24 กรกฎาคม 2548 21:08 น.
อนาลัย
/9 ธ.ค. 2544
ตรงบริเวณสุดแผ่นดินของอีสาน ฉันยืนมองดูเหมือนเงียบๆ แต่ความรู้สึกหลายๆอย่างผุดพลุ่งขึ้นมา ฉันอยากเขียนนิยายขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง
แผ่นดินตรงรอยต่อ นี่คือชื่อเรื่องที่ฉันนึกขึ้นมาได้
อนาลัย คือ นามปากกาที่ฉันตั้งให้ตัวเองมานานแล้ว
เธออยากอ่านนิยายเรื่องนี้ของฉันไหม นี่คือบทที่ 2 ต่อจากบทแรกก่อนหน้านั้น
23 ก.ค. 2548
ฉันกลับมาทบทวนสิ่งที่ฉันเขียน เพราะฉันยังหวังที่จะเขียนบางสิ่งางอย่าง บอกเล่าให้เธอสนใจที่จะอ่าน ฉันยังคิดถึงความรู้สึกนั้น บนโขดหินของดินแดนสุดแผ่นดิน บนผืนแผ่นดินที่ถูกยกให้สูงขึ้นจนกลายเป็นที่ราบสูง แบ่งแยกออกจากแผ่นดินพื้นราบภาคกลาง แบ่งแยกจนทำให้แผ่นดินทั้งสองในอดีตที่ผ่านมาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งทางด้านภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และหรืออาจจะแม้กระทั่งภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นคำที่พวกเราเริ่มรู้จักกันในยุคปัจจุบัน
20.00 น.
ฉันรู้สึกว่าการเขียนนิยายสักเรื่องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ฉันเองก็ไม่เคยหัดเขียน หรือลองเขียนหรือฝึกเขียนมาก่อน ฉันอาจจะต้องเปลี่ยนใหม่ (นี่แหละคือตัวตนของฉันละ) เขียนเป็นแบบความเรียงบอกเล่าความรู้สึกดีกว่า ฉันอาจจะเขียนอะไรออกไปได้เรื่อยๆ แต่จะน่าสนใจไหม นี่เป็นคำถามที่ฉันถามตัวเองออกมาเมื่อเขียนถึงบรรทัดนี้ ฉันก็คงต้องลองเขียนดู เขียนอย่างที่ฉันเขียน เขียนอย่างที่ฉันรู้สึกได้ก่อนดีกว่า ฉันจะต้องลองเริ่มต้นดูอีกสักครั้ง
22.05 น. (ฉันจำเป็นต้องเขียนเวลาบอกตัวฉันเองเพื่อฉันจะได้รู้ว่า ฉันเสียเวลาไปกับสิ่งที่ฉันทำอะไรไปไม่ได้นานแค่ไหน ฉันอาจจะเหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ภาษาของฉันอาจจะวกไปวนมา แต่ฉันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะนี่แหละคือฉันอย่างแท้จริง)
ความรู้สึกบางอย่างบอกให้ฉันหยุดแล้วทบทวนสิ่งที่ฉันเขียน แต่ฉันบอกตัวเองทันทีว่าไม่ ฉันจะต้องเขียนต่อไปเรื่อยๆ เขียนไปเผื่อบางทีฉันอาจจะได้ความคิดดีๆที่สอดคล้องกับนิยายที่ฉันอยากจะเขียน หรือเผื่อบางทีฉันอาจจะมีความคิดอะไรดีๆบอกเล่าให้เธอได้อ่าน และสอนตัวของฉันเองได้
ก่อนอื่นต้องบอกว่าฉันไม่ใช่นักเขียนหรอกนะ และเดี๋ยวนี้ฉันก็ไม่ใช่นักอ่านด้วย ฉันเป็นพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยหนัก การทำงานของฉันวนเวียนอยู่กับผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางครั้งผู้ป่วยนั้นก็จะหายมีชีวิตกลับคืนสู่สุขภาพชีวิตที่ดี แต่บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยเหล่านั้นต้องจากไป
ฉันอยู่ตรงจุดนี้มาเนิ่นนาน จนฉันกล้าบอกตัวฉันเองได้ว่า อดทนเถิดนะ อย่าเหนื่อยหรือท้อกับงานที่แสนจะเหนื่อยล้าและหดหู่นั้น ผู้ป่วยสูงอายุบางคนก็เป็นช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา และเราอาจก็จะเป็นคน สุดท้ายที่ได้อยู่กับเขาบนโลกแห่งชีวิต บนโลกที่มีแต่ความแตกต่างนี้ เพราะว่าแม้แต่เวลาแห่งการสิ้นสุดชีวิต ผู้ป่วยหนักแต่ละคนยังจบชีวิตไม่เหมือนกัน
มีบางสิ่งกระซิบบอกฉัน ให้ฉันเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตตรงรอยต่อสิ อาจจะดีก็ได้นะ มีหลายสิ่งหลายอย่างวิ่งไปมาในความรู้สึกของฉัน มีตัวหนังสือมากมายวิ่งวนอยู่ในสมองและฉันก็ไม่อาจจับมาเรียงให้ได้ใจความอย่างที่ใจของฉันอย่างที่ฉันนึกได้ ฉันคงต้องนั่งนิ่งๆสักพัก.
...........................
22.23 น.
แผ่นดินตรงรอยต่อ..........
บนผืนแผ่นดินตรงจุดนี้ ยังเป็นผืนแผ่นดินแห่งการพลัดพราก เป็นทั้งการพลัดพรากจากคนที่รัก(เหมือนอย่างนิยายที่ฉันอยากจะเขียนครั้งแรก) แต่มันยังเป็นแผ่นดินที่พลัดพรากมากกว่านั้น เพราะมันเป็นผืนแผ่นดินที่เราจะต้องพลัดพรากไปหมด แม้กระทั่ง จิตวิญญาณ และร่างกายของตัวเราเอง
ภาพของเธอที่โบกมือลาฉันในนิยายเรื่องแรกที่ฉันเขียนชั่วโมงที่ผ่านไปนั้น เปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นภาพตัวของฉันเอง กับผู้ป่วยอีกคนหนึ่ง ฉันยืนมองดูร่างของเขาที่นอนสงบนิ่งอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ และเขายืนอยู่ใกล้ๆกับฉันที่กำลังอาบน้ำเช็ดตัวให้ .ก่อนที่จิตวิญญาณของเขาจะลอยเลื่อนหายไป
แผ่นดินตรงจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวสูงขึ้น แผ่นดินอีกจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา แผ่นดินตรงนี้ไม่ได้หยุดนิ่งหรือเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว เหมือนเช่นภูมิประเทศสุดแผ่นดินอีสาน แต่ผืนแผ่นดินตรงนี้มีการพลัดพรากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เตียงแล้วเตียงเล่า วันคืนผ่านพ้นไปทุกวันทุกคืน ฉันอยู่ตรงนี้มากี่ครั้งกันแล้วนะ บนผืนแผ่นดินตรงรอยต่อ บนผืนแผ่นดินของความพลัดพราก บนผืนแผ่นดินแห่งการร่ำลาที่เราแม้ยืนอยู่ใกล้ๆก็ไม่ได้ยิน
แผ่นดินตรงนี้ไม่ใช่แผ่นดินตรงรอยต่อของพื้นที่ราบกับพื้นที่สูงอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นแผ่นดินตรงรอยต่อระหว่างชีวิตกับชีวิต หรืออาจจะใช่...เป็นแผ่นดินตรงรอยต่อระหว่างร่างกายที่ไร้ชีวิตกับจิตของวิญญาณ.
22.43 น.
ความรู้สึกของฉันสะดุดลง จนฉันต้องนั่งนิ่งๆ แล้วทบทวนสิ่งที่ฉันได้เขียนลงไป ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่า แท้ที่จริงฉันไม่สามารถเขียนเรื่องราวที่รู้สึกได้ในหัวใจให้เป็นนิยายได้ ฉันควรจะจบความเรียงบทนี้เพียงเท่านี้ แต่มีบางสิ่งในหัวใจฉัน ถามตัวฉันเองว่า คำร่ำลาระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายของแต่ละผู้คนนั้น มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรหนอ แต่ละคนพร้อมที่จะพลัดพราก จากกันไหม หรือยังมีความห่วงใยผูกพันในร่างกายเดิมของตัวเองอยู่ หรือยิ่งกว่านั้น เขาอาจจะยังคงห่วงหาใคร แล้วเขาเอ่ยคำร่ำลากันได้อย่างไร เพราะแม้แต่ฉันที่อยู่ใกล้ๆยังมิเคยจะได้ยิน
อีก 2 นาทีก็จะห้าทุ่ม ฉันควรจะจบบทความบทนี้ ฉันอยากจะส่งให้เธอได้อ่าน เพราะเธอยังคงเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึงเสมอ ไม่ว่าเราจะแตกต่าง หรือจะยิ่งห่างจากกัน..ไกลออกไปทุกๆนาที
ลาก่อนนะ ฉันยังคงหวังอยู่เสมอว่า เธอจะยังคงเข้มแข็ง ดูแลตัวของเธอเองได้ และยังมีหัวใจที่ใฝ่ฝัน มีพลังที่จะแต่งเติมชีวิตของตนเองได้สมบูรณ์
ในช่องว่างของเวลาและความคิดคำนึงนั้น ฉันระลึกถึงเธอและอวยพรให้เธอเสมอ
จากฉัน อนาลัย(นามปากกาของฉันไง)
23.05 น. 23 ก.ค. 2548
24 กรกฎาคม 2548 20:46 น.
อนาลัย
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนโขดหินบริเวณสุดแผ่นดินอีสานนั้น มีแต่ความรู้สึกโดดเดี่ยว พื้นราบที่มองเห็นเบื้องล่างคือเขตพื้นที่ของเมืองแห่งความอุดมสมบูรณ์ เมืองแห่งความศิวิไลต์ทุกยุคทุกสมัย แต่พื้นราบสูงที่อยู่เบื้องหลังยิ่งไกลออกไปมากเท่าใดก็ยิ่งมีแต่ความสงบเงียบ ทุกข์ยากและทุกข์ท้นอย่างสมบูรณ์
................................................
เหมือนมีภาพของเธอโบกมืออำลา เหมือนมีภาพของแผ่นดินที่กำลังแบ่งแยก ผืนดินส่วนหนึ่งกำลัง ถูกยกให้สูงขึ้น ผืนดินอีกส่วนหนึ่งกำลังเคลื่อนสอดตัวเข้าไป ระหว่างผืนแผ่นดินทั้งสองนั้น ภาพของเราต่างเคลื่อนไหวห่างกันออกไป ฉันมองเห็นน้ำตาของฉัน ฉันมองเห็นภาพของเธอที่เริ่มพร่าเลือน ส่วนหนึ่งจากหยาดน้ำตาที่ไหลเรื่อย และส่วนหนึ่งจากแผ่นดินที่ยิ่งเคลื่อนสูงขึ้นไป จนฉันไม่สามารถมองเห็นเธอได้อีก และฉันไม่อาจรู้ได้อีกเลยว่าเธอมีความรู้สึกอย่างไร
ฉันมองเห็นได้เพียงความปรารถนาของฉัน
แต่ฉันไม่อาจมองเห็นได้ในความปรารถนาของเธอ
..
ฉันอยากจบนิยายของฉันตรงจุดนี้ จุดที่เราทั้งสองจากกันจนชั่วชีวิต แล้วมีโอกาสได้กลับมาพบกันอีกในภพใหม่ที่ภูมิลำเนาของเราทั้งสองมีความแตกต่างกัน เธอได้อยู่บนพื้นราบใกล้เมืองศิวิไลต์ และฉันยังคงอยู่บนผืนแผ่นดินที่ราบสูง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ฉันก็ยังได้มองเห็นเธอเสมอ เพียงแต่ว่าเรายังคงแตกต่างกันเหมือนเดิม ด้วยช่วงแห่งวันเวลาที่เราเคยได้พลัดพรากและจากกันนั้น สิ่งใหม่ๆได้ผ่านเข้ามา จนทำให้แรงปรารถนาของเราแตกต่างกันไป คงเหลือแต่คำอธิษฐานของคนที่เกิดอยู่บนพื้นราบสูงที่แสนทุกข์ท้นเท่านั้น ที่ยังหวังจะให้ได้พบและร่วมต่อสู้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม
และนี่คือบทสุดท้ายในนวนิยายของฉัน
.จนกระทั่งวันนี้ ที่ฉันได้กลับมายืนอยู่อีกครั้ง บนผืนแผ่นดินเดิม สุดเขตแผ่นดินที่ฉันเติบโตมา และได้มองเห็นว่า พื้นราบเบื้องล่างนั้น มีเธอเช่นกันเติบโตอยู่ และกำลังก้าวเดินห่างออกไป ไกลกันออกไปทุกที แม้ภาพอดีตที่จดจำไว้ก็ได้พร่าเลือนไปนักต่อนักแล้ว
ขอให้เธอโชคดี ต่อไปนี้ ฉันจะไม่อธิษฐานอะไรอีก บางที่ชาตินี้ที่เราได้พบกันเพราะวาสนาที่เคยได้พบกันแต่ปางก่อน แต่ชาติต่อไป ภพต่อไป เราควรจะจากกันจริงๆเสียที เพราะชาตินี้เราไม่ได้มีวาสนาที่จะได้อยู่เคียงข้างกันเลย เราไม่ได้มีวาสนาที่จะได้อยู่เคียงข้างกันอีกต่อไปแล้ว
ขอให้เธอโชคดี ทั้งชาตินี้ และชาติต่อไป ฉันไม่อาจอธิษฐานขอพบเธอได้อีก เพราะวันนี้ฉันรับรู้ได้เพียงความปรารถนาของฉัน และฉันไม่อาจรับรู้ได้ในความปรารถนาของเธอ"