3 กุมภาพันธ์ 2553 22:03 น.
อรรธนิศา
เมื่อพลิกบทพจนาขึ้นมาอ่าน
สำนวนกานท์เขียนให้สะใจเหลือ
ช่างประชดจดจำนำมาเจือ
ไม่อยากเชื่อว่าจะกล้าเก่งคารม
ช่างเหน็บแนมแกมหยอกช่างหลอกล้อ
เหมือนจะพ้อต่อว่าให้สาสม
เมื่อไม่ชอบวาจาอย่าปรารมภ์
จะไม่ชมต่อไปให้ได้ยิน
นึกแล้วน้อยใจเหลือเมื่ออ้างเอ่ย
คำเฉลยของเราเขาติฉิน
ก็คนเคยเหลวไหลเป็นอาจินต์
เขาจึงผินหน้าเมินคำเยินยอ
เหมือนที่พูดออกไปไม่จริงจิต
เป็นยาพิษปนให้หรือไรหนอ
เขาจึงไม่อยากรับกลับรีรอ
แถมตัดพ้อต่อคำเสียหนำใจ
ก็คนเก่งน่ารัก ออกอย่างนี้
ไม่ให้พี่เอ่ยชมได้ไฉน
ก็ความจริงมันมีน่าดีใจ
แล้วทำไม จึงว่าไม่น่าชม
จริงที่เป็นเช่นระบอบแบ่งขอบชั้น
แต่ก็กั้นหนทางอย่างเหมาะสม
คนที่พากเพียรมาน่านิยม
เขาจึงชมชื่นให้ในความดี
ผิดกับพี่ที่เลวและเหลวไหล
กว่าจะได้ ปริญญา มาแนบศรี
คน ที่เคยสนใจ เคยใยดี
เขา ยังหนีหน้าเมิน นานเกินรอ
แล้วจะว่าสิ่งสำคัญนี้อันไหน
เมื่อต่างใจต่างจิตคิดกันหนอ
คนที่เคยคลอเคล้าพะเน้าพะนอ
เขายังขอเลือกไปไกลอีกทาง
นึกขึ้นมาคราใดให้เศร้าจิต
ไร้แม้สิทธิ์คิดห้ามตามขัดขวาง
เมื่อเขาหวังตั้งใจแยกไปทาง
เราจึงร้างห่างกันทุกวันนี้
คนในเมืองใช่ว่าจะกลิ้งกลอก
เคยโดนหลอกลวงใจหลายวิถี
โดนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเฉาฤดี
ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจำ
ยูงทอง เคยพลิกฟื้น ชื่น แล้ว เฉา
สลับเศร้า โศก สุข ทุกข์ ถลำ
พอผลิตดอกออกใหม่ใบร่วงพรำ
ไม่กี่ค่ำดอกเจ้าก็เฉาตาม
เคยอยู่ในป่าดงพงไพรกว้าง
ก็เหมือนอย่าง จามจุรี ไม่มีขาม
ครั้นมาอยู่ในเมืองเฟื่องฟูคราม
ก็ถูกความซ้ำชอกทั้งดอกใบ
อยากกลับไปอยู่ป่าเหมือนคราก่อน
ได้พักผ่อนหายฟื้นคืนสดใส
ได้ผลิดอกออกช่ออีกต่อไป
ฝากคนใจช้ำชารักษาที
อยู่กับสายธารเก่า เจ้าพระยา
ไหลหลั่งมาไม่ปลีกคิดหลีกหนี
ให้ฉ่ำชื่นรื่นใจในชีวี
ทั้งตาปีไม่เคยแห้งแล้งน้ำใจ
ทั้งไม้อื่นร่วมอยู่ได้ชูชื่น
ให้ร่มรื่นทุกคราพาสดใส
หาก จามจุรี มาเรียงร่วมเคียงใจ
แผ่ร่มใบเคียงคู่สู้ภยันตร์
ก็ได้แต่คิดฝันคอยวันชื่น
ใจที่ขื่นก็คลายได้มหันต์
จามจุรี สูงใหญ่ไม่เทียมทัน
ยูงทอง นั้นหรือจะเปรียบเทียบได้เลย
31 มกราคม 2553 22:43 น.
