหน้าต่อไปนี้ จะเป็นเรื่องราวของห้วงเอกภพเล็กๆดวงหนึ่งจากจำนวนมากมายนับอนันต์ ที่จะถูกพลังอำนาจแห่งขวานเพชรของเจ้าแทรกตัวอยู่ และด้วยพลังเพียงเศษเสี้ยวของพลังแห่งขวานเพชรที่ตกค้างอยู่บนห้วงเอกภพดวงนี้ ณ วันที่ธาตุทั้งสี่ รวมเข้ากับเลือดเนื้อและเวทย์มนต์ของ เทวะ อสูร ยักษ์ และปีศาจ จนก่อเกิดจักรวาล และดวงดาวที่มี สีน้ำเงินคราใด ก็จะบังเกิดชนชาวอารยะเผ่าพันธุ์หนึ่งนามว่า มนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่เกิดมาเพื่อถอดตรรกะอันล้ำลึกของพลังศัสตราแห่งเจ้าได้สำเร็จเมื่อใด ในกาลเบื้องหน้านี้ พลังแห่งศัสตราของเจ้าจะกลายเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่เป็นได้ทั้งในทางสร้างสรรค์ และทำลาย หากเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถดำรงคงเผ่าอยู่รอดไปจนถึงวันที่ พวกเขาสามารถล่วงรู้ได้ว่าห้วงเอกภพที่บรรจุจักรวาลหมู่ดาวและโลกของตนเองนั้นมีรูปทรงเป็นเช่นไร เมื่อนั้นก็จะเป็นวันที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนหนึ่งจะเริ่มมีชีวิตยืนยาวได้นานนับกัลป์เทียบเท่าชาวสวรรค์ชั้นสามัญชน ด้วยเหตุนี้ท่านองค์พระตรีมูรติจึงทรงมีรับสั่งให้รจนาเรื่องราวของเจ้าลงไว้ในดวงวัชระ หากวันเวลาที่ล่วงเลยไปจนถึงกาลที่เป็นครึ่งหนึ่งของยุคแห่งพุทธกาลของโลกมนุษย์ ก็จะบังเกิดบุรุษผู้เกิดมาเพื่อหยั่งรู้และเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งเจ้า เพื่อมารจนาเรื่องราวของเจ้าให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รับทราบตำนานอันหฤโหดแห่งขวานเพชรของเจ้าที่ไม่เคยปราณีดวงวิญญาณฟากฝั่งใด เพื่อแจ้งเตือนให้มนุษย์ละทิ้งความชั่ว และเตรียมความพร้อมที่จะมีชีวิตยืนยาวเท่าชาวสวรรค์ขั้นสามัญชน ก่อนที่เจ้าจะเลือกหนทางทำลายล้างห้วงเอกภพดวงนั้นลง
หลังจากท่านมหาฤษีกล่าวจบ จึงเอื้อมมือหยิบเอาดวงวัชระสุกสว่างสีทองวางลงสู่พานทอง บันดลให้ดวงวัชระขยายตัวใหญ่ขึ้นเท่าผลแตงโมขนาดใหญ่ ภายในดวงวัชระที่สุกสว่างนั้น มีตัวอักษรสีดำวิ่งผ่านไปมาจำนวนมากมายมหาศาลลอยวนอยู่ ทันทีที่ฤษีวาลมิกิลูบศีรษะของชายเก็บฟืนเพียงสามครั้ง ร่างของชายเก็บฟืนที่เคยส่องประกายแสงสีทองสุกสว่างนั้น ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างของยักษ์ในชุดเกราะเพชรยอดชฎาเทพสวรรค์ทรงเรียวแหลมปลายธงสามเหลี่ยมขนาดเล็ก สร้างจากโลหะมวลสารสีทองประดับอยู่เหนือยอดชฎานั่น ทันทีที่เจ้าของร่างเกราะเพชรเงยหน้าขึ้นสบตากับท่านมหาฤษี จึงเผยให้เห็นใบหน้าอันกริ้วโกรธอยู่ตลอดกาลของเจ้าของร่างที่มีเขี้ยวสีขาวยาวโง้งแลดูน่าเกรงขามยิ่ง แต่หากมองลึกเข้าไปสู่ดวงตาของเจ้าของเขี้ยวอันยาวโง้งและน่ากลัวนั่น กลับเป็นแววตาแสนโศกเหนือคำบันยายและเป็นแววตาของบุรุษผู้อ่อนโยนผสมอยู่ด้วยกัน ฉับพลันนั้นเองได้มีเสียงของศัตราวุธฟากฝั่งความชั่วร้ายดังขึ้นเหนือสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ท่านมหาฤษีจึงเอ่ยปากแทนพระโอฐแห่งพระตรีมูรติ ขอให้ยักษ์รามสูรกระทำภารกิจแรก ของยักษ์รามสูรที่ต้องกระทำทันทีที่ได้พลังอำนาจแห่งขวานเพชรกลับคืนมา สุระเสียงอันนุ่มนวลและเมตตาของท่านมหาฤษีจึงเริ่มกล่าวมอบหมายภารกิจสำคัญกับเทวะอสูร ผู้เพิ่งพ้นจากคำสาปมาได้เพียงกึ่งหนึ่ง รามสูร บัดนี้พลังแห่งพรหมเทพได้กลับมาผสานอยู่ในกายของเจ้าแล้ว นับต่อจากนี้ประวัติของชีวิตแห่งเจ้าจะถูกบันทึกลงสู่ดวงแก้ววัชระขององค์พระศิวะ การกระทำใดๆต่อจากนี้ไปของเจ้า จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นอักษรสวรรค์ที่ล่องลอยลงสู่ดวงวัชระดวงนี้ทันที รามสูรก้มหมอบกราบแทบเท้าท่านมหาฤษีอีกครั้ง บันดลให้การกระทำของรามสูรถูกแปรเปลี่ยนเป็นอักษรสวรรค์สีดำจำนวนหนึ่งล่องลอยแทรกตัวหายไปในดวงวัชระสุกสว่างสีทองนั่นทันที
ท่านมหาฤษีแห่งศาสตร์อักษรใต้เบื้องหัตถ์เลขาขององค์พระตรีมูรติจากสรวงสวรรค์ พระมหากรุณาของท่านในครั้งนี้ ดุจดั่งสายน้ำอันฉ่ำเย็นที่ช่วยชำระล้างและขัดเกลาสติปัญญาศิษย์ให้กระจ่างแจ้ง เปรียบดั่งศิษย์ได้หลุดพ้นจากทุกข์เวทนาแห่งวตะสงสารชั่วกาล สรรพวิทยาใดที่ท่านอาจารย์ได้พร่ำสอนสั่งมาตลอดหลายร้อยกัลป์นี้ ศิษย์จะขอจดจำไว้เพื่อนำไปใช้ปกป้องสรรพสิ่งของทุกๆความดี ที่แม้ว่าศิษย์จะต้องสละเอาชีพอมตะของตนเข้าแลก เพื่อให้สรรพสิ่งแห่งความดีได้คงอยู่ควรคู่กับสวรรค์ตลอดไป ศิษย์ก็จะขอมอบกรรมสิทธิ์แห่งชีวิตอมตะนั้น เข้าสังเวยบูชาให้ ยักษ์รามสูรกล่าว ยังผลให้สีหน้าเปื้อนยิ้มของมหาฤษี จึงบังเกิดขึ้นมาท่ามกลางผิวหน้าอันเหี่ยวย่นทันที เมื่อได้ฟังคำกล่าวจากใจจริงของศิษย์พระราชทานจากองค์พระศิวะที่ส่งศิษย์ผู้นี้มารับใช้และเพื่อมาขัดเกาจิตใจให้พาลพบกับแสงสว่างแห่งธรรมศาสตร์วิทยาการ รามสูรแม้เจ้าจะสละชีพอมตะของเจ้าเพื่อแลกให้สรรพสิ่งแห่งความดีได้คงอยู่ แต่นามของเจ้าก็จะยังคงความอมตะอยู่ในดวงวัชระดวงนี้สืบไปจนถึงวันที่บุรุษผู้หนึ่งที่เกิดมาเพื่อเฉลยศาสตร์อักษรสวรรค์ที่บรรจุลงดวงวัชระนี้ มาเผยแพร่เรื่องราวแห่งเจ้าให้ชาวอารยะทุกเผ่าพันธุ์ได้สดับรับฟังในชีวประวัติที่ขาดหายไปของเจ้า มหาฤษีกล่าวพร้อมกับประทานพรให้เทพอสูรที่เรือนร่างกำลังเลือนหายไปท่ามกลางแสงสว่างอันโชติช่วง
