24 พฤศจิกายน 2554 17:11 น.
อนงค์นาง
ดิฉันได้อ่านข่าวจากการสัมภาษณ์นางงามระดับจักรวาลคนหนึ่ง ที่พูดถึงปัญหาการหย่าร้างกับชายไทยที่มีชื่อเสียง ว่าเป็นเพราะเคมีไม่ตรงกัน เลยเข้าไปค้นหาคำนี้เพื่อประดับความรู้ ได้จากบทความนี้ค่ะ
ในความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์นั้น คำว่า "เคมีตรงกัน" ไม่ใช่แค่คำพูดสุดกวนในความคิดของพ่อแม่ เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาชื่อดัง ยืนยันแล้วว่ามันมีจริงๆ !
" ถ้าเด็กๆ รู้จักใช้คำนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีนะครับ นั่นคือ เขามีความรู้ระดับหนึ่งละ เพราะความรักมันก็เป็นเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองเหมือนกัน มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อยที่ระบุว่า ความรู้สึกรักนั้นเชื่อมโยงกับสารเคมีในสมอง 7-8 ตัว"
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็ก และวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต อธิบายต่อไปอีกว่า ระดับความสัมพันธ์ของความรัก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ซึ่งล้วนแล้วเกี่ยวกับเคมีในร่างกายทั้งสิ้น โดยในระดับแรกคือระดับ "ดึงดูด"
"คำว่าเคมีตรงกันมันอาจจะเป็นคำ อธิบายที่ดี ของความรู้สึกที่เราไปปิ๊งคนๆ หนึ่ง แต่เพื่อนที่มากับเรารู้สึกเฉยๆ หรือว่าทำไมผู้ชายคนหนึ่งเห็นผู้หญิงคนนี้แล้วถูกใจ รู้สึกชอบ แต่ผู้ชายอีกคนเมื่อมองผ้หญิงคนนี้ กลับไม่รู้สึกอะไร มีการวิจัยในสัตว์ว่า สัตว์มีฟีโรโมนที่ดึงดูดสัตว์เพศตรงข้ามให้สนใจได้ มนุษย์เองก็มี ซึ่งเมื่อเราพบคนที่เรารู้สึกดึงดูดแล้ว ร่างกายจะบอกเราทันที เพราะจะมีการหลั่งเคมีที่ชื่อว่าฮอร์โมน Dopamine และ Norepinephrine ซึ่งจะส่งผลต่อประสาทอัตโนมัติกระตุ้นให้ใจเต้นเร็ว"
ใน สเต็ปต่อมา หลังจากผ่านภาวะการดึงดูดซึ่งกันและกันแล้ว หากความสัมพันธ์พัฒนาต่อมาเป็น "ผูกพัน" โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาวัยรุ่นรายนี้ กล่าวว่า เมื่อหญิงชายที่รู้สึกดึงดูดกันและกัน ตกลงคบหาเรียนรู้ ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ก็จะเกิดความรู้สึกผูกพัน โดยในระดับนี้ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า Oxytonin และ Vasopressin ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของคู่รัก ทำให้อยากทนุถนอมอีกฝ่าย
"ระดับสุดท้าย คือ ระดับที่คู่รักเกิดความรู้สึกทางเพศ ซึ่งเกิดจาก Testosterone ในผู้ชาย และ Estrogen ในผู้หญิง อันนี้ที่น่าเป็นห่วง เพราะทุกวันนี้การสื่อสารเร็วกว่าเดิมมาก ความสัมพันธ์ระดับนี้อาจจะเกิดเร็วซึ่งน่ากังวล โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในเยาวชน โบราณเรามักจะสอนลูกหลานให้ดูกันนานๆ หมั้นไว้ก่อน 2-3 ปี หรืออย่าชิงสุกก่อนห่าม อันนี้น่าสนใจ เพราะฮอร์โมน Vasopressin ที่เกิดในระดับความสัมพันธ์ที่ 2 นั้นเป็นฮอร์โมนที่มีเทอมของมัน ในระดับคู่รักมันจะหลั่งอยู่ประมาณ 2 ปี แล้วก็จะหายไป แล้วจะกลับมาอีกทีในช่วงที่แม่ให้นมลูก อันนั้นจะเป็นการหลั่งแบบระยะยาว"