อรรธนิศา
เคยเห็นเธอเริงร่าแล้วน่ารัก
เคยยิ้มทักท่าทีที่สดใส
กลับหน้าบึ้งตึงเครียดเหมือนเกลียดใคร
เหมือนมิใช่คนเดิมเริ่มเปลี่ยนแปลง
ฉันทำผิดสิ่งใดหรือไรหนา
จึงทำท่าคล้ายคล้ายกับหน่ายแหนง
เหมือนดังว่าคนขลาดหวาดระแวง
ไม่ชี้แจงหรือเล่าให้เข้าใจ
ชอบวู่วามตามใจใช้อารมณ์
ไม่หัดข่มดวงจิตคิดแก้ไข
ไม่ฟังเหตุผลบ้างหรืออย่างไร
เพราะฉันไม่รู้ซึ้งถึงความจริง
หากถ้าฉันทำผิดจะคิดแก้
จะยอมแพ้ตลอดต่อยอดหญิง
จะยอมคุกเข่าให้ไม่ท้วงติง
จะยอมนิ่งน้อมรับสดับฟัง
เพราะอยากเห็นเธอเป็นเช่นคนเก่า
ได้แต่เฝ้ารอไปด้วยใจหวัง
เธอมีสิทธิ์คิดเคียดถ้าเกลียดชัง
ฉันไม่ยั้งห้ามได้....ตามใจเธอ
31 มกราคม 2553 22:23 น.
อรรธนิศา
ได้รับบทพจนาช้ากว่าคิด
พาให้จิตเหงาหงอยคอยแล้วหาย
ชะเง้อแลชะแง้หาจนตาลาย
แต่จดหมายน้องพี่ไม่มีมา
รู้ไหมว่าคนคอยน้อยใจแล้ว
คิดถึงแก้วคนดีที่ฝันหา
อยากได้ฟังน้ำถ้อยที่ร้อยมา
เหมือนน้ำฟ้ามาพรมชโลมดิน
แม้จะเพียงหยดน้อยพลอยชื่นจิต
ชุบชีวิตคนเหงาเฝ้าถวิล
ยามใดที่เงียบเหงาเศร้าชีวิน
ได้ยลยินคำหวานพอซ่านใจ
หัวใจน้อยลอยฟ่องล่องมานี่
ฝากถึงพี่คนเลวเคยเหลวไหล
พี่ตื้นตันเหลือที่น้องมีใจ
ส่งมาให้คนยากฝากวจี
ทั้งตัดพ้อต่อว่าสารพัด
พี่เขินขัดเหลือเกินสุดเมินหนี
หากรับได้จะรับซับชีวี
แต่คนนี้ไม่ดีพอจะขอใคร
ไม่มีเกียรตินิยมให้ชมชื่น
แม้คนอื่นยังเมินเขินขัดไหม
จึงไม่อยากให้น้องต้องเสียใจ
เมื่อใครใครเขายังชังพี่นา
นปฺ ฏิ กงฺ เข อนา คตฺ
ไม่ควรหวังสิ่งใดไกลเกินหา
เมื่อสิ่งนั้นยังไกลในอุรา
หากพลาดถ้าเพลี่ยงพล้ำไม่ช้ำใจ
พุทธภาษิตสอนใจให้ข้อคิด
เรียนชีวิตดียิ่งกว่าสิ่งไหน
พี่ใช้เตือนใจยั้งทุกครั้งไป
หวังสิ่งใดอย่าหวังตั้งใจเกิน
เมื่อไปเยือนเคหาที่น่ารัก
ได้รู้จักทักทายไม่ขัดเขิน
ทั้งคุณแม่ คุณพี่ ดีเหลือเกิน
ที่บังเอิญมาประสบพบพร้อมกัน
ถึงบ้านแคบแต่ใจไม่แคบคับ
น้องต้อนรับอย่างที่มิคาดฝัน
พี่ซาบซึ้งตรึงจิตมิตรสัมพันธ์
ก่อนจากกันได้ของฝากจากคนดี
พี่จะเก็บเอาไว้เพื่อระลึก
ยามใดนึกถึงหน้ามารศรี
ก็ได้เห็นพักตร์พริ้มยิ้มยินดี
มองกี่ทีก็ไม่เบื่อเมื่อได้ยล
ช่างเหมาะสมคมนามว่า น้ำต้อย
มาเรียงร้อยรวมคำฉ่ำดังฝน
หวานกว่าน้ำดอกไม้ในสกล
นฤมลคนไหนไม่อาจเทียม
ใช่แกล้งยอปอปั้นสำคัญผิด
โอ้ยาจิตอย่าแสร้งแกล้งทำเหนียม
พี่ชมด้วยใจจริงใช่สิ่งเทียม
เห็นว่าเยี่ยมก็ว่าประสาจริง
เพราะน้องวางตัว เก๋ เท่ห์ น่ารัก
และรู้จักสังคมสมเป็นหญิง
ไม่ทำตัว หวือหวา น่าชังชิง
พี่จึงยิ่งดีใจได้พบเธอ
หากได้เธอมาเป็นเช่น ขวัญโดม
เหมือนแสงโสมส่องหล้ามาเสมอ
ยูงทอง คงสดชื่นเหมือนแรกเจอ
เมื่อมีเธอ จามจุรี คลี่ดอกบาน
เจ้าพระยาคงหายคลายความเหงา
คลื่นลมเร้าเริ่มสุขสนุกสนาน
เมื่อดอกไม้แห่งไมตรีเริ่มคลี่บาน
จาก สามย่าน ผ่านมา ท่าพระจันทร์
31 มกราคม 2553 22:13 น.
