27 ธันวาคม 2552 09:52 น.
อักษกร
พายพายุพรรษพาณพัดผ่านพ้น
มรรษธรจรลิ่วหล่นจรลายหาย
ทอทองอุทัยทิตย์กระทบพราย
สะท้อนสายละอองซ่านม่านชลา
ปรากฏแถบทอดลู่เคียงหมู่เมฆ
เคียวโค้งเฉกสะพานผ่านเวหา
แลลิบลิบลางเลือนเหมือนลวงตา
ตรงฝั่งฟากบูรพายามสายัณห์
หรือหมอกเหมยระเหยอวลล้วนมวลไหม
ถักทอใยสอดประสานเป็นสีสัน
แดงส้มเหลือง เขียวน้ำเงิน ม่วงครามครัน
คล้ายแพรพรรณพาดฟ้าคราแหงนมอง
แพรผืนโปร่งคือโค้งรุ้งโอบคุ้งหาว
แผ่ผืนป้องคลายหนาวคลายร้าวหมอง
ซับหยาดโศกศิรานัยน์ไหลบ่านอง
ปลอบประคองคัคนานต์ปราณประโลม
สิ้นทิวาภาณุลับอณินภ
รัตตีพลบจบม่านขลับรับดวงโสม
อาภาอับดับพราวภาพโพ้นโพยม
ดอกดาวโดมพรมพร่างพรางนภา
นักเดินทางคนเก่าใต้เงาฝัน
ใช้สีสันแห่งแพรหมอกบอกทิศา
สาวเท้าตามปลายรุ้งจรุงพา
ไม่กังขาในจุดหมายที่ชายแพร
ไม่กังขาแม้สุดทางแสนลางเลือน
แพรพิรุณ แปลว่า สายรุ้ง
สายรุ้งก็เหมือนความหวัง ไม่มีครั้งไหนที่หลังฝนตกจะไม่มีสายรุ้ง อยู่ที่เรา จะมองเห็นรึเปล่าเท่านั้น
ขอบคุณภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต
23 กรกฎาคม 2552 09:41 น.
อักษกร
สองมือแตกแห้งกร้านกรำงานหนัก
สองเท้าหยาบย่ำดินปลักที่หมักหมม
ใบหน้าหม่นหมองคล้ำกล้ำแดดลม
แผ่นหลังก้มงอโก่งจนโค้งคา
กว่าจะได้แต่ละเม็ดต้องเหน็จเหนื่อย
เหงื่อโซมกายไหลเรื่อยรดรวงกล้า
คมใบข้าวฝากแผลยาวคราวเกี่ยวนา
ทั้งกายาล้วนไคลคราบสาบเหลือทน
นั่นแหละ........คือผู้เป็นสันหลังชาติ
ผู้ทำงานเยี่ยงทาสเลี้ยงพาหน
กลับถูกย่ำว่าต่ำกว่าปัญญาชน
จัดเป็นคนชนบทไพร่ไร้ราคา
ลืมหมดสิ้นที่อิ่มเอมเปรมเป็นนิจ
คือผลผลิตจากชนชั้นขี้ข้า
พึงสำนึกสักนิดเถิดที่เกิดมา
เลี้ยงกายาอยู่ทุกจานแรงงานใคร
หากไม่เลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ
ยังคอยจะเหยียดหยันให้หวั่นไหว
อนาคตของชาติเป็นเช่นไร
หากไทยเหยียบสันหลังไทยจนคดงอ
กลอนที่ไม่ใช่กลอนใหม่เพราะเขียนไว้นานแล้ว แค่อยากนำมาเก็บรวบรวมไว้อ่านนานๆ
20 กรกฎาคม 2552 22:53 น.
อักษกร
You think you own whatever land you land on
The earth is just a dead thing you can claim
But I know ev'ry rock and tree and creature
Has a life, has a spirit, has a name
เธอใช้เท้า ทุกก้าวย่าง อ้างกรรมสิทธิ์
ผืนไผท ล้วนไร้ชีวิต ครอบครองได้
แต่ฉันรู้ กรวดทุกก้อน ไม้ทุกใบ
มีชีวิต มีจิตใจ มีตัวตน
You think the only people who are people
Are the people who look and think like you
But, if you walk the footsteps of a stranger
You'll learn things you never knew you never knew
ใครเล่าคือ มนุษย์ใน มโนคิด
เธอยึดติด ว่ารูปเหมือน ไม่สับสน
หากลองก้าว ออกจากกรอบ ความคิดตน
เปิดตายล ความหลากหลาย มากมายมวล
Have you ever heard the wolf cry to the blue corn moon
Or asked the grinning bobcat why he grinned?
Can you sing with all the voices of the mountain?
Can you paint with all the colors of the wind?
เคยหรือฟัง สิงคาลครวญ ถึงนวลนิศา
หรือปุจฉา วิฬาร์ไพร ในรอยสรวล
หรือรื่นรมย์ ร่วมคีรี คีตาครวญ
หรือแต้มมวล พลิ้วพาย ไพพรรณา
Come run the hidden pine trails of the forest
Come taste the sun-sweet berries of the earth
Come roll in all the riches all around you
And, for once, never wonder what they're worth
เถอะ ท่องไป ในมรรคา พนาสน
ลิ้มรสรื่น ของรวงผล ลูกไม้ป่า
ดื่มด่ำ ความอุดม รอบองคา
แค่เพียงครั้ง เกินราคา ค่ารำพัน
The rainstorm and the river are my brothers
The heron and the otter are my friends
And we are all connected to each other
In a circle, in a hoop that never ends
พยับฝน ชลธี ล้วนพี่น้อง
สรรพสัตว์ พนัสผอง ล้วนเพื่อนฉัน
เราต่างเพียง ส่วนเสี้ยว โซ่สัมพันธ์
ในร้อยรัด วัฏอนันต์ นิรันดร์กาล
How high does the sycamore grow?
If you cut it down, then you'll never know
And you'll never hear the wolf cry to the blue corn moon
For, whether we are white or copper-skinned
สุดปลายยอด พญาไม้ สูงแค่ไหน
หากเธอ กำหนดไว้ ที่คมขวาน
คงไร้เสียง คำรน ถึงมนทกานติ์
ไม่ว่าต่าง ด้วยวงวาน หรือวรรณา
We need to sing with all the voices of the mountain
We need to paint with all the colors of the wind
You can own the earth, and, still
All you'll own is earth until
You can paint with all the colors of the wind
เราต่างเสพ งานศิลป์ จากสายลม
เราต่างเพลิน ภิรมย์ เพลงภูผา
เธอจะเป็น เจ้าของ ครองโลกา
หากอาจทา สีระบาย ในสายลม
ดิน ไฟ น้ำ ลม ผสมส่วน
ผสานมวล แม่ธาตุ ผงาดหล้า
ลม เพียงหนึ่ง ส่วนประกอบ ของโลกา
ยังไม่อาจเอื้อมคว้า จงตรองดู
สายลมแสนงดงาม
ไม่มีมนุษย์คนไหนจับสายลมไว้ในกำมือได้
หากคุณเคยวาดมือกำลมไว้
ในกำปั้นนั้นคืออากาศ ไม่ใช่สายลม
19 กรกฎาคม 2552 10:39 น.
อักษกร
เผ่นโผนกระโจนคึกมฤคป่า
สองนัยตาเหลียวชำเลืองเรื่อแววใส
ย่างเหยาะเลาะเลียบริมราวไพร
ล่อลับวับไหวในวนา
ณ ลานเลี่ยนเตียนติณถิ่นเลี้ยงชีพ
สองคู่กีบย่ำเปอะเลอะเส้นหญ้า
เพียงพงอ่อนยอกระบัดคือภัตตา
แฝงตัวใต้ร่มรุกขาหลบกล้าตะวัน
งามพิสุทธิ์ประดุจมงกุฎเกล้า
สองข้างเขาโค้งรับกับเกศขวัญ
แตกหน่อต่อแขนงแซงกิ่งกัน
ดุจเทพสรรงามยิ่งกว่าสิงค์ใด
สว่าเยี่ยง ราชา แห่งทุ่งกว้าง
โดดเด่นยากเร้นพรางความงามได้
มงกุฎเขาเข้าทางกล้องมองแต่ไกล
ถูกคำนาณกำหนดไว้เป็นราคา
วันหนึ่งปีศาจร้ายจากนคเรศ
จึงรุกรานพนาเวศเขตสิงสา
ขับเคลื่อนยานสี่ห้อห้อบึ่งมา
สะพายปืนสูบซิการ์หมายล่ากวาง
คมเขาหรือจะสู้คมกระสุน
ทะลวงพรุนทะลักเลือดทะลุร่าง
กระชากชีพชีวิตลาชีวาร้าง
กี่สิบเปรี้ยง กี่สิบร่างล้มวางวาย
จากเคยโผนโลดเต้นเต็มราวป่า
เติมสมดุลคุณค่าความหลากหลาย
บัดนี้....แม้สมันตัวสุดท้าย
ถึงความตายสังเวยใคร่ของใครกัน
18 กรกฎาคม 2552 19:38 น.
อักษกร
เดียวดายเดินดั้นด้นโดยดุ่มเดี่ยว
ทางสาวเปลี่ยวทอดลู่สู่เวิ้งว่าง
สุดตามองมัวหม่นหมอกมุงทาง
สุดเสียงกู่ก้องคว้างกลางเกลียวกล
สดับเพียงเสียงเงียบอันเยียบเยือก
ณ ทิวเทือกทัศธารกังวานผล
ผ่านพุ่มพฤกษ์ผ่านภูผาผ่านสาชล
ความหนาวจับกมลจนชินชา
ยังหวังเรืองรุ้งสางบนทางหนาว
แม้รวดร้าวด้วยลมโลมที่โถมถา
ยังขอย่างเหยียบหยัดรัถยา
เพื่อพบพา"สุขาลัย"ที่ปลายทาง