10 กุมภาพันธ์ 2554 01:56 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
อดีตกาล.... นานมาแล้ว....
ตั้งแต่ก่อนที่หนูหิ่ง ฯ จะลืมตาขึ้นมาดูโลกกลม ๆ ใบนี้
ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ ได้ย้ายมาจาก บ้านถ้ำ จ.เชียงราย มาอยู่ หมู่บ้านแม่โถ ต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่
สมัยนั้นต้องเดินทางจากถนนหลวงไปอีก 17 กม. จึงจะถึงหมู่บ้านแม่โถ ต้องใช้แรงงานคน - ม้าและวัวในการบรรทุกสิ่งของ
แต่ละหมู่บ้านก็จะอยู่ห่างกันมากกว่า 3 กม.ขึ้นไป บ้านแต่ละหลังก็จะอยู่ห่าง ๆ กัน แต่มีอะไรก็จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ มาปักหลักอยู่โดยยึดอาชีพทำขนมจีนขาย เริ่มต้นจากข้าวสาร นำไปแช่น้ำ นำไปบด ทำเป็นเส้นขนมจีนแล้วก็ต้องทำน้ำขนมจีน
เสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อ - พี่ชาย - พี่สาว ก็จะหาบไปขายตามไร่ตามสวนตามหมู่บ้านต่าง ๆ ขายแลกเงินบ้าง แลกของบ้าง ฝิ่นบ้าง ฯลฯ
ขากลับก็ต้องหาของป่าติดไม้ติดมือกลับบ้าน อาทิ ต้นไผ่, ดอกไม้กวาด, หญ้าคา รวมถึงผักผลไม้ที่หาได้จากป่า
ทุกคนต้องทำงานหนัก เพื่อจะได้มีข้าวกินอิ่มท้องทุกมื้อ ถึงกระนั้นบางวันก็ไม่มีข้าวกิน....
ต่อมามีคนมาติดต่อให้แม่ไปขายของให้กับคนงานกรมป่าไม้ที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ไกลจากบ้านแม่โถประมาณ 20 กม. อยู่ในเขต จ.แม่ฮ่องสอน
แม่ก็พาพี่สาวไปด้วย 1 คน พี่ชาย 1 คน จากนั้นครอบครัวหนูหิ่ง ฯ ก็ต้องแยกกันอยู่ 2 หมู่บ้าน ไปมาหาสู่กันก็ลำบากเพราะต้องเดิน
ทางเดินก็ต้องขึ้นเขาลงห้วยผ่านป่า ในป่าก็มีทาก (บรือส์.... หยะแหยง) มีบางช่วงต้องข้ามแม่น้ำ ในแม่น้ำก็มีปลิง (บรือส์.... หยองขวัญ)
หลายครั้งก็เผชิญหน้ากับสัตว์ป่านานาชนิด เราวิ่งหนีเขาบ้าง เขาวิ่งหนีเราบ้าง บางทีก็ต่างคนต่างวิ่ง ^___^
ก่อนที่หนูหิ่ง ฯ จะลืมตาขึ้นมาดูโลกกลม ๆ ใบนี้ มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย....
จนกระทั่งหนูหิ่ง ฯ ได้ลืมตาแล้วก็เติบโตท่ามกลางความรักของพ่อ - แม่ และพี่ ๆ ครอบครัวของเราก็อยู่ดีกินดีกว่าแต่ก่อนมาก ๆ
แต่กระนั้นก็ยังอยู่บ้านมุงด้วยหญ้าคา ผนังทำด้วยไผ่ (ไม้ฟาก) เวลาลมพัดมาก็ทะลุเข้าไปในบ้าน บางทีก็พาลมหนาวเข้าบ้าน
บางทีก็พาฝนเข้าบ้าน หลายครั้งฝนเข้าทั้งทางหลังคา และทางผนัง มีอยู่ครั้งหนึ่งพายุได้พัดหลังคาบ้านปลิวไปตกที่สวนผู้ใหญ่บ้าน
ครอบครัวหนูหิ่ง ฯ ต้องไปอาศัยเพื่อนบ้านอยู่ชั่วคราวหลายวัน จนกระทั่งเก็บหลังคากลับมาใส่ไว้เหมือนเดิม....
ไม่มีเงินสร้างบ้านใหม่ ก็ต้องทนอยู่ไป ครอบครัวอื่นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่เขาก็อยู่กันได้ เราก็อยู่ได้เหมือน ๆ กัน
มีหลายครั้งที่หนูหิ่ง ฯ ไปหาแม่กับพี่ ๆ ที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง แม่ต้องจ้างคนแบกไป จำได้ว่าคนแบกเหม็นมาก - มากที่สุด
หนูหิ่ง ฯ ร้องให้ ไม่ยอมให้เขาแบก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอม เพราะเดินไม่ไหว โดยเฉพาะหนูหิ่ง ฯ กลัวทาก และปลิงเป็นที่สุด *___~
ตอนเดินทางเราก็ต้องห่อข้าวไปกินระหว่างทางด้วย เพราะออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะไปถึงก็เย็น หรือมืดค่ำแล้ว
ก็จะมีข้าวสวยห่อใบสัก น้ำพริกถั่วเน่า น้ำพริกข่า ไข่ต้ม บางทีก็มีไก่ต้ม หรือหมูทอดด้วย หิวตรงไหนก็นั่งกินตรงนั้น หาผักแถว ๆ นั้นกินกับน้ำพริก
จำได้ว่าอร่อยมาก ๆ กินซะจุกเลย อาจจะเป็นเพราะหิวแล้วก็เหนื่อยมั้ง กินอะไรก็อร่อยไปหมด.... ก็เลยทำให้หนูหิ่ง ฯ เป็นเด็กกินง่าย ^___^
ตอนเด็ก ๆ หนูหิ่ง ฯ จะชอบฤดูฝนมาก ๆ เพราะฤดูฝนเป็นฤดูที่ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยต้องอดเลย
ต้นฤดูฝน ก็จะมีแมงเม่า, แมงมัน, จิ้งหรีด, กบ, เขียด, อึ่งอ่าง, แมงจร, หอย, หน่อไม้, สารพัดเห็ด, ผักกูดและอีกสารพัดผัก เป็นอาหาร
หนูหิ่ง ฯ กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านก็จะมีหน้าที่ไปขุดหน่อไม้, ขุดจิ้งหรีด, เก็บเห็ด, งมหอย และเก็บผัก เป็นที่สนุกสนานเบิกบานสำราญใจ
กลับมาก็มีหน้าที่แกะหน่อล้างแล้วสับ แม่ก็จะทำหน่อไม้ดอง เห็ดก็ล้างแล้วก็ทำเห็ดส้ม หรือทอด เพื่อที่จะเก็บไว้กินได้นาน ๆ
เพราะฉะนั้นฤดูฝน จึงเป็นฤดูที่มีความสุขมากที่สุดในขณะนั้น ได้เล่นน้ำฝน ได้กินน้ำแข็งที่หล่นมาจากฟ้า (ลูกเห็บ) ^___^
ส่วนพวกผู้ชายก็จะไปจับกบ, เขียด, อึ่งอ่างในตอนกลางคืน ฤดูนี้อาหารเพียบ ต้องทำตากแห้งเก็บไว้กินนาน ๆ
ส่วนฤดูหนาวจะหนาวสุด ๆ หนาวเข้าไปที่กระดูก ต้องออกมาก่อไฟผิงกันนอกบ้าน แต่ก็ดีนะ ได้พูดคุยกันกับเพื่อนบ้านที่ช่วยกันหาฟืนมาก่อไฟ
แล้วก็ได้กินข้าวหลามกับเผือกเผามันเผาแล้วก็มีข้าวปุก (ข้าวเหนียวนึ่งสุกแล้วตำให้ละเอียดกินกับงาดำตำละเอียดใส่เกลือนิดหน่อยแล้วก็ใส่น้ำอ้อย)
บางทีก็นำข้าวปุกไปตากแห้งเก็บไว้กินนาน ๆ วิธีกินก็นำไปปิ้งเพื่อให้ข้าวเหนียวนิ่มแล้วก็ร้อน บางทีก็นำไปทอด กินกับงาดำตำ, น้ำตาลทราย หรือนมข้นก็อร่อย
เด็ก ๆ ก็จะมีหน้าที่อีกแล้ว ต้องไปเก็บผักหวาน, ดอกเสี้ยว, ดอกแก, จับจั๊กจั่น, ขุดจิ้งหรีด สนุกสนานเหมือนกัน แต่ฤดูฝนสนุกกว่า
เด็กผู้ชายก็จะมีของกว่างเป็นของเล่น ฤดูนี้จะได้กินเกาเลียง (เป็นต้นเล็ก ๆ สีเขียวคล้ายต้นไผ่ มีรสหวานเหมือนอ้อย กรอบอร่อยมาก) ได้กินข้าวใหม่หอม ๆ ^___^
ฤดูร้อน ก็จะเป็นช่วงพักผ่อน แล้วก็เตรียมไร่เตรียมสวนสำหรับเพาะปลูก สมัยนั้นจะถางหญ้าแล้วก็เผา แล้วก็ขุดกลับหน้าดินเพื่อตากแดด
พวกผู้ใหญ่ก็จะไปไล่เหล่า (ไปยิงสัตว์ป่าเป็นกลุ่ม ไล่ต้อนแล้วก็ยิงด้วยปืนแก๊บที่ทำเอง) หลายครั้งก็ดักได้นกสวย ๆ มาฝากเด็ก ๆ
บางครั้งก็จับกระต่ายกับเต่าเป็น ๆ มาให้เด็ก ๆ เลี้ยงเป็นเพื่อนเล่น หนูหิ่ง ฯ เปล่ารังแกสัตว์นะคะ ^___^
เด็ก ๆ ก็มีหน้าที่เหมือนกันค่ะ ไปหาผลไม้ป่าเช่น ลูกหว้า, มะม่วงป่า, หมากเม่า (เป็นพวงมีเม็ดเล็ก ๆ รสชาดเปรี้ยว ตากแดดเก็บไว้กินนาน ๆ ได้)
กระเจี๊ยบ, มะเดื่อ, มะขามป้อม, ลูกไข่ปลา - ไข่ปู - ไข่กุ้ง เสร็จแล้วก็จะเป็นหน้าที่ของแม่และพี่ ๆ ที่จะต้องช่วยกันดอง หรือตากให้แห้ง
หนูหิ่ง ฯ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ทุกฤดูเป็นฤดูที่มีความสุข ถึงจะได้ทำงานแต่ก็สนุกสนาน เพราะเห็นเป็นเรื่องเล่น ๆ ไปหมด
เวลาเข้าป่าไปทำงานตามคำสั่งของแม่ก็จะมีวิทยุไปด้วย พวกเราก็จะร้องรำทำเพลงไปก่อนถึงจุดหมายปลายทาง จะทำเสียงดังตลอดเส้นทาง
เพื่อที่จะให้สัตว์ได้ยินเสียงแล้วก็หลีกทางไปไกล ๆ จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน
บางทีก็ต้องวิ่งกันจ้าละหวั่นเพราะเจอคู่อริตลอดกาลของหนูหิ่ง ฯ * งู * นั่นเองค่ะ
เป็นเพราะหนูหิ่ง ฯ เกลียดและกลัวงูที่สุดในโลกหรือเปล่าน้า.... เลยต้องอยู่บนคานมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คิก ๆ ๆ ๆ
จบแค่นี้ก่อนจ้า