11 กันยายน 2552 01:02 น.
อนันต์
ทิวทุ่ง ณ เบื้องหน้า ระดาดาด
สายลมพัด พาดผ่าน ลานสีเขียว
ล้อเล่นลม พรมหญ้า ได้คราเดียว
ลมก็เลี้ยว หลีกหลบ ไม่พบพาน
กลับแลเห็น ไอหมอก ระลอกใหญ่
ดุจม่านขาว แผ่ไกล อย่างไพศาล
ค่อยย่างกลาย คล้ายเชื่องช้า มากลืนลาน
เพียงไม่นาน ม่านก็ปิด มิดชิดตา
ขาวนวลเนียน เลียนเมฆ แลเฉกเช่น
ส่งรู้สึก ผ่านไอเย็น สัมผัสข้า
มวลม่านเคลื่อน เลือนไป ผ่านสายตา
ความรู้สึก มิได้พา ให้หายไป
เพ่งพินิจ พิศมอง ตรองตรึกคิด
หากชีวิต หมอกชิด ปกปิดไว้
ตาคงมอง ไม่เห็น แม้สิ่งใด
แล้วจิตไซร้ ฤาเห็น เช่นดวงตา
ภาพทิวทุ่ง เคยงาม อย่างจับจิต
ลมพัดผ่าน ให้เพลินพิศ อยู่เบื้องหน้า
เมื่อหมอกกลาย ย้ายเคลื่อน เลือนสายตา
ภาพทุ่งหญ้า ก็เลือน หายลับไป
ใจคนหม่น เหมือนหมอก เข้าครองจิต
จึงมิอาจ พินิศ ด้วยโปร่งใส
หมอกบดบัง ธรรมะ เลือนหายไป
จิตและใจ ฤาสงบ เมื่อจบความ
6 กันยายน 2552 19:19 น.
อนันต์
เพียงมองมวลม่านฝ้า หมอกจาง
เลือนพร่าปานตาฟาง เพ่งจ้อง
ใจคนหม่นหมอกบาง กลายเคลื่อน บดบัง
จิคจึ่งหาธรรมพ้อง ไป่ได้ตามธรรม