22 เมษายน 2548 18:30 น.
อมตะลักขณา
การเสด็จลงจากสรวงสวรรค์ สำหรับเทพ ขั้น มหาเทพ นั้นถือเป็นภารกิจ ที่สำคัญระดับฟ้าดิน เนื่องจาก ท้าวลัคนาเทพ ได้ทำนายทายทักไว้ว่า เมื่อกาลแลเวลา บรรจบ แต่ รัตติกาล เมื่อนั้น ดินแดน มหาอัคคี จะกำเนิด แลเมื่อกาลนั้นผ่านพ้น แดนนั้น จะเปลี่ยนเป็น มหาวารี เมื่อ มหาวารีกำเนิด จะมีผู้มีบุญญา สร้างดินแดนขึ้นใหม่ แลจำเป็นต้องอาศัย ทิพย์โอสถ สำหรับรักษาดินแดนให้คงไว้ซึ่งสมุทรวารี (สายน้ำอันป็นนิรันดร์) เพื่อป้องกันการกลับมาของ ปีศาจกินภวังค์ แต่ทิพย์โอสถนั้น ต้องดำรงอยู่ทั้ง อัคคี แล วารี เพื่อรอคอยเวลา รวมเข้ากับผู้พิทักษ์ ซึ่งจะกลืนดวงชะตาของเทพแลปีศาจไว้ด้วยกับตน
ด้วยเหตุนี้องค์อัมรินทร์ จึ่ง รับสั่งให้ท้าวสุนทรสมุทร ลงมาจุติเป็น พฤกษาสมุทรดารา ให้รากหยิ่งถึงแกนโลก กลั่นโอสถทิพย์ ละลายเข้ากับอัคคีแล วารี เพื่อธำรงไว้ซึ่ง แดนกลาง ป้องกันการไหลเวียนของอัคคีแล วารี ไม่ให้เกิดการสอดแทรกแล ระเบิดเป็นจุล
มหาเทพสมุทรยันตรา ได้ฟังคำตรัสดั่งนั้น จึ่ง เสนอพระองค์เสด็จตามคุ้มกัน พฤกษาสมุทรดารา ให้ปลอดภัยจาก ปีศาจทั้งปวง เนื่องจากท้าวสุนทรสมุทร จะมิมีเทพฤทธาใดๆ ระหว่างที่เนรมิตตอนเป็นพฤกษา
ครั้น ท้าวสุริยัน ปราบปีศาจกินภวังค์สำเร็จ แลเสด็จสู่สวรรค์ มหาเทพสมุทรยันตรา ได้เนรมิตห้วงสมุทรม่านวารี เพื่อกำบังตา พฤกษาสุมทรดารา เพื่อรอคอยการรวมกันของผู้พิทักษ์ไว้ ใต้สมุทรดินแดนแห่งนี้ แลได้สร้างเทวาลัยองค์อัมรินทราธิราช หลอกตาผู้พบเห็น
พระเจ้ากัลปังหา ครั้งเมื่อสร้างนคร ได้ พบเทวาลัยฯ ด้วยความไม่ตั้งใจ เนื่องจากทรงเสด็จ ตรวจดูแล ดินแดน ทรงแลเห็นเทวาลัยฯ อยู่เหนือม่านน้ำในห้วงสมุทรนี้ เพียงพระองค์เดียว ทรงหลับพระเนตร ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อให้เทวาลัยฯ แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพกราบไหว้ของข้าเมืองโดยทั่วกัน จึงเกิดเหตุ อัศจรรย์ ม่านน้ำเปิดออกเป็นวงกว้าง