เมื่อวานเย็น มีโอกาสได้ทักทายเพื่อนร่วมโลกตัวหนึ่ง กิ้งก่า...หนึ่งในสัตว์เลื้อยคลานที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักและคุ้นเคยกันดี โดยสะดุดตากับสีสันจัดจ้านบริเวณแผงคอและส่วนหัวที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้ให้ ................................. คนเรา.....เพียรใช้สติปัญญาที่มี เพื่อแต่งแต้มสีสันให้ตนเองเช่นกัน หากแต่สีที่แต้มเติมบนใบหน้า เป็นเพียงสิ่งที่พอกไว้แต่ภายนอกเท่านั้น หาใช่เนื้อแท้แห่งตัวตนไม่ และไม่ว่าความรู้จะก้าวไปไกลเพียงใด เครื่องสำอางก็คงเป็นได้แค่...เครื่องสำอาง อันมิอาจเทียบเทียมค่ากับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ ก็คือ ความงดงามของจิตใจผู้คนต่างหากที่สำคัญกว่าและจีรังยั่งยืนกว่า อีกทั้งยังสามารถแผ่รังสีความชื่นชมยินดีแก่ผู้คนรอบข้าง ตลอดจนส่งต่อชีวิตไปสู่ภพภูมิที่ดีในเบื้องปลาย ......................... สีสันธรรมชาติที่ไม่เสแสร้งบนตัวกิ้งก่าตัวนี้ น่าจะให้แง่คิดดี ๆ แก่ผู้คนได้ ขอเพียงเปิดใจและรู้เลือกมุมอันควรมอง " เรามาเติมสีสันที่ไม่เสแสร้งให้กับตัวเองกันนะครับ "
เมื่อวานนี้ กับ ดอกบัวหน้าบ้าน (มีดอกเดียว) บังเอิญเห็นแมลงภู่ตัวหนึ่งบินวนเวียน หมายดมดอมเกสรบัวที่่หอมหวาน จึงได้หยิบกล้องคู่ใจ เพื่อบันทึกภาพ ระหว่างแมลงตัวน้อยกับบัวดอกงาม เป็นภาพธรรมชาติสุด ๆ ที่มีมาให้ชื่นชมถึงหน้าประตูบ้าน แต่เนื่องจากเจ้าแมลงน้อยไม่หยุดนิ่ง มันยังบินวนเวียนตามอำเภอใจ แบบไม่เกรงใจคนรอ กว่าจะได้ภาพแต่ละครั้ง จึงต้องใช้ความเพียรเอาการ ถ่ายได้สักสามสี่เฟรม ดูเหมือนเจ้าแมลงภู่น้อยจะรู้ว่าถูกแอบถ่าย มันละจากดอกบัว แล้วบินโฉบเข้ามาที่กล้อง เหมือนจะเตือนว่า " อย่ามาถ่ายฉันนะ " อะไรทำนองนั้น ก่อนจะบินจากไป ........................ เชื่อไหมล่ะครับว่าแมลงภู่ตัวนี้ ไม่ชอบการถูกแอบถ่าย ผมไม่อยากจะเชื่อ ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์สื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น แอบคิดเล่น ๆ ว่า " แม้แต่แมลงก็ยังมีโลกส่วนตัว " แล้วคนเราเล่า....มิยิ่งกว่าหรือ ?
ยายหลานคู่หนึ่ง ขณะเดินกลับจากตลาด ยายก้มเก็บเหรียญบาทเหรียญหนึ่งจากพื้นถนน หลานชายตัวน้อยถามยายว่า " ยายเก็บทำไม บาทเดียว ซึ้ออะไรก็ไม่ได้ " ยายจึงจูงมือหลานชายให้หยุดเดิน ก่อนแอบข้างทางและพูดกับหลานเบา ๆ ว่า " ใช่แล้วหลาน เงินบาทเดียวซื้ออะไรไม่ได้ สมัยนี้ เหตุที่ยายเก็บเหรียญบาทนี้ ไม่ใช่เพราะอยากได้หรอกนะ หลานดูนี่สิ รูปใครรู้ไหม ? รูปพระเจ้าแผ่นดินเชียวนะ ยายไม่อยากให้เหรียญบาท ที่มีรูปในหลวงถูกเหยียบย่ำ หรือ ถูกมองเป็นเพียงเศษเงิน ที่ไม่มีใครสนใจ เดี๋ยวกลับถึงบ้าน ยายจะเอาเหรียญนี้ไปไว้บนหิ้งพระ...." " เข้าใจแล้วครับ ยาย " หลานชายตัวน้อยเอ่ยโต้ตอบ ก่อนจะออกก้าวเดินอีกครั้ง พร้อมกับพึมพำในลำคอเบา ๆ ว่า " รูปของพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ๆ ๆ ......"
ความวิตกกังวลหรือความตื่นเต้นกับเหตุการณ์เบื้องหน้า
นับเป็นธรรมดาสาระในชีวิตคนเราประการหนึ่ง
บางผู้คนที่สงบสุขุมเยือกเย็น ย่อมสามารถควบคุมกิริยาอาการขอบตนได้ดี
ในขณะที่อีกหลายคนตีโพยตีพาย กินไม่ได้ นอนไม่ได้ ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด
เต่ในเมื่อเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ที่สุดวันแห่งความวิตกกังวลหรือตื่นเต้นดีใจก็มาถึง
ผลลัพธ์ที่เกิดต่อจากนั้น...ย่อมแตกต่างกันในแต่ละคน แต่ละเหตุการณ์
มีเพียงบทสรุปประการเดียวที่เหมือนกัน นั่นก็คือ
“ ในที่สุด ทุกอย่างก็ผ่านไป “
ซึ่งอาจจะยังคงทิ้งร่องรอยหรือทิ้งภาระงานไว้ให้ขบคิดแก้ไขพัฒนา
หรืออาจจะไม่มีอะไรติดค้างเลยก็เป็นได้
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวล
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความตื่นเต้นดีใจ
ที่สุดแล้ว “ ทุกอย่างก็ย่อมผ่านเลยไป “ เป็นธรรมดาสามัญยิ่งแล้ว
ครั้งหนึ่งในการสนทนาของคนสองคน ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจกัน คนแรก จึงบอกให้คนที่สองไปหาแว่นมาสวมใส่ก่อน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ คนที่สองถามว่า แว่นตาเกี่ยวกับการคุยอย่างไร ? ไม่เข้าใจ คนแรกตอบว่า แว่นตามีไว้เพื่ออะไร ? คนที่สองตอบว่า แว่นตามีไว้เพื่อให้การมองชัดเจน คนแรกถามต่อว่า แล้วแว่นตาเกี่ยวกับอะไร ? คนที่สองตอบว่า แว่นตาก็เกี่ยวกับสายตา เกี่ยวกับเลนส์สิ คนแรกตอบว่า " ไม่ใช่ " คนที่สองจึงถามกลับว่า..ถ้าไม่ใช่ แล้วแว่นตาจะเกี่ยวกับอะไร ? คนแรกตอบว่า แว่นตาก็เกี่ยวกับหูสิ (คนที่สอง ?????????? ) คนแรกจึงอธิบายต่อว่า แว่นตาทำให้การมองชัดเจนใช่ไหม ? และ (ขา) แว่นตาก็เกี่ยวกับหู หรือ เกี่ยวที่หูใช่ไหม ? เพราะฉะนั้น ถ้าใส่แว่นแล้วคุยกัน ก็น่าจะเข้าใจอะไรชัดเจนขึ้น อานิสงส์ความชัดเจนที่สายตา อาจส่งผลดีมาถึงหู ให้การฟังเกิดความชัดเจนมากขึ้น...เข้าใจหรือยัง ? คนที่สอง ?????????? (จากนั้นก็หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล)