16 มกราคม 2554 22:18 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
* * * พี่เลี้ยง * * *
จริง ๆ แล้วจะบอกว่าหนูหิ่ง ฯ จำได้ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะขณะนั้นยังเด็กเกินไป ส่วนใหญ่ก็ฟังคนอื่นเล่าอีกทีค่ะ
ที่หมู่บ้านของหนูหิ่ง ฯ มีสำนักงานการเกษตร ที่เกษตรจะปลูกกาแฟ สตอบอรี่ ปลูกท้อ มะม่วง ผลไม้หลายอย่าง และดอกกุหลาบ
แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ของเกษตรมาคอยส่งเสริมให้ชาวเขาหันมาปลูกกาแฟนแทนการทำไร่เลื่อนลอย
ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่เกษตรจะเป็นผู้ชายแล้วก็โสด เพราะคนที่มีครอบครัวคงไม่มีใครยอมห่างจากเมืองกรุงไปอยู่ป่าอยู่ดอยแสนไกลขนาดนั้น
ไฟฟ้า น้ำประปาก็ไม่มี ต้องไปตักที่บ่อน้ำประจำหมู่บ้านมาใว้ใช้งาน ต้องไปพบปะชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่พูดรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
สิ่งที่มีเพื่อการบรรเทิง ก็จะเป็นวิทยุ เทป กีตาร์ แล้วก็เมาท์ออแกน เพื่อคลายความเหงา และฆ่าเวลาไปด้วยในตัว
หลังจากที่หนูหิ่ง ฯ ลืมตาออกมาดูโลกได้ 3 เดือน พี่ ๆ ที่เกษตร ก็มีของเล่นใหม่ เป็นตุ๊กตาตัวกลม ๆ กินได้ อึได้ ร้องไห้ได้
ทุก ๆ เช้าพี่ ๆ ที่เกษตรเขาจะผลัดกันมาอุ้มหนูหิ่ง ฯ ไปเล่นที่สำนักงานเกษตร
ผลัดกันชงนมให้กินเมื่อหนูหิ่ง ฯ ร้องให้
เคี้ยวข้าวป้อนให้เมื่อหนูหิ่ง ฯ พอกินได้ ล้างอึ เช็ดฉี่ให้ แล้วก็อาบน้ำปะแป้งให้เสร็จสรรพ ตอนเย็นก็อุ้มกลับมาส่งให้แม่
แม่จึงบอกหนูหิ่ง ฯ เสมอว่า หนูหิ่ง ฯ เป็นลูกคนข้างบ้าน เพราะแม่ไม่ค่อยได้เลี้ยงเลย มีแต่คนเอาไปเลี้ยงให้
จนกระทั่งโต ก็ยังมีคนอื่นช่วยเลี้ยงอยู่ดี ^__^ คือจะไปโตตามบ้านเพื่อน ไปอาศัยข้าวเพื่อนกิน ไปอ้อนพ่อ - แม่ของเพื่อน
จนเพื่อนมันเขม่นก็หลายที ^__^
เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา หนูหิ่ง ฯ จึงขอให้แม่พาไปตามหาพี่ ๆ ที่เคยเลี้ยงหนูหิ่ง ฯ ตอน
เด็ก ๆ แม่ก็พาไปหา ปรากฎว่าเจออยู่คนเดียว
ส่วนคนอื่น ๆ แม่ไม่รู้ว่าเขาย้ายไปอยู่กันที่ไหน เพราะเวลาก็ผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้ว บางคนเกษียณอายุราชการไปแล้ว
บางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว คนที่เจอชื่อพี่ยงยุทธ ตอนนี้พี่เขาเกษียณแล้ว อาศัยอยู่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
หนูหิ่ง ฯ จำไม่ได้เลย แต่พี่เขาจำหนูหิ่ง ฯ ได้ แปลกใจจัง เห็นบอกว่าหนูหิ่ง ฯ หน้าไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ ^__^
หนูหิ่ง ฯ ซื้อกระเช้าไปกราบขอบคุณ แล้วก็ใส่ซองให้นิดหน่อย แล้วก็ดีใจมากที่หาพี่เขาเจอ
ถ้ามีโอกาสจะพยายามหาคนอื่น ๆ ที่เหลือ แต่แม่จะจำได้แต่ชื่อเล่นบ้าง ชื่อจริงบ้าง นามสกุลจำไม่ได้ ก็เลยหายากหน่อยค่ะ
ขอโทษนะคะพี่เลี้ยงจำเป็นทั้งหลาย