อาสนะสวรรค์ทรงกลม พื้นผิวโปร่งใสดั่งดวงแก้วจนแลเห็นตำหนักสวรรค์ที่ลอยตัวอยู่เหนือก้อนเมฆ สีขาวนวล ต่างเรียงตัวกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่ส่วนบนของอาสนะทรงกลมนั่น พื้นที่ต่ำลงมาจากปุยเมฆอันขาวนวลและอ่อนนุ่มนั้น ได้ถูกจับจองโดยผืนแผ่นของพระแม่ธรณีหลายลักษณะที่ปกคลุมพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของอาสนะทรงกลมพื้นที่ของพระแม่ธรณีบางหย่อมเป็นผืนแผ่นที่แบนราบเพื่อชะลอสายน้ำของพระแม่คงคาไม่ให้ไหลเชี่ยวกราดจนเกินไป ในขณะที่ พื้นที่บางหย่อมพระแม่ธรณีก็เหยียดตัวสูงขึ้นมาเคล้าคลอหมู่เมฆาที่โอบอุ้มตำหนักสวรรค์ให้มาได้พบเจอกับผืนพระแม่ธรณีบ้างในบางโอกาสที่ตำหนักสวรรค์ลอยผ่านมา ขณะที่พื้นที่บางหย่อมของพระแม่ธรณี ได้กักขังผืนน้ำไว้เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อใช้หล่อเลี้ยงเหล่าพืชไม้นานาพรรณให้ผลิดอกออกผลมาเป็นอาหารให้กับเหล่าสรรพสัตว์
บนผืนแผ่นของพระแม่ธรณีอันแบนราบและกว้างใหญ่นี้ ได้ถูกโอบกอดไว้ด้วยท้องทะเลอันกว้างใหญ่อีกชั้นหนึ่ง หากมีผู้ใดอาจหาญล่องเรือไกลห่างออกไปจากผืนแผ่นของพระแม่ธรณีที่ถูกขวางกั้นด้วยผืนท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้มาจนได้พบกับสิ่งสุดท้ายที่ขวางกั้นระหว่างเส้นขอบฟ้ากับผืนน้ำของท้องทะเลนั่นก็จะได้พบกับ กรอบอันโปร่งใสของอาสนะสวรรค์ อันเป็นจุดที่ภารกิจขององค์แห่งสุริยะเทพ ผู้มีหน้าที่เคลื่อนราชรถที่บรรทุกเอาดวงสุริยันอันร้อนระอุ กำลังเดินทางข้ามผ่านเส้นตัดของขอบฟ้ากับผืนน้ำ และเมื่อดวงสุริยันเดินทางเข้าสู่ดินแดนแห่งนรกภูมิภาระหน้าที่ขององค์สุริยะเทพจึงจะสิ้นสุดลง เพื่อหยุดเติมไฟบรรลัยกัลป์ให้กับดวงสุริยันที่แดนนรกภูมิ แต่สำหรับวิถีชีวิตของผู้ที่เดินทางมาเยือน ณ จุดสิ้นสุดของท้องทะเลที่ไม่มีวายุใดช่วยพัดพาให้กลับไปยังผืนพระแม่ธรณี นักเดินทางผู้นั้นก็จะเหลือทางเลือกอยู่เพียงสามทางคือ หนทางที่หนึ่งค้างแรมที่จุดสิ้นสุดของกรอบอาสนะอันโปร่งใสนั่น หนทางต่อมาคือการใช้ศัตราวุธที่ทรงพลังทำลายกรอบของอาสนะสวรรค์อันโปร่งใสแต่แข็งแกร่งปานเพชรลง เพื่อทะลุผ่านกรอบอันแข็งแกร่งนั้นออกไปยังผืนท้องทะเลของก้อนมวลสารนั่น หรือหนทางสุดท้ายคือการคว่ำเรือลง เพื่อเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งนรกภูมิ