อรรธนิศา
ขวัญชีวา
หลายเพลาแล้วซิมิพบเห็น
ได้แต่เฝ้าคำนึงถึงเช้าเย็น
ความจำเป็นพาให้ไม่พบกัน
เพราะต่างมีภาระและหน้าที่
ตามวิถีของตนทนสร้างสรรค์
เพื่ออนาคตสดใสในชีวัน
เพื่อความฝันต่างฝ่ายหมายรอมา
ถึงห่างกันไปบ้างอย่างที่ทราบ
มิตรภาพยังเป็นเช่นเดิมหนา
ถึงคืนวันผันเวียนเปลี่ยนเวลา
ใช่เลิกราร้างไกลทิ้งไมตรี
ด้วยมีความคิดถึงตรึงดวงจิต
จึงลิขิตอักษรสุนทรศรี
ยามใดที่เงียบเหงาเศร้าฤดี
กลอนชิ้นนี้คงจะกล่อมช่วยย้อมใจ
ป่านนี้
ขวัญอยู่ดีมีสุขหรือไฉน
ไม่เห็นส่งข่าวเล่าให้เข้าใจ
ลืมหรือไรจึงได้ไม่กังวล
หรือว่ามีงานมากลำบากจิต
ไม่อาจคิดคาดเดาเฝ้าฉงน
หรือมีเรื่องขุ่นข้องหมองกมล
สุดจะค้นเดาคำถ้าอำพราง
หากไม่อาจตอบคำที่ถามนี้
ไม่เซ้าซี้กวนใจให้หม่นหมาง
แต่ถ้าหากหนักใจไม่เบาบาง
อย่าแสร้งพรางอยู่เลยเอ่ยออกมา
หากว่ามีสิ่งใดจะให้ช่วย
โปรดบอกด้วยอย่าได้เกรงใจหนา
หากไม่เกินกำลังทั้งปัญญา
คงจะหาทางช่วยด้วยเต็มใจ
ดึกแล้วหนอ
จะใคร่ขอไปนอนก่อนได้ไหม
ชักง่วงนอนอ่อนเพลียละเหี่ยใจ
ขืนเขียนไปคงจะขัดไม่ชัดเจน
ถ้าขืนมัวเขียนไปไม่หลับนอน
เพียรอักษรต่อไปคงไม่เห็น
อยากจะเขียนให้มากช่างยากเย็น
เพราะว่างเว้นเนิ่นนานในกานท์กลอน
สุดท้ายนี้
ฝากฤดีคำนึงถึงสมร
แม้อยู่ห่างต่างฟ้าอย่าอาทร
ส่งอักษรถึงกันอย่าหวั่นใจ
ก่อนจะจากฝากคำอำลาขวัญ
ขอชีวันนวลน้องจงผ่องใส
หากระลึกถึงกันในวันใด
เขียนส่งไปถึงบ้างก็ยังดี
ป.ล........
หากได้รับขอให้ตอบเป็นสักขี
ถึงจะมีไม่มากก็ตามที
ก็ยังดีกว่าไม่ตอบให้ชอบเลย ฯ
18 มกราคม 2553 15:20 น.
อรรธนิศา
นี่ก็ครบรอบปีแล้วสินะ
แม้เราจะเหินห่างอย่างที่เห็น
แต่ภาระหน้าที่นี้จำเป็น
เราจึงเล่น บทห่าง อย่างจำใจ
มีแต่เพียงอักษราฝากมามอบ
ได้โต้ตอบชอบจิตคิดคำไข
ถึงอยู่ห่างต่างถิ่นแผ่นดินไกล
ก็จำได้ไม่ลืมปลื้มไมตรี
เหมือนสายชลวนไหลไม่รู้สิ้น
เหมือนแผ่นดินมิไร้ทางว่างวิถี
ถนนแห่งน้ำใจและไมตรี
ก็คงมีไม่สิ้นสุดดุจเดียวกัน
มีแต่ทางสร้างใจไมตรีเพิ่ม
หากน้องเติมต่อด้วยช่วยสร้างสรรค์
เป็นแนวทางมิตรภาพชั่วกัปกัลป์
เพื่อเรานั้นได้เดินเพลินอุรา
ขอฝากความคิดถึงคะนึงให้
คนอยู่ไกลใจเหงาเฝ้าเพ้อหา
ฝากสายลมพรมพัดสะบัดมา
สู่ จุฬา แดนดินถิ่นคนงาม
และเคยคิดถึงคนไกลบ้างไหมหนา
เจ้าพระยา เจ้าเก่าแอบเฝ้าถาม
ท่าพระจันทร์ ฝันเฝ้าเร้าใจตาม
หวังรอนาม จามจุรี นี้เผยใจ