ปล. หากใครเคยทำงานอยู่เกษตรแม่โถ ต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ แล้วเคยเลี้ยงเด็กหญิงตัวกลม ๆ ตาดำ ๆ
กรุณาติดต่อกลับมาด้วยนะคะ
* * * ครูเด็กเล็ก * * *
จริง ๆ แล้วที่หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ ไม่มีชั้นเด็กเล็ก ไม่มีอนุบาล มีก็ประถม 1 - ประถม 4 ถ้าจะต่อก็ต้องไปต่อหมู่บ้านอื่น
สถานที่ตั้งของโรงเรียนก็อยู่ห่างจากบ้านหนูหิ่ง ฯ ไปเกือบ 3 กิโลเมตร ทุก ๆ เช้าเด็ก ๆ ก็จะพากันเดินไปโรงเรียนพร้อมห่อข้าว
หนูหิ่ง ฯ เริ่มไปโรงเรียนตอนประมาณ 4 ขวบ เดินไม่ไหวก็พี่ชายแบกบ้าง อุ้มบ้าง พี่ชายชอบบ่นว่าหนูหิ่ง ฯ ขึ้เกียจเดิน
จะร้องโยเยให้แบก ก็จำต้องเปลี่ยนกันแบกใส่หลังเดินไปโรงเรียน ^__^ นิสัยดีตั้งแต่เด็ก ๆ เนาะ
ทางไปโรงเรียนจะผ่านโค้ง ๆ หนึ่ง แล้วตรงนั้นจะมีต้นไม้ใหญ่มาก เด็ก ๆ ก็จะถูกขู่ว่าให้ระวังผีนะ
ดังนั้นพอจะผ่านโค้งต้นไม้ใหญ่นี้ ก็จะปาดอุ้งเท้า แล้วเอามาป้ายที่ศรีษะ ผีจะได้ไม่เห็น ^__^ คนดอยเขามีวิธีหลอกผีด้วยนะคะ
บางทีก็จะแกล้งวิ่งทิ้งกัน ทำเสียงหลอกกันก็มี เด็ก ๆ ที่หมู่บ้านนี้ก็เลยมีนิสัยชิบแกล้ง *__~ นิสัยดีกันทั้งหมู่บ้านเลย
อาจารย์ที่สอนชื่ออาจารย์ธนูศักดิ์ โรงเรียนนี้มี 4 ชั้น นักเรียนมีน้อย ทั้งโรงเรียนมีครูสอนอยู่คนเดียว
ถึงตอนนี้หนูหิ่ง ฯ ก็นึกไม่ออกว่าครูสอนได้ยังไง ?
จำได้ว่าหนูหิ่ง ฯ ซนมาก โดดหน้าต่างเล่นก็มี ปีนต้นฝรั่งจนตกลงมาก็มี ครูดุก็ไม่
เคยกลัวสักกะที ก็มันไม่มีอะไรให้เล่นนินา.... เนาะ
บางครั้งหนูหิ่ง ฯ เป็นไข้ ไม่สบาย เลือดกำเดาไหล ก็ต้องไปโรงเรียน ต้องไป
นอนที่เก้าอี้เรียน จนพี่ ๆ เขาต้องยืนเรียน
เพราะว่าอยู่บ้านก็ไม่มีใครดูแล คนโตทุกคนต้องไปทำไร่ทำสวนเลี้ยงสัตว์ เด็ก ๆ
จึงถูกยัดเยียดให้พี่ ๆ ที่เรียนอยู่และครูเป็นผู้ดูแลแทน
* * * ครูประถม * * *
พอเรียนหนูหิ่ง ฯ เข้าเรียนชั้นประถมโรงเรียนก็ย้ายมาอยู่ใกล้บ้านหน่อยประมาณ 1 กม. ดีจัง ไม่ต้องเดินไกล
ครูก็เริ่มมีหลายคน ครูคนแรกชื่อครูสมศักดิ์ ครูเลาสือ ครูบุญยิ่ง ครูมยุรี ครูต้อย
เด็ก ๆ บนดอยก็มีกีฬาดอย ๆ ให้เล่น เช่น
เดินต่อขา : ก็จะตัดไม้ไผ่มา 2 ลำเล็ก ๆ พอเหมาะมือ ลำต้นแข็งแรงความยาวเท่าตัว หรือยาวกว่า เลาะกิ่งออก
เหลือไว้กิ่งตรงโคนกิ่งเดียวลำไผ่ด้านที่เลยกิ่ง ให้เหลือความยาวประมาณครึ่ง
ไม้บรรทัด แล้วก็ตัดกิ่งให้พอเท้าเหยียบ
วิธีเล่น : ก็ให้จับลำไผ่แน่น ๆ ทิ่มไผ่ด้านที่มีกิ่งลงดิน แล้วก็ใช้ความสามารถพิเศษขึ้นเหยียบ ทีละข้าง แล้วก็เดิน
ข้อสังเกตุ : ยิ่งทำสูงเท่าไหร่ เวลาเดินก็จะไกลเท่านั้น แต่การทรงตัวจะลำบากนิดหนึ่งค่ะ สนุกดีนะคะ
ควบกะลา : ก็จะนำกะลามะพร้าวด้านที่มีรูมา 2 กะลา แล้วก็ใช้เชือกยาวประมาณเมตรเศษ ๆ ผูกกะลาไว้ด้านละข้าง
วิธีเล่น : จับเชือกด้านกึ่งกลางของทั้ง 2 กะลา แล้วก็ขึ้นไปเหยียบกะลาโดยใช้นิ้วคีบไว้ คล้ายกับใส่รองเท้า แล้วก็เดิน
ข้อสังเกตุ : ต้องเลือกกะลาดี ๆ เวลาเดินระวังกะลาแตก และอาจเกิดเสียงดังหนวกหู และก็เจ็บนิ้วชี้ - โป้งได้
การเล่นทั้ง 2 อย่างนี้ปรกติจะเล่นหลาย ๆ คน แล้วก็แข่งกันเดินว่าไครจะเดินถึงปลายทางก่อนกัน โดยเท้าไม่ลงพื้น
จริง ๆ แล้วการละเล่นก็มีหลายอย่าง เช่น หมากเก็บ ไม้เก็บ ตี่จับ เตย หลบบอล โดดเชือก โดดสูง ฯลฯ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ใช้วัสดุที่หาได้และทำเองง่าย ๆ ค่ะ
ถึงแม้โรงเรียนหนูหิ่ง ฯ จะเป็นโรงเรียนบนดอย นักเรียนไม่เยอะ ก็ยังคงมีหมอไปฉีดยาวัคซีนให้เด็ก ๆ
แต่หนูหิ่ง ฯ จะหนีตลอด เพราะกลัวเข็มฉีดยา วิธีการหลบ
1. ก็ไม่อยาก ปีนหน้าต่าง แล้วไปซ่อนในห้องน้ำแค่นี้ก็ไม่มีใครหาเจอแล้ว พอหมอไป ไอ้หนูหิ่ง ฯ ก็ออกมา
2. เข้าป่าไปเลย เพราะรอบโรงเรียนเป็นป่า ไปหลบในนั้น ก็ไม่มีใครหาเจออีกเหมือนกัน
3. หนีให้ไกลหน่อยก็ไปเก็บผักจิ้มน้ำพริกหรืองมหอยในนาล่างโรงเรียน เย็น ๆ ก็ทำเนียนกลับบ้าน
4. หรือไม่ก็ไปเก็บผลไม้ป่ากินฆ่าเวลา เย็น ๆ ก็ค่อยกลับบ้าน
ห
นูหิ่ง ฯ ใช้ทุกวิธี ก็เลยไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย จนกระทั่งถึงการปลูกฝี ทีนี้ครู & หมอไปดักรออยู่หน้าบ้าน
ห้า ๆ ๆ พอตกเย็นหนูหิ่ง ฯ เดินกลับบ้านก็เลยถูกจับปลูกฝี ดังนั้นที่ไหล่ก็จะมีรอยแผลเป็นอยู่รอยเดียว
ในขณะที่คนอื่นมี 2 - 3 รอย ตอนเด็ก ๆ ภูมิใจมากที่หนีครูกะหมอได้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทำไม่ดีเลย *__~
ขอโทษค่ะครู ขอโทษค่ะหมอ
ด้วยความที่เด็กนักเรียนมีน้อย เวลาเล่นอะไรก็ต้องเล่นด้วยกัน เด็กผู้ชายจะชอบเล่นกว่าง เล่นโยนเหรียญที่ทำมาจากฝาน้ำอัดลม
เล่นดีดหนังยาง ยิงนก ตกปลา เด็กผู้หญิงอย่างหนูหิ่ง ฯ ก็เล่นกะเขาได้ทุกอย่าง
สนุกดี บางทีก็ถูกเด็กผู้ชายแกล้งเอา
ที่ทนไม่ได้ก็คือ เด็กผู้ชายชอบเปิดกระโปรง อยู่ ๆ ก็วิ่งมาเปิดกระโปรง แล้วก็วิ่งหนีไป หัวเราะไป
ยิ่งถ้าเห็นใส่กางเกงในสีอะไรจะเอามาแซวเป็นอาทิตย์ เด็กผู้หญิงก็เลยต้องขนขวายหากางเกงขาสั้นมาใส่
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หนูหิ่ง ฯ อารมย์ไม่ดี แล้วเพื่อนผู้ชายก็มาเปิดกระโปรง หนูหิ่ง ฯ ก็วิ่งไล่จนทัน
เสร็จแล้วก็ตูมเข้าให้ ปรากฎว่าเลือดกำเดาออก งื้อ ! ไม่ได้ตั้งใจให้เลือดตกยางออกนะ แต่มันโมโหนิ ก็เลยชกแรงไปหน่อย
ขอโทษนะเย๊ะนะ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เข้าเมืองเชียงใหม่เพื่อเรียนมัธยมต้นที่วัฒโนทัยพายัพ ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด
หนูหิ่ง ฯ เลือกเรียนสายพาณิชย์ เพราะคิดว่าจบมาแล้วหางานง่ายกว่า ถ้าเรียนสายวิทย์ต้องต่อ ป.ตรี ไม่มีตังค์
สมัยนั้นเขาจะให้เลือกเรียนสายวิทย์ หรือพาณิชตั้งแต่ตอน มอ 2 เพื่อที่จะเตรียมให้เด็กสามารถไปเรียนต่อได้ดีขึ้น
ซึ่งก็จริง เพราะหนูหิ่ง ฯ ได้เรียนพิมพ์ดีดและบัญชีตอน มอ 3 หลังจากจบแล้วหนูหิ่ง ฯ บินไปเรียนต่อ ปวช.ที่กทม.