อาสนะสวรรค์นี้สามารถเคลื่อนที่ล่องลอยแทรกตัวผ่านม่านหมอกและก้อนมวลสารทรงกลมน้อยใหญ่ที่ลอยตัวกระจัดกระจายอยู่เต็มผืนท้องทะเลแห่งก้อนมวลสารได้ ก็ด้วยเพราะแรงเหวี่ยงจากการเคลื่อนตัวของราชรถแห่งองค์สุริยะเทพที่บรรทุกดวงสุริยันขนาดมหึมาไว้บนตัวราชรถที่เทียมเกวียนด้วยวิญญาณม้าสวรรค์จำนวนห้าร้อยดวง วิ่งพาเอาราชรถเคลื่อนที่ออกจากฟากฟ้าฝั่งหนึ่งของอาสนะไปยังฟากฟ้าอีกฝั่งหนึ่งของอาสนะขนาดมหึมานั่น
หลังจากองค์สุริยะเทพผู้ทำหน้าที่ลากดวงสุริยันเดินทางข้ามผ่านหมุนเวียนรอบอาสนะรอบแล้วรอบเล่า อาสนะของโลกสวรรค์ ก็ได้หยุดการเคลื่อนตัวลงในระหว่างที่ราชรถขององค์สุริยะเทพเคลื่อนตัวลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่บนผืนแผ่นของพระแม่ธรณียังคงความสว่างไสวประดุจแสงแห่งสุริยันอ่อนๆของยามเช้าก็ด้วยเพราะแสงสว่างที่อาสนะสวรรค์ได้รับมานั้น มีที่มาจากก้อนมวลสารขนาดมหึมากว่าก้อนมวลสารใดๆที่อาสนะของโลกสวรรค์พบมา แสงสว่างที่ได้รับจากก้อนมวลสารมหัศจรรย์ดวงนี้ ได้ลูบไล้ความอบอุ่นลงมาสู่แผ่นพื้นของพระแม่ธรณีของโลกสวรรค์อย่างนุ่มนวล
พื้นผิวของก้อนมวลสารขนาดมหึมาโปร่งใสและว่างเปล่านี้ มีขนาดใหญ่โตมากมายจนอาสนะแห่งโลกสวรรค์ที่กำลังเทียบตัวลงจอดลงบริเวณพื้นผิวของก้อนมวลสารขนาดมหึมา ให้แลเห็นอาสนะของโลกสวรรค์เป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่หยุดนิ่งอยู่บนพื้นผิวของก้อนมวลสารขนาดใหญ่นั่น เหล่านางฟ้าและเทวะต่างพากันตื่นขึ้นจากที่บรรทม ประหนึ่งว่าการเดินทางของอาสนะแห่งโลกสวรรค์ในครั้งนี้ ได้เดินทางสู่จุดหมายปลายทางของการเดินทางที่นานแสนนานแล้ว องค์พระตรีมูรติทรงสร้างห้วงเอกภพดวงใหม่เสร็จสิ้นแล้ว องค์มหาเทพผู้ปกครองอาสนะแห่งโลกสวรรค์กล่าวในระหว่างที่พระองค์ทรงประทับอยู่บนพระที่นั่งเหนือเหล่าเทวะสภาที่หมอบกราบอยู่นั้นก็ได้มีเสียงๆ หนึ่งดังก้องกังวานขึ้นมาท่ามกลางท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ ขอเดชะบัดนี้ได้เพลาฤกษ์ของการลำเลียงธาตุทั้งสี่อันได้แก่ ก้อนมวลสาร แห่งสุริยะ ก้อนมวลสารแห่งสายน้ำ ก้อนมวลสารแห่งพระพาย และ ก้อนมวลสารแห่งพระแม่ธรณี ลงสู่พื้นผิวของห้วงเอกภพแล้ว ขอพระองค์ทรงเริ่มบัญชาพิธีการได้แล้ว พะย่ะข้า หัวหน้าพนักงานอสูรเทวะกล่าว
องค์มหาเทพผู้สนองพระโอษฐ์แห่งเจ้าฟ้าพระตรีมูรติ ได้ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง หลังจากพระองค์ทรงเลื่อนเปือกตาบนลงมาประกบกับเปือกตาล่าง พระองค์ผู้ทรงยืนขึ้นอยู่เหนือเหล่าเทวะสภาที่ก้มหมอบ ก็ได้ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นแล้วทรงหงายฝ่าพระหัตถ์ออกไปเบื้องหน้า บันดลให้เกิดแสงสว่างอันเจิดจรัสขึ้นที่เหนือยอดชฎาของพระองค์พวยพุ่งขึ้นไปสู่ยอดปราสาท และเมื่อแสงจากยอดชฎาของพระองค์และเหล่าเทวะสภาผู้ที่เคยก้มหมอบได้ชันยอดชฎาตั้งขึ้นและส่งประกายแสงจากยอดชฎาของตนพุ่งทะยานไปรวมกันอยู่ที่ยอดปราสาท ที่ประดับด้วยเพชรขนาดเท่ากำปั้นของผู้ชาย ประกายแสงสว่างจากยอดชฎาของเหล่าเทวะ ที่หลั่งไหลไปรวมตัวกันอยู่ที่ยอดปราสาทมากมายราวกับสายฝนจำนวนนับอนันต์ ได้โหมกระหน่ำล่องลอยขึ้นสู่ยอดปราสาท ประกายแสงอันแรงกล้านั้นได้รวบรวมความเข้มของแสงที่สว่างไสวราวกับแสงแห่งสุริยันรวมกันนับสิบดวง ก่อนที่แสงสว่างนั้นจะทอดตัวทะยานเป็นแนวเส้น ส่งต่อไปยังยอดของอาสนะทรงกลมนั้นให้เปิดตัวแยกออกจากกัน เหล่าอสูรพากันขยายร่างของตนให้ใหญ่โต และแบกเอาธาตุมวลสาร สีแดง สีคราม สีหมอก และธาตุมวลสารสีดำจำนวนมากมายขึ้นบ่าพาเหาะเข้าไปยังพื้นผิวของห้วงเอกภพทรงกลมนั่น ระหว่างนั้นเอง ได้มีลูกศรเพลิงจำนวนมากมายราวกับห่าฝนได้พุ่งทะยานเข้าเสียบร่างของอสูร จนมอดไหม้ล้มตายดั่งใบไม้ร่วง ร่างของอสูรเหล่านั้นได้ตกลงกระแทกกับพื้นผิวของห้วงเอกภพเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่ารวมกันนับสิบครั้ง
องค์เจ้าผู้แทนพระองค์แห่งพระตรีมูรติ พร้อมด้วยเหล่าองค์รักษ์จำนวนหนึ่งต่างพากันเหาะขึ้นมา แลดูวินาศกรรมที่เกิดขึ้นเหนือยอดอาสนะทรงกลมที่เปิดกว้าง เหล่ากองกำลังแห่งทัพปีศาจที่ค่อมขี่อยู่บนพญาวิหกสองหัวสีดำทะมึน ผู้มีชุดแต่งกายเปรียบได้ดั่งเงาของชนชาวเทวะสวรรค์ เครื่องแต่งกายทุกชิ้นของชาวโลกปีศาจจึงเป็นสีดำแทบทุกชิ้น พวกมันต่างพากันโบยบินอยู่เหนือพื้นผิวของห้วงเอกภพทรงกลมนั่น เจ้าพวกเดรัชฉานทหารปีศาจ พวกเจ้าบังอาจละเมิดสัญญาแห่งสันติระหว่างโลกสวรรค์กับโลกปีศาจ ด้วยการหาญหักปล้นชิงเอามวลสารพระราชทานทั้งสี่ของพระตรีมูรติเจ้าอยู่หัวของเราเทียวหรือ องค์มหาเทพกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของทหารทั้งสองฝ่ายที่ยังไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ จากทางฟากฝั่งของเหล่ากองทัพปีศาจ ประกายแสงของลูกธนูสีแดงฉานพุ่งทะยานเฉียดยอดชฎาของท่านท้าวมหาเทพเสียบแทงเข้าที่กลางหน้าผากของราชองค์รักษ์ร่างหนึ่งจนเลือดและร่างกายสลายกลายเป็นผุยผง ตกลงสู่พื้นผิวห้วงเอกภพ
บัดนี้โลกปีศาจได้ผลัดเปลี่ยน จอมราชาปีศาจองค์ใหม่เป็น ท่านปรปักษ์แล้ว ข้อสัญญาใดๆที่เจ้าอยู่หัวแห่งโลกปีศาจองค์เก่าได้กระทำสัญญาไปกับแคว้นชาวโลกสวรรค์ทุกเผ่าพันธุ์ จึงมีอันต้องยกเลิกลงทั้งหมด หัวหน้าทหารปีศาจร่างยักษ์ตนหนึ่งกล่าว ภายหลังจากเสียงวาจาสามหาวของหัวหน้าทหารปีศาจสิ้นสุดลง ท่านมหาเทพถึงกับตื่นตะลึงอยู่ในห้วงภวังค์และได้แต่รำพึงในใจ ท่านราชา อภิบาล จอมมารปีศาจถูกชิงราชสมบัติแล้วหรือ ห้วงภวังค์ในใจของท่านมหาเทพได้ถูกหยั่งรู้โดย หัวหน้าทหารปีศาจ มันจึงใช้วาจาสามหาวของมันตอบความในใจของท่านท้าวมหาเทพทันที เมื่อท่านรู้แจ้งเช่นนี้แล้ว ก็จงมอบตำราศาสตร์สังเคราะห์ธาตุมวลสารและก้อนมวลสารพระราชทานแด่ข้าซะโดยดี หัวหน้าทหารปีศาจกล่าว
บังอาจ... เสียงของทหารองค์รักษ์ฝ่ายท่านมหาเทพ องค์หนึ่งกล่าวขณะที่ยังไม่ทันขึ้นประโยคต่อไป แต่ก็ได้สิ้นเสียงลงพร้อมกับถูกลูกธนูสีแดงฉานปักลงที่กลางหน้าผาก บันดลให้ร่างขององค์รักษ์แตกสลายตกลงสู่พื้นห้วงเอกภพ ในทันทีที่ความมืดดำของฟากฝ่ายชาวโลกปีศาจกำลังทอดตัวปกคลุมให้ชาวโลกสวรรค์ไร้ซึ่งหนทางชนะ ก็ได้ปรากฏสายอัศนีย์สีเขียวเข้ม ทอดตัวแทรกผ่านร่างทหารปีศาจจำนวนหนึ่งร้อยตนให้ต้องตกอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงและมอดไหม้ล่วงหล่นลงสู่พื้นผิวของห้วงเอกภพทันที ทั้งที่มันเหล่านั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดได้แค่เพียงคำเดียว
หัวใจแห่งทหารหาญ ของทั้งสองฟากฝ่ายต่างตะลึงงัน กับความร้ายแรงของศัสตราวุธที่เพิ่งสำแดงฤทธิ์ผ่านพ้นไปได้ชั่วครู่ ผู้ใดกัน มันคือผู้... เสียงของหัวหน้าทหารปีศาจสิ้นสุดลงพร้อมกับร่างที่ขาดตั้งแต่หัวไหล่ซ้ายลงมาที่ใต้วงแขนของหัวไหล่ขวา ทันทีที่ร่างของหัวหน้าทหารปีศาจสว่างจากภายในสู่ภายนอกได้ไม่นาน ร่างของมันก็แหลกสลายเป็นผุยผงและตกลงสู่พื้นผิวของห้วงเอกภพ ท่ามกลางความตกตลึงเป็นหนที่สองของทหารหาญทั้งสองฟากฝ่ายจึงได้ปรากฏร่างของยักษ์รามสูรสูงใหญ่มหึมา เท้าทั้งสองใหญ่โตยืนตระหง่านอยู่บนพื้นของดินแดนสุขาวดี ท่ามกลางท้องทะเลของก้อนมวลสารที่รายล้อมนั่น ดวงตาแดงฉานของยักษ์รามสูรที่ไม่อาจบ่งบอกได้ว่าจะเป็นมิตรกับผู้ใดเลยนั้นได้หันมองไปยังกองทัพของทั้งสองฟากฝ่าย ในระหว่างนั้นเองเหล่าทหารปีศาจต่างพากันเร่งควบขับให้พญาวิหกสองหัวโฉบบินหนีหายลับตาไปในห้วงเอกภพสีขาวนวลนั่น
ยักษ์รามสูรได้ย่อร่างของตนให้เล็กลงและเหาะทะยานผ่านหน้าท้าวมหาเทพไปลอยอยู่ท่ามกลางห้วงเอกภพอันใหญ่โตนั่น ความเงียบงันที่ปรากฏขึ้นมาและยาวนานเสียจนไม่มีผู้ใดหาญกล้าปริปากเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆออกมา ยักษ์รามสูรผู้ใส่ใจแต่เศษผงธุลีของ มวลสารพระราชทาน รวมถึงร่างที่เป็นเศษผงของทหารทั้งสองฟากฝ่าย ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าหลอมรวมกันจนเป็นแสงสว่างหลากสีแรงกล้าที่ส่องกระทบร่างของยักษ์รามสูรที่มีขนาดใหญ่เป็นสองในสามของห้วงเอกภพนั่น ดวงตาแดงฉานที่ได้เพ่งมองลงไปบน เศษผงธุลีที่กำลังรวมตัวนั่น ชั่วฉับพลันนั่นเองเมื่อความสว่างไสวจางหายไป ก็ได้บังเกิดกลุ่มหมอกควันสีขาวขุ่นและเริ่มกระจายความมืดดำไปทั่วพื้นผิวของห้วงเอกภพ สีหน้าและดวงตาของยักษ์รามสูรที่แลดูเกี้ยวโกรธอยู่ตลอดกาลก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่กราดเกี้ยวยิ่งกว่าเดิม ดวงตาแดงฉานของยักษ์รามสูรกลับแดงฉานขึ้นมาอีกครั้ง มือข้างที่ถือจับขวานได้ยกขวานเพชรขึ้นเหนือศีรษะง้างเงื้อหมายทำลายห้วงเอกภพให้ย่อยยับลง ช้าก่อนท่านเทพศัสตราเทวาอสูร ขอให้ท่านจงเมตตาเหล่าสรรพชีวิตที่เพิ่งบังเกิดนี้ด้วยเถิด องค์มหาเทพกล่าวขึ้นมาท่ามกลางความแค้นเคืองของยักษ์รามสูรได้ไม่นานก็ได้บังเกิดร่างของนางฟ้าสวรรค์รูปงามสวมยอดชฎาปลายธง สีทองอร่าม ท่ามกลางความตกตะลึงของเทพอสูรทุกตัวตนอีกครั้ง ร่างของนางฟ้าสวรรค์ใหญ่โตเป็นสองในสามของ ห้วงเอกภพได้ล่องลอยอยู่เหนือพื้นผิวของห้วงเอกภพนั่น ท่านพี่รามสูร ร่างของนางฟ้าสวรรค์ได้เลือนหายไปพร้อมกับคำกล่าวที่เพิ่งสิ้นสุดลง จึงได้ปรากฏร่างของ ปรปักษ์ผู้มีสี่หน้าแปดกรร่างดำทะมึนขึ้นมาแทนที่
ทำลายห้วงเอกภพดวงนี้ลงสิ เจ้ายักษ์ผู้บ้าคลั่ง ดวงวิญญาณของคนรักของเจ้าจะได้สูญสลายลงไปพร้อมกับห้วงเอกภพดวงนี้ ปรปักษ์กล่าวอย่างท้าทาย สีหน้าแห่งความโกรธาของยักษ์รามสูรได้แปรเปลี่ยนกลับไปเป็น สีหน้าของความโกรธตลอดกาลที่แฝงเร้นด้วยแววตาอันแสนเศร้าหมองเกินคำบรรยาย ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างมีชัย ที่ดังก้องกังวานของ ราชาปีศาจปรปักษ์
นามปากา อัตตา เลิศวิไล