14 พฤษภาคม 2548 04:28 น.

ถึงลูกผู้เป็นที่รัก

อัครเดช

ลูกเอ๋ยเจ้าจงมีสติ   ถึงแม้เจ้าจะอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของผู้คน   และมันมากระทบกระเทือนถึงลูกในบางครั้ง   แม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนใจร้อน   ลูกจ๋าค่อย ๆ คิด   ค่อย ๆ พูด   เจ้าคิดเสียว่าทุกคำที่เจ้าได้เปล่งออกไปนั้น   จะนำมาซึ่งความสูญเสียให้กับผู้อื่น   เพราะฉะนั้น   เจ้าจงคิดเสียว่า   จะพูดอย่างไรให้ผู้อื่นสูญเสียน้อยที่สุด
   ลูกรักของแม่แม่รู้ในจิตสำนึกของลูก   ลูกของแม่ไม่ใช่คนไม่ดี   คำว่าคนไม่ดีของแม่นี้คือ   คนที่กระทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือเดือดร้อน   รวมทั้งตัวเจ้าเองด้วย   ลูกรักนอกจากคำของแม่แล้ว   เจ้าอย่าลืมพระเจ้า   ลูกจ๋าถึงแม้โลกนี้มันโหดร้ายสักปานใด  แต่ในใจเจ้ายังมีพระเจ้า   ยังมีแม่   แม่เชื่อเหลือเกินว่าไม่มีสิ่งใดมาทำร้ายลูกของแม่ได้
   สังคมปัจจุบันลูกรักแม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก   และยิ่งไปกว่านั้น   เจ้ายังมีน้องที่เจ้าจะใส่ใจดูแล   คิดเสียว่าเจ้าทำหน้าที่ในส่วนนี้แทนแม่ด้วย   จริงอยู่ลูกรักบางทีคำว่า เส้นทางของชีวิต ของคนย่อมแตกต่างกัน   แต่ศักดิ์แห่งความเป็นพี่น้องไม่สามารถเป็นอื่นไปได้เลย   ลูกเอ๋ยน้องเจ้ายังเด็กนัก   บางสิ่งบางอย่างถึงเขาทำไม่ถูกใจเจ้า   จงให้อภัยเขาเถิดลูก   ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วในโลกนี้ที่จะเอาชนะจิตใจของมนุษย์ได้ดียิ่งไปกว่าการให้อภัย   ถึงมีบางสิ่งที่ไม่พึงใจ   แต่แม่ก็ภูมิใจในตัวลูกยิ่งนัก   ที่ลูกของแม่มีจิตใจกว้างขวาง   เปิดโอกาศให้น้องของเจ้ามีความคิด   ให้เขาได้ใช้ความคิดเป็นของตัวเอง   ถูกแล้วลูกรักเจ้าปล่อยให้น้องของเจ้าทำไปเถิด   ให้เขาได้ผิดพลาดด้วยตัวของเขาเอง   แม่รู้ว่าเจ้าเองก็มีความภูมิใจอยู่ลึก ๆ เช่นกัน   น้องเจ้าเป็นคนดี   มีเพียงบางสิ่งที่เล็กน้อยเท่านั้น   ที่ไม่เป็นที่ยอมรับในทัศนของเจ้า   ของตัวแม่เองและ      ลูกรักเจ้าไม่มีคำติที่หยาบโลน   เจ้ามีเป็นบางครั้งกับคำพูดที่สอดเสียดเพียงเพื่อให้น้องเจ้าได้คิด   เจ้าบอกเขาโดยการกระทำของเจ้าเอง   เจ้าสอนเขาโดยการปฏิบัติให้เขาดู    แต่ลูกรักแม่ลืมเตือนเจ้า   บางทีการปฏิบัติของเจ้าเเข็งเกินไป   เปล่าแม่ไม่ได้ว่าเจ้าผิด   แต่ถ้าลูกยอมโอนอ่อนเป็นบางครั้ง   มันเป็นสิ่งดีต่อตัวลูกเองและน้องเจ้าเป็นอย่างยิ่ง   เจ้าจำได้ไหมที่แม่เคยบอกเจ้า   เมื่อหย่อนให้ดึงและเมื่อยามตึงเราก็ผ่อนลงบ้าง   ลูกรักคำนี้ไม่จำเป็นต้องตีความ
   เหนือสิ่งอื่นใด   นอกจากตัวของลูกเองและน้องของเจ้าแล้ว   ลูกเอ๋ยทุกมนุษย์บนพื้นแผ่นดินนี้   เป็นสิ่งที่เจ้าจะต้องสำเหนียกลูกจ๋ารักคนทั้งโลก   ปรารถนาดีต่อทุกสรรพสิ่งที่อุบัติขึ้นในโลกใบนี้