ทำให้หนูหิ่ง ฯ ได้เปรียบคนอื่น เพราะพิมพ์ดีดก็เป็นแล้ว บัญชีก็เรียนมาบ้างแล้ว หนูหิ่ง ฯ จึงมีรายได้จากเพื่อน ๆ เยอะ
เพราะรับจ้างพิมพ์ดีด รับจ้างทำรายงาน รับจ้างทำบัญชี แฮ่.... นู๋จลลลลลล ต้องหาเงินเรียนวิธีนี้แหละ
ขอโทษนะเพื่อน ที่หนูหิ่ง ฯ หากินกับเพื่อนนะ
จบ ปวช.แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ได้งานทำแถวหนองแขม ทำอยู่ 8 ปี
เพี่อนสมัยเรียน มอต้น เหลืออยู่คนเดียว
ชื่อเพชร ตอนนี้อยู่เท็กซัส กำลังจะมีสามีเป็นของตัวเองเร็ว ๆ นี้ เฮ่อ ! อิจฉาชะมัด ^___^
เพื่อนสมัยเรียน ปวช. ก็เหลืออยู่คนเดียว ชื่อตุ่น ตอนนี้อยู่แถวทุ่งครุ
สาเหตุที่เพื่อนเลิกคบ ให้ไปดูที่ท้ายกระทู้นี้ค่ะ
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story11493.html
* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน คนขับรถกลับจม. เจียงใหม่ * * *
16 มกราคม 2554 06:02 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
หนูหิ่ง ฯ มีเรื่องเครียด จนเป็นโรคเครียด นั่งก็เครียด นอนก็เครียด ขับรถก็เครียด
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว้า.... เมื่อประมาณต้นปี 53 ที่ผ่านมา พี่สาวคนโตของหนูหิ่ง ฯ คนที่เป็นมะเร็งเต้านม
ไปตรวจสุขภาพหลังตัดเต้านมขวาทิ้งไปทุก ๆ 3 เดือน ปลายปี 53 ผ่านไปแค่ปีกับแปดเดือน
แพทย์แจ้งว่า.... ตอนนี้มะเร็งลามไปที่ปอด ตับ และกระดูกแล้ว
พวกเราทั้งหมดก็พากันอึ้ง อึ้ง แล้วก็อึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะลามเร็วขนาดนี้
แต่ก็ไม่อยากจะโทษใคร เพราะโรคก็ลามไปแล้ว เวลาผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
หนูหิ่ง ฯ ถ่ายประวัติจากโรงบาลที่เชียงใหม่ ไปปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางที่กทม.หลายโรงบาล
แพทย์ทุกท่านก็บอกตรงกันว่าอยู่ได้แค่ 1 ปีสูงสุดไม่เกิน 2 ปี
พอจะออกจากโรงพยาบาล หนูหิ่ง ฯ ก็เริ่มออกอาการเอ๋อเหรอ หารถไม่เจอ
เดินตั้งแต่ชั้น 4 ไปชั้น 10 แล้วก็ชั้น 10 ไปชั้น 4 จนเหมื่อย ก็ยังหารถไม่เจอ
คิดว่ารถหาย จะลงไปแจ้งยามที่ชั้น 1 ปรากฎว่าเจอรถจอดอยู่ที่ชั้น 1.... กรรม !
หลังจากนั้นก็นอนไม่ค่อยหลับ กินไม่ค่อยลง น้ำหนักลดรูปร่างสวยกะทันหัน
แล้วก็เริ่มขับรถหลงทางบ้าง ฝ่าไฟแดงบ้าง สุดท้ายตอนที่คิดว่าไม่ไหวแล้วคือ....
เวลาประมาณทุ่มเศษ ๆ หนูหิ่ง ฯ ขับรถไปโรบินสัน จันท์ กำลังเลี้ยวรถเข้าช่องจอด
ดูแล้วว่าว่าง ไม่มีรถ ก็เลยเลี้ยวเข้าไป แล้วก็โครม คนพร้อมมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปเกือบ 2 วา
ดีที่หัวไม่ฟาดพื้น หนูหิ่ง ฯ ก็ตกใจ จอดรถ แล้วก็ลงไปฉุดพี่เขาขึ้นมา บอกเขาว่าไม่ต้องกลัวนะ
รถหนูหิ่ง ฯ มีประกันชั้น 1 เจ็บตรงไหนหรือเปล่า หนูหิ่ง ฯ พาไปโรงบาลนะ พี่เขาก็ไม่ตอบ
แต่เดินไปดึงรถขึ้น หนูหิ่ง ฯ ก็ช่วย รถเสียประกันหนูหิ่ง ฯ ก็ซ่อมให้นะ ไม่เป็นไรนะคะ
พี่เขาก็ไม่พูดอีก แต่ก็สตาร์ทรถ แล้วก็ขับรถไปเฉยเลย ~ _~ หนูหิ่ง ฯ ก็งง ๆ อะไรเนี่ย !
แล้วก็มีพี่ผู้ชายเดินมาดู ถามหนูหิ่ง ฯ ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าไม่เป็นไร
แต่พี่เขาเจ็บหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถามก็ไม่ตอบ จะพาไปโรงพยาบาลก็ไม่พูด แล้วก็ขับรถไปเฉยเลย
หนูหิ่ง ฯ ก็งง ๆ อยู่นี่ล่ะค่ะ ขอบคุณที่มาดูนะคะ ^___^
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกให้พี่สาวส่งพี่เขยมาช่วยขับรถโดยด่วน เพราะหนูแย่แล้ว
จากนั้นไม่ถึงเดือน เกิดเรื่องให้ต้องได้กลับเจียงใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็ดีเหมือนกันนะ
ช่วงนั้นน่าจะเป็นประมาณเดือนกันยา รถหนูหิ่ง ฯ ถูกชนท้ายที่มอเตอร์เวย์บางนา - ตราด
ก็เลยต้องเข้าศูนย์ ก็เลยตัดสินใจกลับไปเจียงใหม่ เพราะไม่มีรถไปทำงาน
พอดีพี่สาวคนโตที่เป็นมะเร็งอยากไปถือศึล - ปฏิบัติธรรมที่วัด 7 วัน หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปเป็นเพื่อน
หลังจากนั้นก็เริ่มรักษาตัว ให้คีโม ให้เฮอเซฟติน ให้มอร์ฟีน ฉายแสง ฯลฯ
พอรถเสร็จหนูหิ่ง ฯ ก็เริ่มไปทำงานคนเดียวอีกครั้ง
หลังจากนั้นพี่สาวก็เข้า ๆ ออก ๆ โรงบาลเรื่อย ๆ จนจะขอซื้อห้องโรงบาลสักห้องแล้ว
ถึงกลางเดือนธันวา ก็ได้รับข่าวร้ายว่า ตับโตและกระดูกพรุนแล้ว แขน - ขา เริ่มบวม
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยกลับเชียงใหม่อีกครั้ง ประกอบกับหนูหิ่ง ฯ ถ่ายเป็นเลือดก็เลยถือโอกาสไปตรวจด้วย
วันที่ 22 หมอให้แอดมิท หนูหิ่ง ฯ เคยผ่าทอลซินแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 42 ตอนนั้นถูกวางยาสลบ
แต่คราวนี้วิสัญญีแพทย์บอกว่าจะบล็อกหลัง หนูหิ่ง ฯ เคยได้ยินคนถูกบล็อกหลังเพื่อคลอดลูกบางคน
บ่นว่าไม่ดี จะปวดหลังไปตลอด จะนั่น จะนี่ หนูหิ่ง ฯ ก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ทำเป็นไม่กลัว
เช้าวันที่ 23 น้ำเกลือที่ให้ยังไม่หมด พยาบาลก็มาเปลี่ยนชุดห้องผ่าตัดให้ 9.00 น.เข้าห้องผ่าตัด
พี่คนที่มาเข็นรถนอนให้เป็นผู้ชาย ก็คุยทักทายสนุกสนานร่าเริงดี
พอไปถึงห้องเตรียมการผ่าตัด พยาบาลก็ไล่พี่คนเข็นออกไป เพราะต้องแก้ผ้าหนูหิ่ง ฯ
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่าต้องเปลีอยหนูหิ่ง ฯ หรือ ? พี่เขาก็บอกว่าใช่ แฮ่.... ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ
เลิกอายชั่วคราว ลุกขึ้นนั่งจะแก้ผ้า พี่พยาบาลรีบดันตัวลงบอกว่าเดี๋ยว ๆ ๆ นอนแก้ก็ได้เดี๋ยวจะโป้
หนูหิ่ง ฯ บอกว่าไม่เป็นไรหรอก อายก็ไม่หายสิ พี่พยาบาลก็บอกว่าไม่ใช่อย่างงั้นหรอก
พี่กลัวพี่คนเข็นรถจะนอนไม่หลับ นั่น ! เป็นงั้นไป
เสร็จแล้วก็ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด วิสัญญีแพทย์หญิงบอกให้นอนคู้ตัวเป็นกุ้งเลย แล้วก็ฉีดยาเข้ากระดูกสันหลัง
เอ.... ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด มือนิ่มจัง ^__^
ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ชาตั้งแต่เอวลงไป หมอใหญ่ก็เริ่มผ่า ๆ ๆ ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็รู้สึกตัวนะ แต่ไม่เจ็บเลย
ผ่าเสร็จ เย็บเสร็จแล้วก็ไปห้องพักฟื้น ห้องพักฟื้นหนาวมาก หนูหิ่ง ฯ ขอผ้าห่มไฟฟ้า พยาบาลก็น่ารักมาก
ให้มา 2 ผืนเล็ก ๆ คนอื่นเขาพัก 2 ชั่วโมง แต่หนูหิ่ง ฯ พัก 3 ชั่วโมงเพราะยังไม่หายชา
พี่พยาบาลประจำห้องผ่าตัดก็มาบอกว่า คุณหมอส่งชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ไปตรวจนะ
ประมาณ 1 อาทิตย์จะรู้ผล หนูหิ่ง ฯ ก็นึกในใจ ว่าผลคงไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคนใน
ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็ง
แต่ก็คิดต่อไปอีกว่า.... เอาน่า.... ไหน ๆ จะป่วยทั้งทีก็เป็นโรคนี้แหละ เพื่อนเยอะดี
ระดับนี้แล้ว เป็นโรคกระจอก ๆ ได้ยังไง โรคนี้เขาฮิทออกจะตาย เป็นเสียหน่อยจะได้ทันสมัย ฮิ ๆ ๆ ๆ
พอหายชาพี่คนเข็นก็เข็นขึ้นห้อง 809 อยู่ตรงข้ามห้องพี่สาวที่รักษาตัวอยู่ห้อง 810
เมื่อขาหายชา หนูหิ่ง ฯ ก็ลุกเดิน ๆ ๆ ๆ แล้วก็ไปนอนเฝ้าพี่สาวที่ห้อง 810
ฮี่ ๆ ๆ ๆ พยาบาลหลายคนบ่นว้า.... ทำคนไข้หาย หาคนไข้ไม่เจอ ^__^
คนไข้ผ่าตัดห้องอื่น พอผ่าตัดเสร็จพยาบาลต้องขอให้เดิน
ส่วนคนไข้คนนี้ พอผ่าตัดเสร็จพยาบาลต้องบอกให้นอน เป็นไง เหนื่อยไหมคะพี่พยาบาล ^___^
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ทำเรื่องออกโรงบาลวันที่ 24 เย็น แต่ก็ยังนอนเฝ้าพี่สาวที่ห้อง 810
ข่าวร้ายอีกครั้ง มะเร็งลามไปที่สมองของพี่สาวแล้ว ~_~
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยตัดสินใจไปตัดผมสั้น หลังจากที่ไว้ผมยาวมาเกือบตลอดชีวิต
เพราะหลายสาเหตุ หลัก ๆ ก็คือ อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองอยากเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็ง
พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ชอบผมสั้นด้วย บอกว่าน่ารักดี ไม่รกรุงรังเหมือนรังนก
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเดินไปเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว ซึ่งอยู่หลังโรงบาลนี่เอง
ไปบอกช่างว่าจะซอยผมสั้น เอาสั้นจู๋เลยนะ ช่างก็มองหน้าตาปริบ ๆ
แล้วก็บอกว่า ตัดบ็อบละกันนะ เทนิด ๆ ประมาณไหล่ ไม่ต้องสั้นมากหรอก
เพราะเดี๋ยวจะรับไม่ได้ นั่น ! ช่างรู้ใจอีกต่างหาก หนูหิ่ง ฯ ก็เลยได้ทรงผมใหม่เป็นของตัวเอง
แล้วหนูหิ่ง ฯ รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ จึงขอหมอตรวจใหม่ ก็เลยถูกจับเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งวันที่ 29
เหตุการณ์เหมือนเดิม พี่คนเข็นรถคนเดิม ห้องผ่าตัดห้องเดิม พยาบาลชุดเดิม
ต้องเปลือยเหมือนเดิม คราวนี้หนูหิ่ง ฯ แซวพี่คนขับรถว่า พี่จะอยู่ดูก็ได้นะคะ
แต่หนูกลัวว่าเมื่อพี่ออกเวรไปจะนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ใจไม่ดี ต้องเสียเวลาไปเรียกขวัญคืน ฮี่ ๆ ๆ ๆ
แล้ววิสัญญีแพทย์ก็มาแต่คราวนี้เป็นผู้ชาย ไม่ใช้วิธีบล็อกหลัง แต่ใช้วิธีฉีดยาชา เจ็บกว่าบล็อกหลังนิ๊ดนึง
วิสัญญีแพทย์คนนี้น่ารักดี ชวนคุยตลอด ก็เลยไม่เครียด
หมอใหญ่ก็ผ่าไป หนูหิ่ง ฯ กะวิสัญญีแพทย์ก็คุยกันไป หัวเราะไป เป็นที่สนุกสนาน
คุยกันถึงเรื่องไปเที่ยวจีน กุ้ยหลิน ลี่เจียง กำแพงเมืองจีน ฯลฯ
พอหมอผ่าตัดเสร็จ ก็รู้สึกว่าเร็วจัง กำลังคุยติดพันสนุก ๆ อยู่เลย (วิสัญญีแพทย์คนนี้หล่อด้วยหละ ^__^ )
แล้วก็ไปพักที่ห้องพักฟื้นเหมือนเดิม ขอผ้าห่มไฟฟ้าได้มา 2 ผืนเหมือนเดิม
คราวนี้พักสองชั่วโมงครึ่ง แล้วก็ถูกเข็นไปที่ห้องเดิม 809 พี่สาวก็ยังอยู่ 810 เหมือนเดิม
แม่มานอนเฝ้าตั้งแต่วันที่ 28 จำได้ว่าก่อนเข้าห้องผ่าตัดได้ยินแม่คุยกะหมอว่า.... ให้ผ่าใส้เผื่อมาสัก 2 - 3 เมตร
ถ้าหนูหิ่ง ฯ ออกโรงบาลแล้วจะทำตือฮวนให้กิน นั่น ! เอากะแม่หนูหิ่ง ฯ สิ *__~
จากนั้นพี่สาวหนูหิ่ง ฯ ขอออกโรงบาลวันที่ 30 ทุกคนก็เลยกลับบ้านกันหมด ส่วน
หนูหิ่ง ฯ ก็นอนโรงบาลคนเดียว
และก็ขอหมอออกโรงบาลวันที่ 31 สาเหตุก็เพราะว้า.... หนูจะไม่ป่วยข้ามปี ^___^
หารูปตอนอยู่โรงบาลไม่เจอ เดี๋ยวจะไปขอเซฟที่พี่พยาบาล ^__^
16 มกราคม 2554 00:24 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
บ่ายวันศุกร์ที่ 14 ม.ค. 54 หนูหิ่ง ฯ ต้องกลับเชียงใหม่ แต่ไม่อยากขับรถเอง
ก็เลยโทร.หาคนขับรถที่เคยใช้บริการอยู่
หนูหิ่ง ฯ " สวัสดีเจ้าพี่โจ เสาร์นี้ว่างไหม ไปส่งหนูหิ่ง ฯ ที่เจียงใหม่หน่อยได้ป่ะคะ ? "
พี่โจ " หวัดไม่ดีหรอกหนูหิ่ง ฯ เสาร์นี้ไม่ว่าง บอกแล้วให้จองคิวล่วงหน้าสักอาทิตย์ ^__^ "
หนูหิ่ง ฯ " นั่น ! พวกคิวยาว อย่าให้รู้นะว่าไปหลีสาวจะฟ้องพี่สะไภ้ หนูหิ่ง ฯ หู - ตา ไวนะจะบอกให้ "
พี่โจ " ไอ้.... ไม่ต้องเอาพี่สะไภ้แกมาอ้างเลย ยังไงก็ไม่ว่าเฟ้ย ! "
หนูหิ่ง ฯ " ก็ได้ ๆ ๆ ๆ อย่าให้รู้แล้วกันนะ แต่ถ้ามีค่าปิดปากก็โอเคน่ะ ^__^ "
หนูหิ่ง ฯ " งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะตามล่าหาเหยื่อรายต่อไป ^__^ สวัสดีค่ะ "
~ รายแรกผ่านไป ไม่ได้เรื่อง คิดถึงรายที่สอง แต่เอ.... บอกเขาไปแล้วว่าจะไม่รับสาย จะไม่โทรหา จะลาตลอดกาล
ก็เลยไม่โทร.... เศร้าวุ้ย ~
~ อ้อ.... มีไอ้คิงอยู่สุพรรณ แวะบึงฉวากแล้วก็ให้ไอ้คิงไปส่งดีก่า ~
หนูหิ่ง ฯ " ห้าโหล ห้าโหลคิง นี่หนูหิ่ง ฯ นะ เสาร์นี้ว่างป่ะ ไปส่งเจียงใหม่หน่อยดิ "
คิง " สองโหลยี่สิบสี่นะหนูหิ่ง ฯ เอาเท่าไหร่ ? บอกมาก่อน "
หนูหิ่ง ฯ " ครึ่งโหลพอ เหลืออีกวันจะได้พักผ่อนบ้าง คิงนี่กวนเหมือนเดิมนะ ตกลงเจอกันวันเสาร์นะ "
คิง " ถนัดมัดมือชกอีกแล้วนะ แล้วเจ้าชายแกไปไหนหมดฟะ ต้องมาอาศัยกระเทียมอย่าคืง แล้วตอนนี้อยู่ไหน มาถึงสุพรรณก่อนแปดโมงนะ ไม่งั้นไม่รอ "
หนูหิ่ง ฯ " หายไปหมดแล้ว เดี๋ยวจะไปประกาศหาใหม่ที่บ้านกลอน เป็นอันว่าโอเค แปลว่าไม่ตกลง ไปถึงก่อนเก้าโมงนะ "
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ไปประกาศ....ด่วน ที่บ้านไทยกลอน ไอ้คิงได้อ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าได้อ่านมันคงขำน่าดู
ตี 4 วันเสาร์ หนูหิ่ง ฯ และพี่สาว ตาลีตาเหลือกตื่นมาอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแต่เช้า กลัวกะเวลาไม่ถูกอ่ะ
พอตี 5 หนูหิ่ง ฯ ก็บินไปสุพรรณ พี่สาวก็บินไปชลบุรี เพราะแม่เขาจะทำบุญบ้านวันอาทิตย์
หนูหิ่ง ฯ ให้ GPS นำทาง ออกแต่เช้ารถก็ยังเยอะนะ สงสัยจะไปเที่ยวเชียงใหม่กัน ^__^
ก็ออกสายเอเซีย แล้วก็ไปเลี้ยวเข้าอ่างทอง ออก อ.แสวงหา แล้วก็ไปเข้าสุพรรณ
เห็นพระออกบิณฑบาตร แต่พระทางนี้จะมีรถเข็นไว้ใส่ข้าวของด้วย ดีจัง ไม่ต้องพึ่งเด็กวัด
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยจอดใส่บาตร เพราะในรถมีขนมเค้กลุมพลีเจ้าอร่อย และขนมอันบัน นมถั่วเหลืองหลายแพ็ก และน้ำเปล่าขวดใหญ่
ท่านก็เปิดบาตรให้ แต่หนูหิ่ง ฯ ไม่มีข้าว ก็เลยใส่แต่ของเท่าที่มี รับพรเสร็จแล้วปลื้มใจ เดี๋ยวจะไปกรวดน้ำที่บ้านไอ้คิง ^__^
ถึงบ้านไอ้คิง 07.30 น. อะฮ่า มาก่อนเวลา มันเบี้ยวไม่ได้แล้ว ^___^
ไอ้คิงยังไม่ได้อาบน้ำ แต่มันกินข้าวไปแล้ว เวร.... ทำไมเป็นคนแบบนี้เนี่ย ก็เลยต้องเข็นมันไปอาบน้ำ
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยหยิบขวดน้ำขวดใหญ่ในรถ ไปกรวดน้ำใต้ต้นไม้
หนูหิ่ง ฯ มือขวาแตะที่พื้นดินใต้ต้นไม้ มือซ้ายถือขวดน้ำ
" อิทังเมโหตุสุขิตาโหตุญาตโญ ข้าพเจ้านางสาวหิ่งห้อยน้อยใจ ขออนุญาตพระแม่ธรณีกรวดน้ำอุทิศผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำในวันนี้
ขอให้ผลบุญนี้ส่งถึงคุณบิดา - มารดา ครูบา - อาจารย์ ญาติ - พี่น้อง - ลูกหลาน เทวดา - อินทร์ - พรหม - ยม - เปรต
ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติของข้าพเจ้า และพิเศษถึงพี่สาวของข้าพเจ้า ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับผลบุญในครั้งนี้
หากได้รับผลบุญนี้แล้วขอให้ทุกท่านมีความสุ่ข และอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าและพี่สาวมีความสุข ปราศจากโรคภัยทั้งหลายที่มาเบียดเบียน
สาธุ "
หลังจากคิงอาบน้ำเสร็จก็แวะถ่ายรูปที่บึงฉวากก่อน ได้เมล็ดพันธุ์ผักไปฝากน้าชาย 7 อย่าง แล้วก็ออกเดินทาง
ไอ้คิงมันกวนประสาทไปสุดทางแหละ แต่ก็โอเคน่ะ เพราะหนูหิ่ง ฯ ก็ใช่ย่อย
แวะเยี่ยมและแต๊ะเอียล่วงให้กับพ่อ - แม่ ของพี่วิรัตน์ - พี่มิตร และหลานที่หัวเขา
น้องถุงแป้งและน้องแพนที่ตาก เหลือเงินกลับถึงเจียงใหม่ 20 บาทพอดี ^___^
จริง ๆ แล้วหนูหิ่ง ฯ ไม่ค่อยมีเพื่อนนะ สงสัยอยู่ว่าทำไม คิดไปคิดมา ก็นึกได้ว่า สมัยที่เรียนมอต้น และปวช. หนูหิ่ง ฯ พูดกับเพื่อนเสมอว่า
" พ่อ - แม่เพื่อน ก็เหมือน พ่อ - แม่ของเรา เราก็รักและเคารพเหมือนกัน "
" บ้านเพื่อน ก็เหมือน บ้านเรา เราไปอยู่กินอาศัยได้เหมือนกัน "
" เสื้อผ้าเพื่อน ก็เหมือน เสื้อผ้าเรา เราขออาศัยใส่ได้เหมือนกัน "
" อีกหน่อย ลูกและหลานเพื่อน ก็เหมือน ลูกและหลานเรา เราจะรักและเอ็นดูเหมือนกัน "
" สุดท้ายนี่สำคัญ สามีเพื่อน ก็ (ไม่) เหมือน สามีเรา เราก็จะขออาศัยใช้งานเหมือนกัน " ในวงเล็บพูดในใจนะ
สุดท้าย พอเพื่อนแต่งงานไป ก็เลยไม่มีใครคบหนูหิ่ง ฯ เลย
ไม่งั้นป่านนี้หนูหิ่ง ฯ มีลูกเป็นร้อย สามีเป็นโหลแล้ว คิก ๆ ๆ ๆ ^____^
ส่วนไอ้คิง ยังคบอยู่ เพราะมันเป็นกระเทียม ^__^