แหวกสายนทีออกโดยรอบ ปรากฎเป็นเทวาลัยองค์อัมรินทราธิราช ฉลององค์ทรงกษัตริย์ศึก สี่กร สองพักตร์ ทั้งองค์เป็นสีขาวเพชร แวววับ ราวกับ มณีหยาดฟ้า เหล่าข้าราชบริพารแล พสกนิกรเห็นดังนั้น พากันก้มบังคม กราบไหว้ แลสรรเสริญ พระเจ้ากัลป์ปังหาเป็น เทพกษัตริย์ ผู้มีบุญญาบารมี โทยทั่วกัน
ครั้งนี้ พระเจ้ากัลปังหาเสด็จถึงยังเทวาลัย เป็นเวลาเที่ยงวัน พอดี ทรงสักการะ บูชาด้วยเครื่องประกอบพิธี ครบตามธรรมเนียม ขณะทรงเสด็จปิดทองยังองค์เทวาลัยฯ กลับบังเกิด ฟ้ามืด ห้วงน้ำกลับปิด พระเจ้ากัลปังหา พระนางดาราเทพ แลเหล่าข้าราชบริพาร โดนขังอยู่ในห้วงน้ำ เหตุการณ์ยังมิทันสงบ องค์เทวาลัยฯ กลับเลื่อนถอยหลัง ปรากฏเป็นสายน้ำพุ่งขึ้นจากห้วงน้ำ หลังจากพายุวารีสงบกลับบังเกิดเป็น พฤกษา สีเขียวสด ลำต้นสูงใหญ่ กิ่งก้านแผ่เต็มห้วงสมุทรเทวาลัยฯ สร้างความอัศจรรจ์ใจแก่พระเจ้ากัลปังหาแล ข้าราชบริพารเป็นยิ่งนัก
เสียงหนึ่งบังเกิดจากต้นพฤกษานั้น
เราคือ สมุทรดารา พฤกษา ผู้สร้างโอสถทิพย์ เพื่อปกป้อง วารีอันเป็นนิรันดร์ บัดนี้ได้บังเกิด ผู้พิทักษ์ แล ปีศาจ ขึ้น เจ้าจงตั้งจิตอธิษฐาน นำเราไปหาผู้พิทักษ์ บัดเดี๋ยวนี้
สิ้นเสียงนั้น พระเจ้ากัลปังหา ยกพระหัตถ์ ตั้งจิตอธิษฐาน รับพฤกษาสมุทรดาราสู่พานแก้ว พฤกษาสมุทรดาราเมื่ออยู่บนพานแก้วกลับ เนรมิตตอนเหลือลำต้นเล็กเพียงพอขอบพาน
คืนนั้น พระเจ้ากัลปังหา สนทนากับ พฤกษาสมุทรดารา จึ่งได้เข้าพระทัยว่า ที่โอรส สินนที ก็คือ ดาวบัลลัยกัลป์ มาจุติ เพื่อปราบปีศาจกินภังค์ในภาคของครึ่งมนุษย์ ครึ่งปีศาจ ซึ่งกำลังสำแดงเดช อยู่ในพระนครตอนนี้ พระนางดาราเทพรู้สึกเป็นห่วง พระโอรส ขึ้นมาทันใด แต่ก็ไม่สามารถ เสด็จกลับในขณะนี้ได้ พระเจ้ากัลปังหา ทรงตรัสกับพระนางดาราเทพ ด้วยท่าที ไม่ประหวั่นพรั่นหรึงแต่อย่างใด
ลูกของเรา เอาตัวรอดได้ เจ้าอย่าได้ห่วง อย่าได้ดูแคลน สติ แลปัญญา ของลูกเราสิ ดารา
โปรดติดตามตอนต่อไป ...
20 เมษายน 2548 13:09 น.
อมตะลักขณา
โหรหลวง ทำนายทายทักบนกระดานชนวน ขีดๆ เขียนๆ แล้วจึงประนมหัตถ์ ขึ้นถวายบังคม
ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ขณะนี้ดวงเมืองดีมาก พระย่ะค่ะ พืชพันธุ์ ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ประชาราษฎร์ อยู่เย็นเป็นสุข ด้วยพระปรีชาพระย่ะค่ะ
ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราจะพามเหสีของเรา ไปบวงสรวง ชะตาเมือง เพื่อสืบศิริมงคล แล้วจะถือโอกาส ท่องเที่ยวสักระยะหนึ่ง ในระหว่างนี้ เราขอแต่งตั้งให้ ลูกชายของเรา สินนที เป็นผู้ว่าราชการแทนเรา จนกว่าเราจะกลับมา
รุ่งขึ้น พระเจ้ากัลปังหา จึงเสด็จออกนอกวังพร้อมกับพระมเหสี และข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ไปยังเทวาลัย องค์อัมรินทราธิราช ซึ่งอยู่อีกห้วงสมุทรหนึ่ง
จะกล่าวถึง พระเจ้ากัลปังหา เมื่อครั้งสร้างพระนคร หลังจากลูกปลาน้อยเนรมิตตนด้วยผลกัลปังหาแล้วนั้น ก็ได้อธิบายความนัย เกี่ยวกับต้นกัลปังหาวิเศษนั้นว่า มีความพิเศษอยู่ 5 ประการด้วยกัน กล่าวคือ
ผล สามารถเปลี่ยนมนุษย์เป็นสัตว์ เปลี่ยนสัตว์เป็นมนุษย์ได้ตามแต่จิตอธิษฐาน ตามบุญแลกรรมที่กระทำมาแต่ภพแต่ชาติเดิม กิ่งก้าน สามารถสร้างเสาหลัก สร้างกำแพง ได้ตามจิตเนรมิต เปลือก สามารถใช้เป็นยาปฏิชีวนะ รักษาโรคานานาสารพัด ลำต้น ช่วยกระจายบรรยากาศที่จำเป็นสำหรับสรรพสัตว์ กล่าวคือ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ใดๆ ก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ตราบใดที่ได้รับอากาศหายใจ ภายในรัศมีของกัลปังหา แม้ว่าจะอยู่ใต้บาดาลก็ตาม แลความพิเศษประการสุดท้ายคือ กัลปังหาวิเศษนี้ จะให้ผลเป็นต้นกัลปังหาเล็กๆ 1 ต้น ทุกๆ 1 ปี เพื่อขยายเผ่าพันธุ์เพียงแต่ต้นกัลปังหาเล็กๆ เหล่านี้จะไม่มีคุณสมบัติประการสุดท้ายคือ ไม่สามารถกระจายพันธุ์ด้วยตนเองได้
พระเจ้ากัลปังหามีสติปัญญาล้ำเลิศ เมื่อครั้งพบกับลูกปลาน้อยแลได้ฟังคำชี้แนะ จึงหักกิ่งต้นกัลป์ปังหา หว่านลงหน้าถ้ำ กลางห้วงทะเลสาบ ตั้งจิตอธิษฐาน สร้างมหานครใต้น้ำขึ้น วิจิตรงดงาม ตระการตา ลูกปลาน้อย ทำหน้าที่หว่านผลกัลปังหา ให้กับเหล่าสรรพสัตว์ เมื่อสัตว์ทั้งหลายได้กลืนผลกัลปังหาเข้าไป ก็ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ แลสรรเสริญให้ผู้สร้าง นั่นก็คือ พระเจ้ากัลปังหา แลลูกปลาน้อย เป็นคู่บุญ คู่บารมี ปกครองนครกัลปังหา และแคว้นกัลปังหาสืบมา
พระเจ้ากัลป์ปังหา ทรงตั้งพระนามให้กับลูกปลาน้อยใหม่ว่า ดาราเทพเทวี พระนางดาราเทพ ให้ประสูติพระราชโอรส 1 พระองค์ ทรงพระนามว่า สินนที
สืบจนปัจจุบัน โอรสสินนที ทรงพระชนมายุ ได้ 18 พระชันษา เมื่อครั้งประสูติ มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นท้องฟ้าเบิกกว้าง ท้องนทีใสสว่างราวกับกลางวัน แลปรากฏ พระพักตร์ สองผู้เป็นใหญ่นั่นคือ องค์อัมรินทร์และท้าวสุริยัน องค์อัมรินทร์ราชา ได้ประธานพรแด่พระราชโอรส ให้มีพระชนมายุยืนยาว ร่างกายแข็งแกร่งประดุจเพชร ท้าวสุริยันประธานความฉลาดหลักแหลม แลประธานศร สุริยันเพื่อเป็นอาวุธคู่กายอีกด้วย
พระโอรสสินนที ปฏิบัติภารกิจแทนพระราชบิดาเป็นอย่างดี ออกว่าราชการ ออกดูแลพสกนิกร รวมถึงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ในแว่นแคว้น
วันหนึ่งก่อน พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ท้องฟ้ากลับมืดมิด ท้องนทีสงบเงียบราวทุกสิ่งหยุดนิ่ง พระโอรสสินนที สังเกตุเห็นความผิดปกติ จึ่งเสด็จออกที่ท้องพระโรง แต่ไม่พบใครแม้แต่คนเดียว
ท่านอำมาตย์ ท่านราชครู กิริยา การเกตุ .... ทรงทอดเนตร และ ร้องเรียกเหล่าข้าราชบริพาร แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับ
พระโอรสฯ เสด็จมายัง หน้าพระราชวัง ภาพที่ได้ทอดเนตร ทำให้ทรงตะลึงงัน เหล่าข้าราชบริพาร กลับกลายร่างเป็นสรรพสัตว์ลอยตามสายนที ดั่งไม่มีแล้วซึ่งชีวิต ทอดเนตร เห็นเต่าตัวหนึ่งพยายามแหวกสายนที เข้ามา คลานเข้ามาช้าๆ พระโอรสฯ ไม่รีรอ รีบนำผลกัลปังหาออกจากถุงทอง ให้เต่าตัวนั้นกลืนทันที
ท่านราชครู เกิดสิ่งใดขึ้น ไยพวกท่านจึงเป็นเช่นนี้เล่า พระโอรสฯ ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงแลท่าทางตกพระทัยเป็นยีงนัก
พระอาญาไม่พ้นเกล้าพระเจ้าข้า... พวกข้าพระองค์ ... แค็กๆๆ ยังมิทันพูดจบ ราชครูก็กลับกลายร่างเป็นเต่าแลสิ้นใจทันที
โปรดติตามตอนต่อไป...
19 เมษายน 2548 19:47 น.
อมตะลักขณา
ปีศาจกินภวัง มีฤทธิ์อยู่ด้วยการกัดกินความฝันของสรรพสัตว์แลผู้คน ทำให้เหยื่อตกอยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก พลังชีวิตหดหาย ไม่เกินชั่วก้านธูป ก็จะตายทันที ปีศาจกินภวังค์ ไม่มีพิษสง น่ากลัวแต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่เวลาแห่งรัตติกาล ก็ไม่สามารถออกหากินได้
ท้าวสุริยัน ต้องเปล่งพลานุภาพปิดกั้นดินแดน กักขังปีศาจกินภวังค์ และทำให้ดินแดนนั้นเป็นกลางวันอยู่นาน 999 วัน จึงกำจัดปีศาจกินภวังค์สำเร็จ
ครั้น ท้าวสุริยัน คืนสู่สวรรค์ องค์อัมรินทร์ เทวะผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นที่ 6 รับสั่งให้ พิรุณเทพ บันดาลให้ฝนตกทั่วทั้งดินแดน 1 ห่า พระพิรุณรับบัญชา บันดาลฝนทันที เมื่อนั้น ท้องฟ้าเกิดมืดครึ้มราว 30 คืน แลในคืนที่ 31 กลับเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ พื้นดินส่วนนั้นยุบลงทั้งดินแดน น้ำฝนทะลักเข้าไป กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ องค์อัมรินทร์เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ ทอดเนตรเห็นดังนั้นจึงรับสั่ง พฤกษาเทพ ปลูกต้นกัลปังหา ลงในท้องนที แลให้กำเนิดชีวิตใต้สมุทร (จบความก่อน)
แคว้นกัลปังหา เป็นดินแดน กลางทะเลสาบขนาดใหญ่ พระเจ้ากัลปังหา เป็นผู้ค้นพบนครแห่งนี้ เมื่อ 50 ปีก่อน เนื่องจากหลงเข้ามาหาปลา แล้วได้ช่วยเหลือลูกปลาน้อยตัวหนึ่ง ที่ติดอยู่ในแง่งหิน ครั้งนั้นลูกปลาน้อยว่ายทวนน้ำกลับขึ้นมา แผลงฤทธิ์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โอบรัดพระเจ้ากัลปังหาลงสู่ท้องทะเลสาบ พามายังถ้ำเพชร ซึ่งเกิดจาก การยุบตัวของแผ่นดินนั่นเอง
ภายในถ้ำส่องประกายเพชรแวววับสวยงาม มีบัลลังเพชรตั้ง อยู่กลางถ้ำ ข้างบัลลังมีต้นกัลปังหา สีแดงสดแผ่กิ่งก้านปกคลุมบัลลัง ออกผลสีทองเม็ดเท่าหัวแม่มือเต็มต้น ดูงดงามยิ่งนัก ลูกปลาน้อยคาบผมที่ตกอยู่ กลืนเข้าไป พลันเกิดกลุ่มควันประหลาด วนขึ้นรอบกาย เมื่อกลุ่มควันจากลง กลับกลายร่างเป็นสาวแรกรุ่น งดงามรามกับนางฟ้า ดวงตาสุกใส นัยว่ามหาสมุทรทั้งผืนปรากฏภายใต้ดวงตาคู่นั้น พระเจ้ากัลปังหาตัดสินใจอยู่กินกับลูกปลาน้อย เถลิงพระนามใหม่ว่า พระเจ้ากัลปังหา สร้างอาณาจักรใหญ่โตใต้ทะเลสาบ มีบริวารเป็นสรรพสัตว์ใต้ผืนน้ำมากมาย
โปรดติดตามตอนต่อไป...
11 เมษายน 2548 15:52 น.
อมตะลักขณา
สีสันการบรรเลงดนตรีของธรรมชาติ ผ่านเจ้าปักษาตัวน้อยๆ คงส่งผลถึง การเต้นระบำ ของก้อนเมฆบนท้องฟ้า สีฟ้า ตัดกับสีขาวของปุยเมฆ ลอยไปแล้วก็ลอยมา ดูน่าพิสมัยไปอีกแบบครับ การดำเนินไปของเหตุการณ์บนท้องฟ้า คงไม่มีใครทราบดี เท่ากับธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ ลองแหงนมองดูท้องฟ้าในวันที่อากาศแจ่มใสดูครับ กางแขนออกกว้างๆ หลับตาลง แล้วสูดหายใจลึกๆ ซึมซับเอาสายใยที่ธรรมชาติเริ่มต้นไว้ให้กักตุน ไว้เป็นพลังเพื่อดำเนินชีวิตต่อไปครับ
จะว่าไป ความสุข ความทุกข์ เกิดขึ้นกับมนุษย์ ทุกเพศทุกวัย ทุกวันทุกเวลา อยู่ที่ว่า เราจะผ่านมันไปอย่างไรครับ มีคนเคยบอกผมว่า แม้กระทั่งโรงหนังยังมีทางออกฉุกเฉินเลย ทุกครั้งที่มีปัญหา ผมก็พยายามหาทางออกฉุกเฉินครับ หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอครับ ก็ปัญหาหนักอกซะขนาดนั้น จนมีคนถามว่า แล้วทางออกฉุกเฉินที่ผมกำลังหาอยู่นั้นน่ะ เค้าบอกว่าอยู่ที่ไหนกันล่ะ ผมบอกว่าอยู่ที่โรงหนัง เค้าก็บอกให้ผมไปหาที่โรงหนัง ผมก็ไปครับ ลงท้ายผมก็อยู่ที่โรงหนัง กับ ภาพยนตร์ที่โปรดปรานทุกทีไปครับ ผมเลยคิดได้ว่า บางที ถ้าสมองได้รับการแทรก ความรู้สึก สบาย สบาย ลงไป ทำให้คิดอะไรออกมากกว่า ช่วงเวลาที่มีปัญหาเยอะเลยครับ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า ทำไมเวลามีปัญหาถึงต้องพยายามหาทางออกฉุกเฉิน
ความทุกข์มีเข้ามาบ่อยครับ ของตัวเองบ้าง ของคนอื่นบ้าง เค้าว่ากันว่าให้มองมันดีๆ มีจุดจี้ๆ อยู่เยอะครับ ความทุกข์เกิดจากปัญหา ที่ถ่ายทอดจากความรู้สึก สามัญสำนึกของตัวเราเอง มีคนเคยบอกผมเช่นเคย ว่า ถ้ามีความทุกข์ลองหาคนปรึกษา ระบายความรู้สึกดู เคยลองทำครับ กลับกลายเป็นว่า คนที่เราไปปรึกษา กลับรู้สึกเหมือนเพื่อนร่วมเหตุการณ์ บางครั้งกลับรู้สึกทุกข์หนักกว่าเราซะอีกครับ แต่ก็สบายใจทุกครั้ง บางทียิ้มได้ทั้งน้ำตาเลยครับ
เคยลองคิดถึงคนที่มีความทุกข์มากๆ คนเหล่านี้น่าสงสารนะครับ ที่ไม่เคยลิ้มรสกับความสุขเลย แต่ผมว่า ยังดีกว่ามนุษย์ บางพวก ที่ทราบดีว่าตัว มีความทุกข์แต่ยังตีหน้ามีความสุขต่อหน้าคนอื่น อยู่บนความทุกข์ของตัวเอง สุดท้ายคนที่น่าจะมีความสุขที่สุด ก็คือคนที่ถ่ายทอดความทุกข์ได้ดีที่สุดต่างหาก จริงไหมครับ
สุดท้ายครับ ความทุกข์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่ก็ไม่ควรไปจริงจังกับเค้ามากครับ ความสามารถของความทุกข์คือทำให้เรารู้สึกเศร้าสลด ถ้าถึงเวลานั้น ลองแหงนมองดูท้องฟ้าในวันที่อากาศแจ่มใสดูครับ กางแขนออกกว้างๆ หลับตาลง แล้วสูดหายใจลึกๆ ถ้าวันนั้นอากาศไม่แจ่มใส ก็หลับตาลงก่อนครับ นึกซะว่าแจ่มใสก็แล้วกัน สูดหายใจเข้าไปลึกๆครับ หรือถ้าไม่หายจริงๆ ลองไปหาทางออกฉุกเฉินดูครับ เผื่อจะดีขึ้น....
5 เมษายน 2548 16:29 น.
อมตะลักขณา
มนุษย์จะรู้สึกถึงความเป็นจริงก็ต่อเมื่อ ได้สูญเสียความเป็นนิรันดร์นั้นไปแล้ว ความสุขเพียงชั่วครู่ที่สัมผัสได้ ไม่ยาวนานเท่าความทุกข์ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเป็นจริงที่น่ากลัว ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนหรือ ย้อนหลังตามมา ผลลัพธ์ เกินคำบรรยาย ลงท้ายด้วยหัวใจที่ถูกทำร้ายเช่นกันทั้งหมด ทั้งมวล
ตัวแปร ของความสุข ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกนาที ทุกเมื่อเชื่อวัน คือ สิ่งที่เราเรียกกันว่า เวลา สีสันของชีวิตถูกแต่งแต้มด้วยกฎเกณฑ์ ของธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ เป็นไปตาม วัฏจักร จินตนาการที่มนุษย์เฝ้าคอย หรือแสวงหา คือ วันเวลาแห่งความสุขที่ไม่อยากให้ผ่านพ้นไป กับ วันร้ายๆ ของความทุกข์ที่อยากลืมไปให้หมดสิ้น แต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อวันใด ที่เวลาเปลี่ยนไป หัวใจ ย่อมรับรู้เรื่องที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
ดัชนีชี้วัด โชคชะตาที่จะเวียนวน ลิขิตให้พบเจอกับเหตุการณ์เช่นไร คงไม่มีใครทราบได้ บางครั้งต้องสร้างขึ้นมาจึงจะได้รับ บางครั้ง ไม่ต้องรอคอยก็ได้รับ บางครั้งนั่งนับ นอนนับวันเวลา เท่าไหร่ก็ยังไม่ได้รับ มนุษย์ จึงดิ้นรน เลือกที่จะสร้างโอกาส แห่งโชคชะตานั้นขึ้นมาเอง โดยไม่สนใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา เพียงได้ทำตามที่ใจปรารถนาก็เพียงพอ และนี่คือ ต้นกำเนิดของ การเปลี่ยนไปของวันเวลา
สิ่งที่ใจปรารถนา เริ่มปรากฏขึ้น พร้อมๆ กับวันเวลาแห่งความสุข ได้พบ ได้เจอ ได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยากมี อยากเป็น อยากได้ สุดท้าย จะสุขหรือจะทุกข์ แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคนที่จะ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ตัวเองให้เข้ากับวันเวลาเหล่านั้นได้มากน้อยเพียงใด น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จ มองเห็นเส้นชัยของโอกาสที่สร้างขึ้น และไม่น้อย ที่คาดโทษโชคชะตาของตัวเอง ด้วยความเศร้าและความทุกข์แสนสาหัส ที่ตนเป็นผู้เลือกเอง ในเวลานี้ วันเวลาดูจะมีความผิด กับการเสแสร้ง สร้างความสุขเพียงชั่วครู่ให้กับคนเหล่านั้น
เวลา สรรสร้าง ความเป็นมนุษย์ ให้กับ มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ความรู้สึก และมันสมอง คงไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งที่ธรรมชาติ สร้างให้ได้ ความสุขจึงตกอยู่ ในผู้ที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ขณะนี้กำลังทำอะไร และ เมื่อเป็นนั้นเช่นนี้จะทำอย่างไร ผู้ที่มองทุกอย่างอยู่ในด้านบวก โลกนี้จะดูไปก็ช่างสวยงาม แต่คนเหล่านี้ มักถูก เวลา ใช้ศิลปะในการหล่อหลอม ความเป็นมนุษย์ ด้วยการใส่ร้าย ป้ายสี สร้างแรงต้านทาน ภายใต้ความกดดัน เพิ่มความแข็งแกร่งความคงทนด้วย สัญลักษณ์ แห่งความเจ็บปวด ต่างๆ นานา ตอกย้ำทุกอนูของความอ่อนไหว ให้อยู่ในอานุภาพแห่งปัญญา ไม่ว่าผู้ใด ที่ทนได้ทุกขีด ทุกขั้น ที่ เวลา กำหนด ผุ้นั้นย่อมประสบความสำเร็จ อันเป็นนิรันดร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว
การเปลี่ยนไปของ วันเวลา จึงเป็นการเปลี่ยนไปของมนุษย์ชาติด้วยเช่นกัน ความไม่จีรัง ในชีวิต ทำให้มนุษย์ บางคน รังสรรค์ สิ่งที่คนทั่วไปเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ แต่มนุษย์เหล่านั้น ศรัทธาในสิ่งที่กำลังจะก่อกำเนิดเกิดขึ้น ด้วย สองมือ ของพวกเขาเอง มนุษย์เหล่านี้น่าสรรเสริญ ให้เป็นผู้กล้า ไม่เกรงกลัวอิทธิพล ของกาลและเวลา ท้าทายความมีคุณค่าของตนเองกับสังคม
เมื่อใดที่คุณค่าของมนุษย์ ถูกมองเห็น มากกว่า อิทธิพลของกาลและเวลา การเปลี่ยนไปของวันเวลา คงไม่น่ากลัว และไม่มีใครคิดอยากเอาชนะอีก ในเมื่อ สิ่งที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจแห่งธรรมชาติคือ สีสัน ที่พวกเค้าได้ รังสรรค์ สร้างไว้ ด้วยหัวใจดวงเดียวกันกับธรรมชาติ ดวงนั้น ดวงที่ เอาชัย การเปลี่ยนไปของวันและเวลา ได้สำเร็จ...