   ถูกแล้วลูกสิ่งที่แม่พูดมานี้มันอาจจะกว้างเกินไป   ลูกอาจจะแย้งแม่ว่า   จะให้รักทุกสิ่งในโลกอย่างนั้น หรือ ?   ขนาดจิตใจของตัวลูกเองลูกยังดูแลได้ไม่ดีพอ   ถูกแล้วลูกรักจิตใจเราต้องดีก่อน   หัวใจเราต้องมีความมั่นคงแข็งแรงก่อน   ก่อนที่จะไปใส่ใจผู้อื่น   ลูกเอ๋ยเจ้าอย่าโกรธแม่   ถ้าแม่จะบอกว่าถ้าลูกคิดอย่างนั้น   ลูกคือคนที่ใจแคบที่สุดในโลก   แต่ไม่หรอก   แม่รู้ว่าเจ้า  แม้แต่เสี้ยวหนึ่งของความคิด   ลูกหาได้คิดเช่นนั้นไม่
   กระทำเถิดลูกแม้ว่ามันจะยากยิ่ง   แต่ลูกไม่ต้องไปตั้งความหวังกับสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปให้มากนัก   ถ้าลูกยังนึกภาพไม่ออก   ฟังนะลูกหาใช่ว่าเราต้องไปใส่ใจกับคนทุกคนไม่   แต่ทุกคนที่พาลพบเข้ามาในชีวิตของลูก   ลูกจงมีแต่สิ่งที่ดีให้แก่เขา   หรือถ้าเราไม่สามารถให้สิ่งที่ดีแก่เขาได้   อย่างน้อยเราก็อย่าให้ในสิ่งที่ไม่ดีกับเขาเลย   แม่ขอย้ำอย่าหวังอะไรจากใคร   สิ่งที่ลูกทำพระเจ้าได้เตรียมรางวัลไว้ให้เจ้าแล้ว   สิ่งที่ลูกหวังคือสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้
ทุกสิ่งที่แม่กล่าวมานี้   มันคือความหมายของการที่ลูกของแม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
   สิ่งหนึ่ง   แม่เกือบลืมไป   คนแก่ก็อย่างนี้แหละลูก  หลง ๆลืม ๆ    แต่สิ่งที่แม่ไม่เคยลืมคือ   ความรัก   ความห่วง   และคิดถึงลูกทั้งสองของแม่   สิ่งที่แม่จะบอกก็คือ   การอ่านหนังสือของลูก   ลูกเคยบ่นว่ามีเวลาอ่านหนังสือน้อยลง   ลูกเอ๋ยเจ้าจงตั้งมั่น   สิ่งนี้สำคัญยิ่งต่อลูก   เจ้าทำงานให้น้อยลง   และใช้เวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น   ไม่เป็นการดีเลยลูกเอ๋ยแม้สิ่งนั้นจะนำพามาซึ่งเงินทองอันมากมายมาให้กับเจ้า   แต่หาได้นำพาสติปัญญามาให้กับเจ้ามากพอไม่   ลูกจ๋าสิ่งที่เรารักถึงแม้เราไม่เห็นคุณค่าเป็นเงินทอง   แต่คุณค่ามันไปพอกพูนอยู่ที่หัวใจของลูก   สิ่งนี้แม่เป็นห่วงอย่างยิ่ง   เจ้าเคยบอกกับแม่ว่า   เจ้าอิจฉาน้องของเจ้าที่ได้มีเวลาอ่านหนังสือมาก   ลูกเอ๋ยเจ้าน่าเอ็นดูอะไรเช่นนี้   ปล่อยน้องเขาเถอะลูก   วันหนึ่งสิ่งที่เขาได้จากการอ่านนั่นเหละ   จะได้ทำให้ลูกหายห่วงเขา
   ปล.   บอกน้องด้วยว่า   ให้เก็บความคิดถึงของแม่ใส่เป้ไปด้วยทุกแห่งหน   ที่เขาได้เดินไปบนผืนแผ่นดินนี้
                                                                                           รักลูกทั้งสองของแม่
                                                                                            จาก   แม่				
14 พฤษภาคม 2548 03:41 น.