นพ.ทวีศิลป์กล่าวการสอนให้รักนวล สงวนตัวของผู้ใหญ่ สอดคล้องกันกับเรื่องเคมีในร่างกายอย่างน่าสนใจ เพราะหากทำตามที่ผู้ใหญ่สอนแล้ว บางครั้งวัยรุ่นอาจจะพบว่า คนที่คบอยู่อาจจะเกิดภาวะ "เคมีไม่ตรงกัน" หลังจากดูใจผ่านไปแล้ว 2-3 ปี เพราะเคมีดังกล่าวเกิดไม่หลั่งขึ้นมา ถึงตอนนั้นถ้ายังทำอะไรที่อยู่ในกรอบที่ดีงามแบบไทยๆ การเลิกรากันอาจจะไม่เสียใจและเสียดายมากนัก เพราะไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ดังนั้นช่วงระยะที่ดีที่สุด ที่อยากฝากถึงวัยรุ่นและทุกๆ วัยที่มีความรัก ที่ควรยืดระยะเวลาให้อยู่ในช่วงนั้นได้นานๆ คือ ช่วงที่ 2 ที่เป็นช่วงของความผูกพันและการทนุถนอมซึ่งกันและกัน
"ไม่อยากให้วลี นี้ เป็นคำโก้ๆ อยากให้เด็กๆ พูดแบบเข้าใจและรู้เท่าทัน เพราะถ้าไม่รู้เท่าทัน เคมีตรงกันอาจจะกลายเป็นเคมีอันตรายก็ได้ ที่เรามีอารมณ์ความรู้สึกระหว่างมีความรัก มันเป็นเรื่องของเคมีในร่างกาย เป็นเรื่องของฮอร์โมน ซึ่งหากวัยรุ่นเรียนรู้ เข้าใจ และรู้เท่าทันแล้ว ก็จะเกิดความระมัดระวัง และวางแผนการปฏิบัติตัวในความสัมพันธ์ได้"
ดิฉันคิดว่าปัญหาการหย่าร้างนั้นมีมากมายหลายสาเหตุ แต่ละคนก็แตกต่างกัน ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์มากกว่า ก็ต่างคนต่างไป แต่ถ้ามีลูกด้วยกันแล้ว จะมีปัญหามากกว่ายังไม่มีลูก เพราะจะต้องมีผลกระทบต่อจิตใจของลูกโดยตรงแน่นอน
ชีวิตก็เป็นแบบนี้ แต่ทุกปัญหาย่ิอมมีทางแก้เสมอ ถ้าใช้สติและเหตุผล มากกว่าใช้อารมณ์ หย่าแล้วไปพบคนใหม่ แต่งงานใหม่ ถ้าไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกันก็อาจได้หย่ากันอีก มีเพื่อนต่างชาติหลายคู่ที่เป็นแบบนี้ บางคนกว่าจะได้พบคนที่ถูกใจจริงๆก็ชราภาพประมาณใกล้แย้มฝาโลงแล้ว ไม่แน่ใจว่าเพราะเคมีตรงกันหรือเปล่า
คนเรามีความอดทนในการใช้ชีวิตร่วมกันน้อยลง ไม่เหมือนคนรุ่นก่ิิอนๆ ทำอย่างไรจะให้มีชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกันจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง แบบถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เป็นเรื่องที่น่าศึกษา เพราะจิตใจและอารมณ์ของคนนั้นไม่แน่นอน แปรปรวนได้เสมอ
เรื่องของความรัก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต่างคนต่างใจ อธิบายได้ยากค่ะ แต่ตัวเองคงไม่อยากหย่าอีก เพราะการแต่งงานใหม่ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราพยายามปรับตัวและใจให้เข้าหากัน อภัยให้กันบ้าง ไม่ต้องชนะไปเสียหมด ใช้ศีลห้าในการอยู่ร่วมกัน ก็น่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง หมายถึงในชีวิตจริงนะคะ ไม่ใช่ในโลกฝัน ที่ิฝันว่ามีบางใครที่เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว สง่างามราวเทพบุตร ดีพร้อมทุกประการ บางครั้งตัวเองก็ฝันค่ะ แต่ความจริงแล้วคนที่เราอยู่ด้วยกันทุกวันนี้นั้น เป็นคนที่เราควรยอมรับและปรับตัวให้เข้ากันให้ดีที่สุด ดีกว่าจะรอคนใหม่ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรอีก อาจแย่กว่าคนเก่าก็เป็นไปได้
20 ตุลาคม 2554 11:05 น.
อนงค์นาง
ฉันเป็นสาวอิสานที่มีเพื่อนสนิทเป็นสาวปักษ์ใต้อยู่สามคนค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเข้ากันได้ดีกับสาวใต้ ทั้งที่อยู่กันคนละภาค
เพื่อนคนแรกที่เคยทำงานบริษัทเดียวกันที่นิวยอร์คเมื่ิอยี่สิบปีที่แล้ว เป็นสาวสุราษฎร์ ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อคุยกันทางโทรศัพท์อยู่เลยค่ะ อายุอ่อนกว่าฉันหนึ่งปี รักกันมาก
คนที่สองเป็นรุ่นพี่ฉันห้าปี คนนี้รู้จักกันมานานแปดปีแล้วค่ะ อยู่ที่นิวยอร์คเหมือนกัน มีอะไรที่คล้ายกันหลายอย่าง เคยเป็นครูเหมือนกัน มีลูกสองคน ลูกสาวก็รุ่นเดียวกัน เวลามีงานวัดจะนัดไปเจอกันเป็นประจำ เป็นคนอำเภอเฉลิมพระเกียรติ นครศรีธรรมราช
คนที่สามเป็นสาวหาดใหญ่ สงขลา เป็นครูสอนตัดเสื้อผ้าของฉันที่วัดไทย ใจดีมาก ขนาดว่าฉันขาดเรียนเป็นเดือน ครูยังตามให้กลับมาเรียนให้จบหลักสูตร ก่อนที่ครูจะกลับเมืองไทยต้นปีหน้า ครูเป็นอาจารย์สอนที่ม.ทักษิณ มาเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ครูต้องกลับไปเรียนต่อที่มหิดลให้จบ
ปริญญาเอกด้วยค่ะ คนอะไรเก่งจริงๆ ครูเรียนตัดเสื้อมาจากระพี มาที่นี่ยังมาเรียนเพิ่มเติมที่ Fashion Institute of New York
ตอนนี้เหลือฉันเพียงคนเดียวที่ครูเคี่ยวเข็ญให้จบหลักสูตร เสาร์ที่แล้วครูสอนวิธีรีดผ้าไหมให้ติดกับผ้าซับในกาว และวิธีสร้างแบบเสื้อชุดไทยเรือนต้นค่ะ ลายมือครูสวย ครูอายุมากกว่าฉันหนึ่งปี
ฉันโชคดีมีเพื่อนที่ดีและน่ารักเป็นสาวปักษ์ใต้ ไม่เข้าใจว่าทำไมสาวอีสานกับสาวใต้ถึงได้ถูกชะตากันขนาดนี้ คงเป็นพรหมลิขิตกระมังคะ
17 ตุลาคม 2554 04:30 น.
อนงค์นาง
คนไทยในต่างแดนอย่างได้รับคำแนะนำจากทางราชการว่า อย่าหลงเชื่อโอนเงินบริจาคช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมให้บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ให้บริจาคผ่านหน่วยงานของทางราชการที่สามารถตรวจสอบได้ คนที่เป็นข้าราชการก็ไม่มีสิทธิที่จะขอบริจาคเพื่อพรรคพวก เพื่อนพ้องของตน ไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆทั้งสิ้น
ดิฉันไม่มีสี ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และเคยเป็นข้าราชการใต้่ร่มพระบาทของพระมหากษัตริย์ไทย มีความรักชาติ หวงแหนแผ่นดินเหมือนคนไทยทุกคน ในยามยาก เราช่วยกัน ไม่ควรที่จะแบ่งแยกว่าใครดีกว่าใคร ไม่ว่าจะทหาร ตำรวจ รัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือประชาชน ดิฉันยอมรับกติกาของระบอบประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้รัฐบาลได้ทำงานอย่างเต็มที่ เห็นภาพการร่วมมือของนายกหญิง และผู้นำฝ่ายค้าน แล้วรู้สึกปลื้มใจ ในยามคับขันเช่นนี้ อย่ามามัวแต่ตำหนิกันอยู่เลยค่ะ คนที่ไม่ได้ออกแรงช่วยโดยตรงที่เมืองไทยอย่างพวกดิฉัน แต่เราก็ทำงานจากหยาดเหงื่อแรงงาน แม้จะบริจาคเล็กน้อย แต่นั่นคือน้ำใจของคนไทย
ตอนนี้มีความช่วยเหลือจากต่างชาติมาแล้ว คือจีน และอเมริกา
ดิฉันก็เป็นลูกหลานชาวนาที่ยังรักษาผืนดินของบรรพบรุษไว้ให้มีอาชีพสืบสานต่อไป ไม่ได้ทำเองโดยตรงแต่ก็ลงทุนให้ชาวนาที่มีความสามารถได้ทำกินในผืนดินของเรา ได้มีข้าวไทยส่งออกขายในต่างประเทศ มีรายได้เข้าประเทศ
หมดสมัยที่จะต่อต้านรัฐบาลไม่ว่าจะพรรคใดได้เป็น ต้องยอมรับเสียงส่วนมากของประชาชน เพราะมี กกต ตรวจสอบการลงคะแนนเสียง มีใบเหลือง ใบแดง มีการเว้นวรรคทางการเมือง
ส.ส ทุกคนที่ได้รับการเลือกตั้งคือตัวแทนของประชาชน ทุกวันนี้เห็นการร่วมมือกันทั้งฝ่ายรัฐบาลและทหารแล้วดีใจค่ะ มีประโยชน์อันใดที่จะมาตั้งแง่ว่าใครดีกว่า ใครคอยรับผลประโยชน์ เพราะงบประมาณแผ่นดินนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเก็บภาษีจากราษฎร จาก พ่อค้า นักธุรกิจ จากข้าราชการทุกฝ่ายร่วมกัน
ข้าราชการที่นี่ ห้ามมิให้มีการเรี่ยไรเงินค่ะ ถ้าเป็นสิ่งของ อาหารกระป๋อง เสื้อผ้า จะมีกล่ิองรับบริจาควางตามสาขาต่างๆ และรวมจัดส่งให้สำนักงานใหญ่ ดิฉันเองกลับบ้านปีที่แล้วก็มีการขออนุญาตจากหน่วยงานขอรับบริจาคผ้าพันคอทั้งเก่าและใหม่จากโบสถ์แห่งหนึ่ง ตอนกลับเยี่ยมบ้าน ไม่มีการขายของเพื่อเอาเงิน และไม่มีการเรี่ยไรเงิน ทุกอย่างโปร่งใส มีภาพถ่ายการมอบผ้าพันคอให้นักเรียนผ่านผู้บริหารและครู และได้รายงานให้ผู้ที่บริจาคที่นี่รับรู้ เป็นแค่เพียงผ้าพันคอไม่กี่ผืน แต่นั่นคือน้ำใจ
28 กันยายน 2554 19:09 น.