เพื่อนเอยจะบอกให้

อัครเดช

ขณะที่เข้าเรียนวิชา TH 244 เมื่อชั่วโมงก่อน   ประโยคหนึ่งที่อาจารย์ได้กล่าวไว้   จนอดไม่ได้ที่ผมต้องหวนกลับมาคิด   ประโยคนั้นก็คือ เราใช้กันมาอย่างผิด ๆ จนถูกไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าในตอนนั้นเรากำลังพูดถึงการใช้คำ ๆ หนึ่ง   แต่ในเสี้ยวหนึ่งของความคิด   ผมได้มองไปถึงมุมหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมา   หรือขณะทียังประสบอยู่ ณ ปัจจุบัน   บางทีไม่รู้ว่าลืม   หรือจงใจจะไม่เห็นมัน   จนบ่อยครั้งที่เห็นปฏิบัติกันมาอย่างผิด ๆ จนถูกไปเสียแล้ว   แต่คำว่า ผิด ในที่นี้ต่างจากคำว่า ผิด ของอาจารย์ตรงที่ไม่มีพจนานุกรมเล่มไหนมายืนยันได้   มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน   สิ่งนั้นคือ จิตสำนึก
   หลังเลิกงานผมหยิบหนังสือเรียนไปนั่งอ่านตรงระเบียงหลังห้องเช่า   เงาของต้นกล้วยทอดยาวมาถึงที่ม้าหินอ่อน   ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ    เปิดหนังสืออ่านไม่ทันหมดหน้า   คล้ายเสียงร่ำไห้ของใครบางคนแว่วมากับสายลม   ผมละสายตาจากหนังสือมองออกไปยังที่มาของเสียงนั้น   และก็ไม่เหนือความคาดหมาย   เธอนั่งซบหน้าอยู่กับม้าหินอ่อนตรงที่หลังห้องของเธอ   นี่ไม่ใช่ภาพที่ผมเห็นเป็นครั้งแรก   บ่อยครั้งเหลือเกินกับภาพเช่นนี้   จนทำไห้ไร้ความรู้สึกใด ๆ เข้าไปทุกที   ความคิดแรกที่ผ่านเข้ามา   อีกแล้วหรือ?   และคงจะไม่ใส่ใจนักหากคนกำลังร่ำให้อยู่นั้นไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก
   รอฮานี   หญิงสาวจากปลายสุดของเขตแดนด้ามขวานไทย   ปีกว่าแล้วที่เธอมาเรียนที่นี่   สถานที่แห่งนี้คือ  ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร    เธอเป็นนักเรียนคนหนึ่งในแผนกตัดเย็บเสื้อผ้า   ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอเมื่อวันเปิดคอร์สใหม่   สาวน้อยสูงเพรียวร่างเล็กในชุดเด็กนักเรียนศูนย์ฯ     แต่เป็นที่สะดุดตากว่าใครอื่นก็ตรงที่เธอคลุมอิญาบ  ซึ่งเป็นผ้าคลุมผมของสตรีมุสลิม   เนื่องจากผมเป็นคนที่มาจากถิ่นแถบเดียวกันจึงทำให้รู้จักกับเธอ 
   หนึ่งปีผ่านไป   หญิงสาวที่เคยขี้อาย  พูดน้อย  ได้เปลี่ยนไปคล้ายดั่งคนละคน   อิญาบที่เคยคลุมนั้นไม่รู้ว่าร่วงไปตั้งแต่เมื่อไหร่    เธอบอกว่าเธออายที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนเวลาที่ไปไหนกับเพื่อน    แต่เธอเคยบอกว่าถ้าเป็นที่บ้านพ่อเธอจะไม่ยอมให้ออกไปไหนเด็ดขาดหากไม่คลุมผม   ศาสนาเธอเคร่งครัดมาก   ครั้งหนึ่งเธอเล่าว่า   เธอโดนพ่อตีเพราะมัวแต่เล่นเพลินจนลืมละหมาด   ซึ่งเป็นการกราบไหว้พระเจ้าของชาวมุสลิมที่ต้องปฏิบัติวันละห้าครั้ง
   ผมนั่งคิดอยู่นานสองนาน   และในที่สุดก็ตัดสินใจตรงเข้าไปหา   เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อผมนั่งลงตรงม้านั่งตรงข้าม   นัยน์ตาเธอแดงก่ำน้ำตายังคลอเบ้า   เธอยกมือขึ้นเช็ดแล้วฝืนยิ้ม   เขาบอกว่าเขาจะไปจากเธอหากเธอไม่ไปเอาเด็กออก   เธอร้องโฮออกมาอีกครั้งเมื่อบอกเรื่องนี้กับผมแล้วเงียบไปพักหนึ่ง   ผมเห็นท่าไม่ค่อยดี จะลุกจากไป   และบอกว่าไม่ขอฟังได้ไหมผมได้ยินมามากพอแล้ว   น้ำเสียงเธอสั่นเครือเอ่ยขึ้นว่า   หากเธอต้องตายลงเพราะความอัดอั้นใจถ้าไม่ได้ระบายออกมาให้ใครฟัง   ผมจะฟังเธอไหม   ใจหนึ่งอยากจะบอกว่า   มันเป็นเรื่องของเธอ   แต่จิตใจที่ไร้ความรู้สึกนั้นต้องโอนอ่อนเพราะเสียงสะอื้นนั้นได้บาดลึกลงเกินไปแล้ว
   เธอท้องได้สองเดือนแฟนเธอต้องการให้ไปทำแท้ง   เธอว่าจะทำอย่างนั้นไม่ได้มันเท่ากับว่าได้ฆ่าลูกในไส้ของตัวเอง   มันเป็นบาปอย่างมหันต์   กับการที่ได้ทำซีนา   ซึ่งหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ได้แต่งงานตามหลักศาสนาอิสลามนั้นมันก็เกินพออยู่แล้ว   และนี่กับคนที่ต่างศาสนาอีก   ผมอยากถามเธอว่าเหตุใดเล่าถึงได้มาคิดเอาตอนนี้   แต่ผมไม่สามารถกล่าวคำใดออกมาได้   ต้องทนฟังเธอต่อไป  เธอถามผมว่าการฆ่าตัวตายตามหลักศาสนาของผมนั้นบาปไหม   ผมได้แต่จ้องหน้าเธอแต่ไม่มีคำใดหลุดออกมา
   ตอนนี้ทางบ้านของเธอรู้เรื่องแล้ว   เธอเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนบอก   และในเร็ว ๆ นี้พ่อแม่จะมารับกลับบ้าน   เธอจะทำอย่างไรดี  จะให้กลับบ้านไปในสภาพเช่นนี้นะหรือ  คนเขาจะได้เรียกลูกเธอว่า  ลูกซีนา   พ่อเธอเป็นถึงโต๊ะอิหม่าม   ซึ่งมีความหมายรวมถึงผู้นำทางศาสนาอิสลามและผู้นำชุมชนด้วย   แม่เป็นครูสอนศาสนา  แล้วต่อไปใครจะเคารพนับถือ   เธอปล่อยโฮออกมาอีกครั้งแล้วฟุบหน้านิ่งไปกับโต๊ะ  ผมลุกออกมาเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้เอ่ยสักคำ
   ค่ำลงของวันนั้นผมกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้อง   เธอมาถามหายาพาราเซตามอลที่ผม   บอกว่าเธอปวดหัวมาก   ผมส่งขวดยาให้   บอกให้เอาไปทั้งขวด   หายป่วยแล้วค่อยเอามาคืน   เช้าวันรุ่งขึ้นผมเข้าไปสอบตั้งแต่เช้าและมีสอบติดต่อกันสามวันผมต้องค้างห้องเพื่อนในกรุงเทพฯ สองคืน
วันที่ผมกลับมาที่ห้อง   เมื่อเดินผ่านหน้าห้องเธอรถกระบะคันสีเขียวจอดอยู่ที่หน้าห้อง   ตรงป้ายทะเบียนท้ายรถบ่งบอกว่ามาจากจังหวัดปัตตานี   พ่อเธอคงจะมาแล้ว   ผมคิด   