อนงค์นาง
ชอบคนขยันค่ะ ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ไปทำงาน ถ้ายังไม่ถึงวัยเกษียณ อย่าหยุดเลยค่ะ เงินที่คุณหาได้นี้ นอกจากทำประโยชน์ให้ตัวเองและครอบครัวแล้ว ยังช่วยคนที่เดือดร้อนตกทุกข์ได้ยากได้ด้วย
ค่าของเงินอยู่ที่ผลของงาน ไม่ใช่ปริมาณ เงินล้านจากต่างแดน ก็มีค่าเท่าเงินหมื่นของไทย เพราะเศรษฐกิจและค่าเงินต่างกัน
สี่หมื่นเท่ากับหนึ่งล้าน ตัวเองก็ยังไม่เคยรวยเพราะเงินล้านเลยค่ะ เป็นเพียงกระดาษที่สมมุติขึ้นมาใช้ในแต่ละสังคม
สัจธรรมที่ได้จากชีวิต ไม่ใช่เงินล้านที่หาได้ แต่ภูมิใจว่าตนเอง อดทน ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ดินฟ้า อากาศ ล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ ไม่รอให้ใครมาช่วย โดยที่ไม่ออกแรงจากหยาดเหงื่อของตัวเอง ซื่อสัตย์สัตย์ สุจริต ในหน้าที่ จะเป็นลูกจ้างก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ได้เป็นนายจ้างก็เคารพผู้อื่น ไม่ดูหมิ่นใคร ทุกคนเหมือนน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ไม่มีลูกจ้างที่ดี นายจ้างก็ไปไม่รอด นายจ้างไม่ดี ทำธุรกิจเอาเปรียบผู้บริโภค ค้ากำไรเกินควร หลีกเลี่ยงภาษี สักวันก็เจ้งค่ะ
ทุกอาชีพต้องทำดี มีศีลธรรม เป็นกฏแห่งกรรมที่เป็นจริงเสมอ ทำงานเอกชน หรือราชการ ก็ก้าวหน้าได้ถ้าขยัน ค้าขายก็๋ดีถ้าขยัน การทำงานกับคนอื่น กับองค์กร สอนให้เราอดทน ปรับตัวให้เข้ากับเขาได้ ทำงานเป็นทีม มีระเบียบบังคับ เงินเดือนมากน้อยก็ไต่เต้าไปตามความสามารถและความขยัน จะค้าขายส่วนตัว ก็ดีถ้าขยัน ไม่ค้ากำไรเกินควร ไม่หลอกคนซื้อ สักวันกิจการก็ขยายใหญ่โต
ชอบคนขยัน อดทนค่ะ ถ้าใช้สมองแบบรวยทางลัด จะอยู่ได้ไม่นาน ผลกรรมจะตามทัน ไปช้าๆได้พร้าเล่มงาม เหมือนน้ำซึมบ่อทราย
28 กันยายน 2554 17:19 น.
อนงค์นาง
เบื่อผู้ชายขี้บ่น ปากจัด ดีแต่ว่าแต่ตำหนิผู้อื่นได้ตลอด ไม่แปลกใจว่าทำไมผู้หญิงเป็นโสดมากขึ้น ถ้าแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่าคะ ขี้เกียจอ่านกลอนที่ไม่สร้างสรรค์ มีแต่ติเตียน เบื่อๆๆๆๆๆ