   ผมกลับมาถึงที่ห้องไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง   เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งนำกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้   และบอกว่าเธอกินยาพาราเซตามอลเข้าไปทั้งขวด   โชคดีที่เพื่อนเธอมาพบแล้วนำส่งโรงพยาบาล   หมอบอกว่าถ้าช้ากว่านี้แค่ครึ่งชั่วโมงเธออาจจะเสียชีวิตได้   เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯติดต่อไปที่บ้านของเธอ   พ่อเธอเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าวันนี้   และตอนนี้ก็ได้นำตัวเธอกลับไปแล้ว
   โธ่เอ๋ยชีวิต   ใครเลยจะคิดว่าเธอกล้าทำถึงขนาดนั้น   เธอผิดไหมหนอ   หรือการที่เธอได้กระทำไปอย่างนั้นเธออาจจะทำถูกก็ได้ใครเลยจะรู้   ตัวของเธอ   หัวใจของเธอ   และชีวิตก็ของเธอ   จริงอยู่เธอเคยบอกว่าชีวิตนี้เป็นของพระเจ้า   พระเจ้าเป็นผู้สร้างและพระเจ้าก็จะเป็นผู้ทำลาย   แล้วเหตุอันใดเล่าเธอถึงได้กล้าฝืนกฎข้อนี้   นั่นไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธอกล้าที่จะเดินตามทางที่ได้เลือกเองละหรือ   พระเจ้าได้ให้ชีวิตแก่เธอ   แต่ผู้ที่จะมาเติมเต็มชีวิตนั้นคือตัวของเธอเอง
   เพื่อนรุ่นน้องกลับไปแล้ว   ผมหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาดู   มีข้อความเขียนไว้ว่า  ถ้าเขากลับมาให้บอกเขาว่านีได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว   ให้เขาอยู่อย่างสบายใจได้   ไม่มีทั้งนีไม่มีทั้งลูก   และขอบคุณพี่ที่ทนนั่งฟังนีอยู่ตั้งนาน   นีจะกลับบ้าน  นีลืมไปว่านียังมีพ่อมีแม่   และอาจจะมีสิ่งที่ดี ๆ อีกมากมายทียังรอนีอยู่   นีจะไปอยู่กับลูกกับพี่กับน้อง  และกับพระเจ้า  ผมวางกระดาษแผ่นนั้นลง   บอกกับตัวเองไม่ถูกว่ามีความรู้สึกอย่างไรในตอนนี้   นี่ผมจะร้องไห้หรือกำลังหัวเราะ
   หลายวันหลังจากนั้น   หลังเลิกงานผมหยิบหนังสือเรียนไปนั่งอ่านตรงระเบียงหลังห้องเช่า   เงาของต้นกล้วยทอดยาวมาถึงม้าหินอ่อน   ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ เปิดหนังสืออ่านไม่ทันหมดหน้า    คล้ายเสียงสะอื้นไห้ของใครบางคนแว่วมากับสายลม?				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัครเดช
Lovings  อัครเดช เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัครเดช
Lovings  อัครเดช เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัครเดช
Lovings  อัครเดช เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอัครเดช