19 มกราคม 2554 01:42 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
วันอังคาร ที่ 18 มกราคม 2554
วันนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ เปลี่ยนชื่อเป็น ฐิติรัตน์ : ชีวิตที่ประเสริฐ ได้ชื่อเล่นใหม่ : ปัฐ : มีอายุยืนยาว เป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น
เกิดวันอังคาร ที่ 18 มกราคม เวลาบ่าย 3 โมง ปีกระต่าย หนูหิ่ง ฯ สงสัยว่าพระที่ทำพิธีสวดจะตั้งให้ค่ะ
เช้านี้หนูหิ่ง ฯ ต้องไปรับยาที่อินทราทัวร์ เมื่อวานนี้ให้ตุ่นไปซื้อส่งมาให้ เป็นยาที่หายากจริง ๆ
ทั้งประเทศมีขายแค่ 3 ที่เท่านั้น หนูหิ่งก็เลยสั่งมา 5 กล่อง ๆ ละ 850.- วันนี้เย็น ๆ จะไปโอนตังค์ให้ตุ่น
ยานี้หนูหิ่ง ฯ รู้มาจากพี่อรัญ เป็นลูกค้าอยู่ จ.ตราด พี่เขาบอกว่าพี่ชายเขาก็เป็นมะเร็ง มีคนแนะนำให้กินยาตัวนี้
แล้วพี่ชายเขาไม่มีอาการเจ็บปวดเลย จนกระทั้งเสียชีวิต หนูหิ่ง ฯ ก็เลยขอให้แกไปหาชื่อยามาให้
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็หาข้อมูลของยาทางอินเตอร์เน็ท ท้ายที่สุดก็ต้องโทร.ไปถามที่กรมราชองครักษ์
พี่ที่รับโทรศัพท์ชื่อพี่อำนาจ ใจดีมาก ๆ เลย อาสาจะซื้อส่งทางไปรษณีย์ให้ด้วย แต่หนูหิ่ง ฯ ต้องการด่วนที่สุด
ก็เลยบอกพี่เขาว่าจะให้เพื่อนไปซื้อวันจันทร์แล้วส่งรถทัวร์ เช้าวันอังคารก็มาถึง
ยาตัวนี้ชื่อว่า ยาประดง เป็นยาแผนโบราณ แก้น้ำเหลืองเสีย ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเลย
แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ที่ต้องการก็คืออยากให้พี่ปัฐหายจากอาการปวดและทรมาณเท่านั้น ถ้าจะไปก็ไปอย่างสงบ อย่าได้ทรมาณเลย
พี่ซิงตื่น 05.30 หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอาบน้ำ - สระผม แล้วก็ไปรับยา แล้วก็เลยไปซื้อโจ๊ก - ต้มเลือดหมู แล้วก็ซื้อกับข้าวไปใส่บาตร
กลับมาถึงโรงบาล 07.00 น. พี่โหย่งมาถึงแล้ว พี่ปัฐตื่นแล้ว ก็เลยให้ล้างหน้าแปรงฟันที่เตียง
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็บอกแกว่าหนูหิ่ง ฯ ไปใส่บาตรมา เดี๋ยวเรามากรวดน้ำด้วยกันนะ ให้พี่พูดตามหนูนะ พูดในใจก็ได้ (แกไม่ค่อยมีแรงพูดค่ะ)
หนูหิ่ง ฯ จับมือซ้ายพี่สาวถือขวดน้ำ แล้วก็เอาถ้วยมารอง มือขวาให้พี่สาวแตะที่เตียงใต้ถ้วยรอง
" อิทังเมโหตุสุขิตาโหตุญาตโญ "
" ข้าพเจ้านางฐิติรัตน์ สิมะนราธร ขออนุญาตพระแม่ธรณี พระแม่คงคา กรวดน้ำอุทิศผลบุญกุศลที่น้องสาวข้าพเจ้าได้ตักบาตรแทนในวันนี้
ขอผลบุญกุศลนี้ส่งไปถึงผู้มีอุปการะคุณที่ท่านตลอดจนเจ้ากรรมนายเวร ทุกองค์ ทุกท่าน ทุกผู้ ทุกตัว ทุกตน ไม่ว่าจะอยู่ในภพ - ภูมิใด ๆ
เมื่อได้รับแล้วขอให้ทุกท่านมีความสุขกายสบายใจปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แล้วก็อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าที่เคยล่วงเกินไว้
ไม่ว่าจะโดยทางกาย - วาจา - ใจ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ขอให้หมดเวร - หมดกรรมต่อกันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
และขอให้ข้าพเจ้าหายจากการเจ็บป่วยในครั้งนี้ด้วยเทอญ สาธุ "
เสร็จแล้วหนูหิ่ง ฯ ก็นำไปกรวดต่อที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงบาล โทร.หาเจิน เจิน ให้รีบมาไม่ต้องแวะที่ไหน แล้วก็ซื้อถุงมือไซค์ S
กับแพมเพิร์สผู้ใหญ่ไซค์ L มาด้วย เจิน เจิน บอกว่าจะแวะไปที่ปั้ม (พี่ปัฐเปิดปั้มน้ำมันอยู่อ.จอมทองค่ะ) เพื่อเอายาสมุนไพรมาให้กิน
หนูหิ่ง ฯ บอกว่าไม่ต้องแวะ เพราะว่าตอนนี้แม่ไม่กินอะไรสักอย่าง ซื้อของแล้วก็รีบมาให้ไว ก่อนน้าหิ่ง ฯ จะมีมะโห ^__^
ขึ้นมาที่ห้องหนูหิ่ง ฯ ก็กินโจ๊กเปล่า ๆ กับน้ำพริกของแม่ เพราะเดือนมกราคมของทุกปีหนูหิ่ง ฯ จะกินเจ หรือมังสวิรัติ
เนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนเกิด แล้วก็จะกินเจจริง ๆ (ไม่ใช่มัง ฯ) ในช่วงเข้าพรรษาจนกระทั่งออกพรรษา
เสร็จแล้วก็หายาของตัวเองมากิน จริง ๆ แล้วกินยาก็เกือบอิ่ม ก็เลยต้องกินข้าวแต่น้อย ๆ (เป็นการลดความอ้วนไปในตัว ^__^)
ส่วนพี่ซิงก็ชงโปรตีนผสมน้ำเต้าหู้ และยาประดงไปให้พี่ปัฐกิน แต่พี่หลั่งไม่ยอมกินยา กินแต่น้ำเต้าหู้
แล้วหมอก็มาดู ก็ไม่มีอะไร ดู ๆ ไปตามหน้าที่ค่ะ เพราะคงไม่ทำอะไรมากไปกว่าการฉีดยาระงับปวด
ประมาณ 11.00 น. หลานเจิน เจินกับเหลนน้อยหวา หวา ก็มา พี่ปัฐตื่นอีกครั้ง (จริง ๆ แล้วไม่รู้ว่าหลับหรือตื่น เพราะแกหลับตาเกือบตลอดเวลา)
หนูหิ่ง ฯ เข้าไปจับมือไว้ แกถามว่าจะกลับเมื่อไหร่ หนูหิ่ง ฯ บอกแกว่าไม่ไปแล้ว ตอนนี้จะอยู่นี่ตลอดไป กลับมาบ้านมาเกาะพี่สาวกินดีกว่า
ไปทำงานไกลบ้านเหนื่อยก็เหนื่อย ข้าวก็ไม่ค่อยได้กิน อยู่นี่ได้กินทุกอย่าง น้องตัวเล็กนิดเดียวเลี้ยงได้ไหม ?
พี่ปัฐ....ยิ้มแล้วก็พยักหน้า ^__^ (ค่อยยังชั่ว.... มีคนเลี้ยงแล้ว)
พี่โหย่งก็เลยแหย่ว่า.... หนูหิ่ง ฯ เกาะพี่สาวกิน แต่กอ (พี่ชาย) เกาะเมียกิน เพราะตอนนี้มาอยู่กับพี่ปัฐก็เลยไม่ได้ทำงาน ^__^
ประมาณเที่ยงเศษ ๆ พี่ซิ พี่ชายคนที่ 2 กับพี่สะใภ้ก็มาเยี่ยม ดีจัง มีหมอนวดมาเพิ่มอีกแล้ว จะได้แอบงีบ (พี่โหย่งบอกว่า....นิสัยดีน่าดู ^__^)
พี่สะใภ้แอบมาถามว่า.... ผลตรวจชิ้นเนื้อเป็นไงบ้าง หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่า.... ไม่เป็นไร สบายมาก ระดับนี้แล้วไม่เป็นไรหรอก ^__^
พี่สะใภ้คนนี้นิสัยใจอ่อน ขึ้แยสุด ๆ ขืนบอกความจริงมีหวังช็อค แล้วก็คงจะช็อคกันไปทั้งครอบครัว สักพักพี่ซิกับพี่สะใภ้ก็กลับขึ้นดอย
ก่อนบ่ายโมงเล็กน้อย พี่ปัฐทำหน้านิ่ว แล้วบอกว่าปวดจัง....ปวดจังเลย.... หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่าปวดที่ไหนเจ้ ปวดที่ไหนจ้ะ
แกบอกว่าปวดไปหมด ปวดทั้งตัว หนูหิ่ง ฯ จึงหลอกล่อให้แกกินยาประดง จะได้หายจากการเจ็บปวด
ไม่ทราบว่าเป็นผลของฤทธิ์ยาหรือเปล่า ทำให้แกหลับไปอย่างไม่กระวนกระวาย ดีจังเลย ^__^
แล้วเจิน ๆ กับหนูหิ่ง ฯ ก็เดินไปเซ็นทรัลกัน หนูหิ่ง ฯ อุ้มเหลนน้อยหวา หวาไปด้วย เหลนน้อยทำหน้าตาบ้องแบ๊ว ดูนั่นดูนี่ไม่งอแงเลย
ไปได้ DVD VIDEO บทสวดมนต์คาถาพาหุง มหาการุณิโก ของหวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม : เล่าถึงที่มาของคาถาพาหุง ฯ
มีบทสวดขึ้นเป็นตัวอักษรพร้อมสวดตาม (หลวงพ่อจรัญ ณ วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี) มาเปิดให้พี่ปัฐดู + ฟัง
แต่ก็ยังไม่ได้เปิดเพราะพี่ปัฐหลับ ตื่นเป็นบางครั้งตอนผู้ช่วยพยาบาลมาวัดความดัน ฯ วัดไข้ ดีจังรู้สึกเหมือนแกไม่ค่อยทรมาณ ^__^
บ่าย 3 โมงหนูหิ่ง ฯ ง่วงมาก ก็เลยบอกพี่โหย่งว่าจะนอนนะ ส่วนพี่ซิงกลับไปทำอาหารเย็นที่บ้านค่ะ
เพิ่งปูผ้าที่พื้น วางหมอน ห่มผ้าล้มตัวลงนอน พี่โหย่งก็เรียก ปรากฎว่าพี่ปัฐขอกอดหน่อย พี่โหย่งกับหนูหิ่ง ฯ ก็เลยจับมือไว้คนละข้าง
แล้วก็ก้มลงไปกอดแกคนละข้าง สบตากันแล้วต่างคนต่างทำตาแดง ๆ แล้วก็หันไปทางอื่น ไม่งั้นน้ำตาไหลทั้งคู่
พี่ปัฐถามว่าซิงไปไหน หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่ากลับไปทำกับข้าวที่บ้าน จะได้มีกับข้าวอร่อย ๆ กินนะ แกก็พยักหน้าเข้าใจ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เลยนั่งจับมือพี่ปัฐ....ฟุบอยู่ข้างเตียงนั่นเอง *__~
หลังจากที่กินยาประดงไป รู้สึกว่าพี่ปัฐจะไม่กระวนกระวายจากการเจ็บปวดทรมาณเท่าไหร่นัก ดีจังเลย.....
เวลาพี่ปัฐตื่น หนูหิ่ง ฯ กับพี่โหย่งก็พยายามจะให้แกกินยาประดงอีก แต่หลอกล่อยังไงก็ไม่ยอมกินสักที ไม่รู้จะทำยังไง.... ?
จนกระทั่งพี่ซิงนำอาหารมาถึงประมาณหนึ่งทุ่ม ไม่รู้ว่าทำยังไง พี่ปัฐยอมกินยา ดีจังเลย ^__^ หวังว่าคืนนี้แกคงจะหลับสบาย ^__^
พี่ปัฐก็บอกว่า ซิงกอดหน่อย ซิงกอดหน่อย (แกจะพูดซ้ำ ๆ อาจจะเพราะกลัวพวกเราไม่ได้ยิน) พี่ซิงก็ไปกอดแกบนที่นอน
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยแซวแกว่า.... พี่ปัฐลำเอียงนี่นา หนูอยู่ทั้งวันกอดหนูนิดเดียวเอง ไม่ยอม ไม่ยอม ต้องกอดหนูใหม่นะ พี่ปัฐก็ยิ้มแบบขำ ๆ ท่าทางอารมย์ดี
เวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็ทำเหมือนคืนก่อน คือ อาบน้ำแล้วก็นอนก่อนพี่ซิง ไว้รอเปลี่ยนตอนดึก ๆ ..................
ตื่นอีกทีเที่ยงคืนพอดี เพราะได้ยินเสียงพี่ปัฐเรียกซิง ซิง พี่ซิงก็ขานอยู่บนโซฟาแล้วสบตาหนูหิ่ง ฯ บอกว่าคืนนี้ดูแกไม่ค่อยปวดเท่าไหร่ ดีจัง ดีจัง ดีจัง
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ลุกมาเฝ้าพี่ปัฐ คงเฝ้าถึงเช้าเหมือนเดิม คืนนี้ดูแล้วพี่ปัฐไม่กระวนกระวาย ไม่บ่นว่าปวดจังเลย....เหมย ปวดจังเลย....ให้ได้ยิน ดีจังเลย ดีจัง ดีจัง ^__^
พรุ่งนี้กลางวันถ้าหลานมาเยี่ยมหนูหิ่ง ฯ จะกลับบ้านสักพัก....ไม่ได้ซักผ้าเลย.
ถ่ายรูปกับกำลังใจของหนูหิ่ง ฯ เหลนน้อยหวาหวา อายุ 5 เดือนค่ะ
18 มกราคม 2554 02:26 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
วันนี้วันจันทร์ ที่ 18 มกราคม 2554
เมื่อคืนต้องตื่นทั้งคืน เพราะพี่สาวเรียกให้ช่วยพาแกลุกนั่ง แล้วก็ต้องคอยนวดขา นวดแขนให้แก
เมื่อวันอาทิตย์เช้า เป็นวันแรกที่หนูหิ่ง ฯ นวดให้ พี่สาวจะบอกว่านวดแรง ๆ เหมย (น้อง) หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเปลี่ยนวิธีนวด
จากสองแขนขนานกัน หนูหิ่ง ฯ ก็เปลี่ยนเป็น 2 แขนกำรอบแล้วก็บีบเข้าหากัน อาจจะเป็นเพราะเท้าแกใหญ่ และบวม
มือหนูหิ่ง ฯ ก็เลยกำได้ไม่รอบ จึงต้องใช้วิธีนี้แทน พี่ซิงก็เลยแซวว่า หัดนวดให้เป็นนะ ถ้านวดไม่เป็นจะถูกไล่กลับบ้าน ^__^
จริง ๆ แล้ววันนี้หนูหิ่ง ฯ คิดว่าจะกลับไปนอนกลางวันที่บ้าน เพราะว่ากลางวันมักจะมีญาติ ๆ คนอื่นมาเยี่ยม จะนอนไม่ได้
แต่พยาบาลบอกว่า วันนี้จะมีหมอมาเยี่ยมดูอาการ 3 ท่านด้วยกัน หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่กลับ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย.....
เช้าวันนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็เลยมีหมอนวดประจำตัวถึง 2 คน มีหนูหิ่ง ฯ กับพี่ชายคนเล็ก พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ชอบให้พี่คนนี้นวดมาก
เพราะเขานวดกันมาก่อนหน้าที่หนูหิ่ง ฯ จะกลับเชียงใหม่ พี่โหย่งรักพี่สาวคนนี้มาก ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล ก็จะมาหาทุกวัน
แล้วก็อยู่จนค่ำหรือดึกค่อยกลับบ้าน หนูหิ่ง ฯ ถามว่าช่วงนี้ไม่ทำอะไรหรอ พี่โหย่งบอกว่าไม่ทำ ช่วงนี้เกาะเมียกิน นั่น ! เป็นงั้นไป
จริง ๆ แล้วช่วงนี้แกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรมากกว่า เพราะปรกติแกจะไปเหมาผักตามสวน หรือไม่ก็รับจ้างบรรทุกผัก
แล้วก็ทำสวนเองด้วย แต่ช่วงนี้พี่โหย่งไม่ทำอะไรเลย มาเฝ้าพี่สาวทุกวัน พี่โหย่งมือใหญ่ด้วยเขาก็เลยนวดได้น้ำหนักพอดี ๆ แบบรู้ใจกัน
เวลาประมาณ 9.00 น. หมอเจ้าของไข้ยังไม่มา แต่เป็นหมอที่ช่วยดูเกี่ยวกับโรคตับ หมอจะถามพี่สาวว่าเจ็บตรงไหน เจ็บยังไง
พี่สาวจะบอกต่อว่า " โหย่ง บอกหมอทีว่าพี่เจ็บตรงไหน " บอกด้วยเสียงค่อย ๆ หมอก็มองหน้างง ๆ พี่โหย่งก็เลยชี้แถว ๆ กระดูกสันหลังด้านซ้าย
แล้วบอกคุณหมอว่า " แกเคยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามว่าเจ็บตรงไหนให้ชี้บอกหมอ " หนูหิ่ง ฯ คิดว่าเป็นเพราะแกเอื้อมมือไปชี้ไม่ได้
แกก็เลยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามให้บอกแทนที หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่าพี่สาวบ่น ๆ เจ็บช่วงท้อง แล้วก็หูอื้อ
คุณหมอก็เลยกดดูที่ท้องแล้วก็ถามว่า เจ็บยังไง เจ็บหน่วง ๆ หรือเจ็บปวด ๆ อะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ แกก็บอกว่าไม่เข้าใจ
เวลาที่คุณหมอคุยกับพี่สาว จะคุยเสียงดัง เพราะคิดว่าแกไม่ได้ยิน แต่หนูหิ่ง ฯ คิดว่ายิ่งคุณหมอเสียงดัง มันจะไปสะท้อนในหูของแก
หนูหิ่ง ฯ ก็จะคอยบอกที่ริมหูของพี่สาวอีกที แล้วก็ถามใหม่ พยายามหาคำถามที่คิดว่าแกจะเข้าใจ เพราะบางทีคุณหมอถามแกจะงง ๆ
เช่น หูอื้อยังไง ลมออกหูหรือเปล่า แกก็ไม่เข้าใจ คงคิดว่าหูอื้อก็คือหูอื้อ ทำไมต้องถามว่าอื้อยังไง หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องบอกแกว่า หูอื้อแบบลมออกหูหรือเปล่า
คล้าย ๆ เวลานั่งเครื่องนาน ๆ เราต้องเอามือมาปิดจมูกแล้วหายใจออกแรง ๆ ลมก็จะสะท้อนออกหู แล้วเราก็จะรู้สึกดีขึ้น แกก็เลยพยักหน้า
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่า น่าจะเป็นเพราะพี่สาวไม่ได้กินอะไร กินแต่น้ำถั่วเหลือง+รังนก ก็เลยหูอื้อ เพราะหนูหิ่ง ฯ ก็เคยเป็น
คุณหมอก็เลยเรียกพี่ชายไปปรึกษาข้างนอก หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอยู่กับพี่สาว 2 คน ส่วนพี่ซิงกลับไปทำธุระที่ออฟฟิท แล้วไปเอาของที่บ้าน
พี่สาวบอกว่าช่วยพาตะแคงหน่อย หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปอยู่อีกด้านที่แกจะตะแคงไป แล้วก็เอื้อมมาโอบฝั่งตรงข้าม ดึงเข้าหาตัว ก็ช่วยให้แกตะแคงได้ครั่งเดียว
ส่วนตรงเอวไปถึงเท้าไม่ได้ตะแคง เพราะถ้าเทียบกันแล้วตัวแกใหญ่กว่าหนูหิ่ง ฯ มาก ก็เลยได้แค่นี้ หนูหิ่ง ฯ ก็โอบกอดแกไว้ ถ้าปล่อยแกจะพลิกคืน
เวลาพลิกตัวแรง ๆ จะเจ็บ บางทีพลิกค่อย ๆ ก็ยังเจ็บอยู่ดี ต้องคอยสังเกตสีหน้าตลอดเวลา ก็จะพอรู้ว่าตอนนี้แกรู้สึกยังไง
สักพักพี่สาวก็บอกว่า นอนเหมย นอน หนูหิ่ง ฯ ก็ค่อย ๆ ปล่อยให้เอนนอนลงไป สักพักแกก็บอกว่าเหมยพลิกตัว พลิกตัว หนูหิ่ง ฯ ก็ไปอยู่อีกด้าน
เอื้อมมือไปโอบช่วงไหล่ แล้วก็ดึงแกเข้ามากอดไว้ในท่าตะแคงครึ่งเดียว แล้วพี่สาวก็บอกว่าปวดจังเลยเหมย....ปวดจัง หนูหิ่ง ฯ ไม่รู้จะทำยังไง
ก็ได้แต่ลูบหลังให้แก แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา ไม่ได้ตั้งใจจะร้อง ไม่อยากร้องเลย เพราะกลัวแกเห็น กลัวคนอื่นเข้ามาเห็น
น้ำตายังไม่หยุดไหล.... สักพักแกก็บอกว่านอนเหมย.... นอน หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าเจ้หลับตานะ หลับตาไว้นะ แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ปล่อยแกนอน
แอบนั่งยอง ๆ แล้วก้มหน้าเช็ดน้ำตาใต้เตียงแกจะได้ไม่เห็น แล้วพี่ชายหนูหิ่ง ฯ ก็เข้ามา แกเห็นหนูหิ่ง ฯ ร้องไห้ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าพี่สาวบ่นเจ็บ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ทาแป้งเด็กกลบร่องรอยการร้องให้ พี่ชายบอกว่าหมอจะให้ไปอัลดร้าซาวด์เวลาบ่าย 2 เพื่อจะดูว่าตับเป็นยังไงบ้าง
สักพักพี่เขยหนูหิ่ง ฯ อยู่ อ.จอมทอง ก็มาถึง หนูหิ่ง ฯ สวัสดีแล้วยิ้มให้ แต่พี่เขยไม่ยิ้มเลย ดูผอมไปด้วย หลานฟางทำโซชิฝากมาให้กิน พร้อมกับน้ำเก็กฮวยแก้วใหญ่ ๆ
วันนี้ครบ 7 วันของการทำพิธีอะไรสักอย่าง ที่หนูหิ่ง ฯ บอกว่าให้ใส่เสื้อดำ แล้วก็ให้คนที่มีนักษัตรดวงเป็นศัตรูกันในแต่ละวันมาผูกข้อมือเรียกขวัญให้น่ะค่ะ
ก็จะมีมะพร้าวแก่ 2 ลูก เสื้อสีชมพู 2 ตัว ด้ายสีแดง 1 ถุง และกาละมัง จะทำการถอดเสื้อดำ แล้วใส่เสื้อใหม่ตอนบ่ายโมง
พี่สาวบอกไม่ให้ใช้กาละมังของโรงบาล เพราะไม่สะอาด หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกแกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะไปซื้อให้ใหม่
สักพักหมอเจ้าของไข้ก็มาตรวจ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเดินจากโรงบาลไปเซ็นทรัล ซึ่งอยู่หลังโรงบาลนี่เอง เดินไปดูที่ท็อป มีใบเล็ก ๆ สีดำ
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องไปดูฝั่งเซ็นทรัลที่ชั้น 3 ก็ได้ใบสีครีมมา 1 ใบ จริง ๆ แล้วอยากได้สีชมพู หรือขาว แต่ไม่มีค่ะ หนูหิ่ง ฯ ได้ส่วนลด 10 % ด้วย เพราะไม่ใส่ถุง
พนักงานขายบอกว่าช่วงนี้ที่ห้างมีโครงการลดภาวะโลกร้อน โดยไม่ใส่ถุง เพราะกาละมังใบใหญ่ ต้องใช้ถุงใหญ่ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าดีจังค่ะ หนูถือไปได้โรงบาลอยู่ตรงนี้เอง
ได้ส่วนลดตั้ง 10 % แถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอีก ได้กำไรหลายต่อนะเนี่ย ^__^ หนูหิ่ง ฯ เดินกลับถึงโรงบาลบ่ายโมงพอดี แม่หนูหิ่ง ฯ ก็มาถึงแล้ว
พี่เขยก็ให้แม่เป็นคนทำ โดยการถือลูกมะพร้าว 1 ลูก นำไปวนรอบศรีษะพี่สาว วนไปทางซ้าย 2 รอบพร้อมทั้งอธิฐานว่าให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
แล้วก็ส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำมะพร้าวใส่ในกาละมัง ส่วนแม่ก็นำมะพร้าวอีกลูกหนึ่งวนรอบศรีษะพี่สาวไปทางขวาอธิฐานเหมือนเดิม
แล้วส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำออกมาใส่ในกาละมัง แล้วก็ให้แม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวของหนูหิ่ง ฯ ซับน้ำมะพร้าวแล้วก็เช็ดจากหน้าผากไปด้านหลัง 2 ครั้ง
พร้อมทั้งอธิฐานให้หายจากการเจ็บป่วย เช็ดจากด้านหลังมาทางหน้าผาก 2 ครั้ง อธิฐานเหมือนเดิม แล้วก็ใส่ผ้าไว้ในกาละมัง
พี่เขยตักน้ำมะพร้าวให้พี่สาวบ้วนปากทิ้ง 2 ครั้ง ให้แกอธิฐานว่าขอให้หายจากการเจ็บป่วยทั้งภายในและภายนอก
เสร็จแล้วก็ถอดเสื้อดำออกไปใส่ไว้ในน้ำมะพร้าว นำกรรไกรตัดด้ายดำที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง ใส่รวมกันไว้ในน้ำมะพร้าว
แล้วก็ให้แม่นำด้ายแดงมาผูกเรียกขวัญที่คอและข้อมือทั้ง 2 ข้าง วันนี้เป็นวันที่นักษัตรปีวอก กับปีเสือไม่ถูกกัน พี่เขยหนูหิ่ง ฯ เกิดปีวอก
วอกออกหากินตอนกลางวันก็เลยผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางวัน ส่วนพี่ซิงเกิดปีเสือ ต้องผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางคืน
สำหรับสิ่งของที่อยู่ในน้ำมะพร้าวก็ช่วยกันซับน้ำมะพร้าวในกาละมังจนหมด พี่เขยเทใส่ถุง แล้วบอกว่าจะนำไปใส่ไว้ในโลงกระดาษสีดำ
แล้วให้น้าที่เป็นหนาน (คนเคยบวชเรียนค่ะ) ไปทำพิธีสวดเป็นเวลา 7 วัน โชคดีที่ช่วงนี้หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ มีพระสงฆ์จากหลาย ๆ ที่ไปเข้ากรรมฐาน
วันนี้วันที่ 17 ตอนเย็นจะเป็นวันแรกของพิธีกรรม รวมทั้งหมด 9 วัน มีจำนวนพระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มากว่า 80 รูปแล้วค่ะ
ปีนี้เยอะกว่าทุก ๆ ปี คาดว่าน่าจะมากันเกินกว่า 100 รูปในตอนเย็น
ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ เป็นเจ้าภาพน้ำดื่ม - กาแฟ และผ้าห่มทุกปี ส่วนเจ้าภาพเรื่องอาหารก็ช่วย ๆ กันหลายหมู่บ้านค่ะ แม่บ้านนุ่งขาว ไปช่วยกันทำอาหาร
ตอนเย็นหลาย ๆ คนก็นุ่งขาวไปปฏิบัติธรรมและนอนที่รวมกันที่ศาลา ช่วงนี้อากาศเย็นมาก มากันเยอะแบบนี้ไม่รู้ว่าผ้าห่มจะพอหรือเปล่านะ
ปีที่ผ่านมาหลานหนูหิ่ง ฯ ถักหมวกสีจีวรพระไปถวาย ปีนี้ไม่ได้ทำเพราะหลานมีลูกเล็ก ๆ ชื่อน้องหวา หวา อายุจะ 5 เดือนวันที่ 20 นี้และพี่สาวก็ป่วยด้วยค่ะ
หลังจากน้าหนานนำโลงสีดำไปให้พระสงฆ์สวดทำพิธีครบ 7 วันแล้ว ก็ให้เผาค่ะ แล้วพี่เขยหนูหิ่ง ฯ กับแม่ก็กลับขึ้นไปบ้านที่บนดอยแม่โถ
พอพี่เขยออกไปสักพักพี่ซิงก็กลับมา แล้วก็เห็นผ้าดำที่หมวกยังไม่ได้ตัดไป ก็เลยโทร.ถามพี่เขยว่าจะให้ขับรถไปส่งให้ไหม ? หรือว่าจะให้ทำยังไง
พี่เขยบอกว่าให้ไปใส่ไว้ในเมรุก็ได้ แล้วอธิฐานขอให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วย หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอาสาไปใส่ให้ที่เมรุประตูหายยา
พอพี่สาวไปอัลดร้าซาวด์ มีพี่โหย่งไปเป็นเพื่อนแล้ว หนหิ่ง ฯ ก็เลยที่เมรุ ไปถึงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ปรากฎว่าเตาเผาเขาปิดไว้ด้วยเหล็กแผ่น
หนูหิ่ง ฯ เห็นมีรอยอ้าอยู่นิดนึง ก็เลยงัดแล้วหยอดผ้าดำลงไป พร้อมทั้งอธิฐานว่าให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วยด้วยเถิด
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็แวะกลับไปที่บ้านอยู่ตรงข้ามกับสวนราชพฤกษ์ หนูหิ่ง ฯ ลืมนาฬิกาข้อมือ กับสร้อยลูกปัดสีเขียวที่พระอาจารย์ที่วัดท่าตอนให้มาในวันเกิด
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เอาขนมโมจิกับถ้วยฟูที่ซื้อมาจากสุพรรณไปแขวนไว้ที่กุญแจหน้าบ้านเพื่อน เพราะเพื่อนไปทำงาน แล้วก็กลับไปที่โรงพยาบาล
ช่วงนี้หนูหิ่ง ฯ คงอยู่โรงบาลทุกวันจนกว่าพี่สาวจะออกจากโรงบาลค่ะ หนูหิ่ง ฯ ไปต่างจังหวัดบ่อย ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างอยู่ในรถอยู่แล้ว
ก็เลยไม่มีอะไรมาก ต้องการอะไรก็ไปหยิบที่รถ รถเป็นบ้าน บ้านเป็นรถเจ้าค่ะ
สักพักผู้ช่วยพยาบาลก็เข็นเตียงพี่สาวกลับมาที่ห้อง (ไปทั้งเตียงค่ะ ไม่ได้ไปเตียงเล็ก เพราะเวลาเคลื่อนย้ายต้องระวังกระดูกค่ะ)
เวลาประมาณ 6 โมงเย็น พี่ชายคนที่ 2 กับพี่สะไภ้ก็มา สักพักเพื่อนบ้านที่แม่โถก็มา หลานสาวที่แต่งงานไปอยู่ป๋างอุ๋งก็มาพร้อมกับน้ำพริกปลาทู ^__^
คราวนี้มีคนเยี่ยมสิบกว่าคนเต็มห้อง ต้องแบ่งกันนั่งโซฟาบ้าง พื้นบ้างตามถนัด
คราวนี้พี่สาวเลยได้หมอนวดรอบเตียง นวดพร้อมกันที่ละ 4 คน แขน 2 ข้าง ขา 2 ข้าง
เวลาประมาณ 2 ทุ่มทุกคนก็กลับ เหลือพี่ซิงกับหนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้า 2 คน
เมื่อคืนหนูหิ่ง ฯ ปล่อยให้พี่ซิงหลับ เพราะแกเฝ้ามาตั้งแต่พี่สาวเข้าโรงบาล หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่ได้นอน กลางวันก็ไม่ได้นอนเลย
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกพี่ซิงว่าขอนอนก่อนนะ แล้วค่อยเปลี่ยนกัน ประมาณ 3 ทุ่มหนูหิ่ง ฯ ก็หลับไม่รู้เรื่อง พี่ซิงหลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เวลาประมาณ 23.30 น. เพราะได้ยินเสียงเรียกเหมย เหมยเอ้ย เบา ๆ แลไปเห็นพี่ซิงหลับ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลุกไปหา
แกบอกว่าอยากลุก หนูหิ่ง ฯ ก็เลยประคองลุกขึ้นนั่ง ลำบากนิดหน่อยเพราะแกตัวโตกว่า แล้วข้อมือซ้ายของหนูหิ่ง ฯ ก็อักเสบนิดหน่อย
อาศัยยาพ่นจากโรงบาลพญาไท 2 ที่เหลือจากครั้งกล้ามเนื้อหลังอักเสบ ทำให้ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่ อีก 2 วันคงหายค่ะ
นั่งหลับตาสักพักแกก็ทำหน้านิ่วบอกว่าเจ็บจังเลย หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลูบหลังให้ ประมาณ 40 นาที หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่านอนไหม แกพยักหน้า
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยปล่อยให้แกนอน เอาหมอนข้าง 2 ใบประคองไว้ข้าง ๆ ห่มผ้าที่ขา แล้วก็เอาผ้าพันคอคลุมคอไว้ แกชอบอากาศเย็น จึงเปิดแอร์เย็นมาก
กลัวว่าถ้าคอเย็นแล้วแกจะไอค่ะ เพราะหนูหิ่ง ฯ เป็นคนขึ้หนาว ถ้าคอเจอความเย็น หรือพัดลมเป่าที่หน้า เช้ามาก็จะไอ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็มานั่งพิมพ์บันทึกนี้ล่ะค่ะ พอมาดูหน้าโน้ตบุ๊คก็เจอข้อความของเพื่อนว่าได้รับขนมแล้ว ประทังความหิวได้ ^__^
แล้วซันจีสเพื่อนจากอินเดียก็ข้อความมาที่เฟทบุ๊คว่าจะเมลล์รูปแม่ - พี่สาว - น้องสาวมาให้ได้ที่ไหน หนูหิ่ง ฯ ก็เลย SMS กลับไป คงเข้าไปที่มือถือแล้วค่ะ
ประมาณปลายเดือนซันจีสบอกว่าจะกลับอินเดีย หนูหิ่ง ฯ ว่าจะหาซื้อตุ้มหูเงินที่เชียงใหม่ฝากไปให้ค่ะ ก็เลยขอให้แกส่งรูปมาให้ จะได้รู้ว่าควรซื้อแบบไหน ^__^
คืนนี้หนูหิ่ง ฯ คงนั่งหน้าคอม ฯ เฝ้าแกทั้งคืน เพราะตาสว่างแล้ว ไม่รู้สึกง่วงเลย
คืนนี้แกเรียกหาเหมย ซึ่งก็คือหนูหิ่ง ฯ ในขณะที่คืนก่อน ๆ แกจะเรียกหาแต่พี่ซิง
ปรกติหนูหิ่ง ฯ จะนอนไวอยู่แล้ว แกเรียกเบา ๆ ก็จะได้ยิน บางทีเสียงแกขยับตัว หรือลูบท้อง ก็ยังได้ยิน แล้วก็ลุกไปดู
แกไม่ชอบห่มผ้า เพราะบ่นว่าร้อน หนูหิ่ง ฯ ก็จะบอกว่าห่มนิดนะ เพราะกลัวว่าจะเป็นปอดบวมอีก คราวก่อนหมอบอกว่าเป็นปอดบวม (น้ำท่วมปอด)
นั่นเป็นเพราะพี่ไม่ชอบห่มผ้า ก็ต้องค่อย ๆ บอกเหตุผลให้ฟัง แกก็จะพยักหน้า แล้วก็ค่อยห่มให้แกค่ะ ไม่งั้นแกก็จะดึงออกเหมือนเด็ก ๆ ^__^
คืนนี้ร้องให้นิดเดียว พยายามที่จะไม่ร้องแล้วนะ แต่บางทีน้ำตาก็ไหลออกมาเอง ไม่เป็นไรไม่มีใครเห็น *__~
17 มกราคม 2554 01:11 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
วันนี้วันอาทิตย์ ที่ 16 มกราคม 2554
หนูหิ่ง ฯ กลับมาถึงเชียงใหม่เมื่อวันเสาร์เย็น ๆ เข้าไปเก็บข้าวของบางส่วนไว้ที่บ้าน แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ไปหาพี่สาวที่โรงบาล
กะว่าจะนอนเฝ้าแกที่โรงบาล แต่พอสี่ทุ่ม แกก็บอกให้กลับ ให้พี่ซิงเฝ้าคนเดียว หนูหิ่ง ฯ ก็เลยกลับไปนอนบ้าน
กว่าจะนอนได้ก็เกือบตี 3 ตื่นอีกทีพี่ซิงโทร.มาเรียกให้ตื่นไปโรงบาล หนูหิ่ง ฯ ก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นอาบน้ำไปโรงบาล
พี่ซิงบอกว่าพี่หลั่งเรียกทุกชั่วโมงเลย เพราะแกปวดมาก จะทำยังไงดี ? ? ? ไม่อยากให้แกต้องทรมาณกับการปวดไปทั้งตัวแบบนี้
หลายครั้งต้องพึ่งมอร์ฟีน ทั้งฉีด แปะ กิน *__~
นึกได้ว่าเมื่อวานตอนเช้ากะลังขับรถไปสุพรรณ พี่อรัญการเงินตร.ตราดโทร.มาเรื่องยา เพราะพี่ชายเขาก็เป็นมะเร็งตับ
ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว แต่พี่อรัญเล่าให้ฟังว่า.... พี่ชายแกไม่มีอาการเจ็บปวดทรมาณเลย เพราะกินยาตัวหนึ่ง ชื่ออะไรก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าเป็นยาของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ฯ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยรบกวนให้พี่เขาช่วยหากล่องใส่ยา หรือชื่อยาให้หน่อย จะได้ให้พี่หลั่งกินบ้าง
อย่างน้อยแกจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาณแบบนี้
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยโทร.ไปหาอีกครั้ง พี่เขาก็บอกว่ายาชื่อ ปะดง กล่องสีฟ้า ของบริษัท กรุงเทพทิพโอสถ
เช้าวันนี้หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปหาที่เซ็นทรัล ถามเภสัชหลายร้าน เขาก็ทำหน้าไม่รู้จัก แล้วก็บอกว่าไม่มี
หนูหิ่ง ฯ เดินหาจนจะ 11.00 น. ก็คิดว่าไปหาข้อมูลในเน็ทแล้วก็ไล่โทรถามดีกว่า
หนูหิ่ง ฯ ก็หาคำว่ายาปะดง ก็เจอแต่เป็นกล่องสีแดง เป็นของห้างขายยาตาเสือมังกร แล้วภาคเหนือมีขายที่ อ.งาว จ.ลำปาง
หนูหิ่ง ฯ ก็หาเบอร์แล้วก็โทร.ไปถาม เขาบอกว่าตอนนี้ไม่ได้ขายแล้ว โทร.ถามร้านขายยาในเชียงใหม่ก็ไม่มี *__~
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยหาข้อมูลใหม่ หาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปเจอกระทู้หนึ่ง เขาบอกว่ามีขายที่
1. ร้านค้าสวัสดิการของกรมราชองครักษ์ แถววัดเบญ 2. ร้านจิตรลดา ในสวนจิตร 3. พระราชวังไกลกังวล ที่หัวหิน
แล้วหนูหิ่ง ฯ จะไปซื้อยังไงเนี่ย โทร.ถามเบอร์ร้านค้าสวัสดิการ แต่ก็ได้เบอร์ของกรมราชองครักษ์มา
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยโทร.ถาม พี่เขาบอกว่าร้านเปิดวันและเวลาราชการ ไม่มีบริการส่งทางไปรษณีย์
แต่ถ้าต้องการพี่เขาจะไปซื้อส่งให้ก็ได้ ให้เบอร์มือถือมาด้วย ขอบคุณค่ะพี่อำนาจ พี่ใจดีจริง ๆ
หนูหิ่ง ฯ บอกว่าหนูหิ่ง ฯ ต้องการด่วน ก็เลยจะให้เพื่อนไปซื้อแล้วส่งอินทราทัวร์มาให้
วันอังคารเช้าจะได้ไปรับได้เลย เพราะตอนนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ น่าสงสารมาก แค่เห็นหน้าเขาหนูหิ่ง ฯ ก็น้ำตาตกในแล้ว
ไหลออกมาข้างนอกไม่ได้ ต้องยิ้มอยู่เสมอ บางทีทนไม่ไหวก็ไปแอบร้องให้ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครเห็น
วันนี้พี่หลั่งอนุญาตให้หนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้าที่โรงบาลกับพี่ซิง ขณะนี้นั่งพิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไป พี่ซิงหลับแล้ว
พี่หลั่งก็กว่าจะนอนได้ ต้องไปนวดให้ไม่รู้กี่ครั้ง ทุกครั้งที่แกเรียก เหมือนว่าแกจะเกรงใจมาก
พอหนูหิ่ง ฯ ลุกขึ้น แกก็จะยิ้มให้ แล้วบอกว่าปวดมาก เสียงพูดก็ไม่ค่อยได้ยิน ต้องให้อ็อกซิเจนด้วย
หนูหิ่ง ฯ ก็จะไปนั่งข้าง ๆ นวดให้เบา ๆ นวดแรงไม่ได้แกจะยิ่งเจ็บ หมอบอกว่าตอนนี้กระดูกพรุนไปหมดแล้ว
ห้ามลุกจากเตียง เพราะถ้าล้มกระดูกจะหัก เวลาเอ็กซเรย์ โรงบาลก็จะเข็นเครื่องมาทำให้ที่ห้อง
ต้องขอให้แกใส่แพมเพิร์ส เพราะลุกนั่งลำบาก หนูหิ่ง ฯ จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี
เวลามีแขกมาเยี่ยม แกจะฝืนยิ้มให้ทุกคนเสมอ ทั้ง ๆ ที่เจ็บปวดทรมาณขนาดนั้น
บ่ายวันนี้หนูหิ่ง ฯ ได้ข้อมูลมาแล้ว ก็เลยโทร.หาตุ่น วานตุ่นเป็นธุระไปหาซื้อยาปะดงพระสังข์ทรงช้างให้หน่อย
ตุ่นก็รับปากจะไปซื้อให้วันจันทร์ ถ้าไปไม่ได้จะจ้างคนไปซื้อให้ แล้วก็จะส่งให้ที่อินทราทัวร์ประตูน้ำ
ขอบใจมากนะเพื่อน ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่ หนูหิ่ง ฯ คงต้องนั่งรถเครื่องไปซื้อเองแล้ว เพราะใจร้อน
ไม่อยากเห็นใครต้องทนทรมาณแบบนี้เลย....
พี่เขยหนูหิ่ง ฯ ไปได้พิธีกรรมอะไรมาก็ไม่รู้ ให้พี่หลั่งใส่เสื้อดำ แล้วก็ให้คนเกิดปีที่เป็นศัตรูกันในแต่ละวัน
มาผูกข้อมือให้เป็นเวลา 7 วัน อยากรู้ก็ดูปฏิทินของจีนจะมีบอกไว้
วันนี้วันที่ แพะ เป็นศัตรูกับ ฉลู หนูหิ่ง ฯ เกิดปีฉลู ก็เลยได้ผูกข้อมือให้พี่หลั่งด้วย
พี่ชายหนูหิ่ง ฯ เกิดปีแพะ ก็เลยไม่ต้องไปหาใคร
สายสิญจน์สีดำ มีกี่เส้นก็ไม่รู้ แต่ให้ดึงออก 2 เส้น แล้วก็ไปป้ายที่ศรีษะของแกจากหน้าผากไปด้านบน 2 ครั้ง
แล้วพูดว่า ขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แล้วก็ทำแบบเดียวกันที่ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง
แล้วนำสายสิญจน์ที่เหลือผูกข้อมือให้แก
หนูหิ่ง ฯ ก็อธิฐานว่า.... เนื่องด้วยในวันนี้เป็นวันที่แพะกับวัวเป็นศัตรูกัน หนูหิ่ง ฯ เกิดปีฉลู จึงขอผูกสายสิญจน์เรียกขวัญให้
ขอให้พี่หายจากโรคภัยทั้งหลาย ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน อยู่กับสามี แม่ น้อง ลูกและหลานไปอีกนานแสนนาน
สำหรับบุญกุศลที่หนูหิ่ง ฯ ได้กระทำมา ขอได้โปรดดลบันดาลให้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ อย่าได้เจ็บปวดทรมาณเลย
หากแม้นว่าหนูหิ่ง ฯ มีอายุยืนยาว ก็ขอให้ท่านยมพบาลแบ่งให้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ สัก 10 ปี หรือ 20 ปี ก็ได้
พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็ยิ้มให้ แล้วพูดว่า อยู่ด้วยกันนาน ๆ จะถูกแกบ่น - ด่าทุกวันนะ หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าไม่เป็นไร
หนูหิ่ง ฯ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านให้ด่าอยู่แล้ว แกก็พูดว่าขอบใจนะ
แล้วก็ทำซ้ำเหมือนเดิมอีกรอบ เพราะต้องผูกข้อมือทั้ง 2 ข้าง ส่วนด้ายที่ดึงออกมาข้างละ 2 เส้น
ให้ไปทิ้งไว้ใต้ต้นกล้วย หนูหิ่ง ฯ ต้องไปทิ้งพรุ่งนี้ เพราะว่าวันนี้อยู่เฝ้าแกที่โรงบาล แล้วก็ติดต่อเรื่องยา
กลางคืนก็นอน - นั่งเฝ้าแกต่อ ไม่ได้ไปไหน
ขณะที่พิมพ์ แกก็เรียกให้ไปช่วยพาแกลุกหลายครั้ง แกก็จะยิ้มให้ทุกครั้ง บอกว่าอยากลุก
บอกว่าปวดจังเลย หนูหิ่ง ฯ ก็จะไปนั่งข้าง ๆ เป็นเพื่อน จับมือไว้บ้าง นวดให้แกบ้าง แต่ไม่ชวนคุย เพราะแกรำคาญ
พอแกบอกจะนอน หนูหิ่ง ฯ ก็ปรับที่นอนลง แล้วก็มานั่งพิมพ์ต่อ
ถ้าแกลืมตาหันมาเห็น ก็จะถามว่าทำไมยังไม่นอน หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าพิมพ์งานอยู่ ยังไม่ง่วง จะได้อยู่เป็นเพื่อนพี่ไงคะ
วันนี้คงจะพิมพ์แค่นี้ เป็นการระบายความเครียด คืนนี้คงจะนอนไม่หลับทั้งคืน
ไม่เป็นไร ให้พี่ซิงหลับไปเพราะแกอดนอนมาหลายคืนแล้ว พี่หลั่งไม่ยอมให้คนอื่นนอนเฝ้าแกเลย
อาจจะไม่อยากให้เขาเห็นแกตอนปวด - ทรมาณหรือเปล่า หรือจะเป็นเพราะรำคาญ หรือกลัวคนเฝ้ารำคาญแก
แต่หนูหิ่ง ฯ ดีใจนะที่วันนี้แกให้หนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้า พี่ซิงจะได้หลับพักผ่อนบ้าง
ส่วนหนูหิ่ง ฯ ถ้าง่วงก็จะกลับไปนอนที่บ้านตอนกลางวัน เพราะนอนที่โรงบาลมีคนเข้า ๆ ออก ๆ ทั้งวัน คงไม่หลับ
หากพี่ ๆ ท่านใดเข้ามาอ่าน หนูหิ่ง ฯ ก็ขอให้ช่วยส่งกำลังใจให้ด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ^__^
16 มกราคม 2554 22:18 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
* * * พี่เลี้ยง * * *
จริง ๆ แล้วจะบอกว่าหนูหิ่ง ฯ จำได้ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะขณะนั้นยังเด็กเกินไป ส่วนใหญ่ก็ฟังคนอื่นเล่าอีกทีค่ะ
ที่หมู่บ้านของหนูหิ่ง ฯ มีสำนักงานการเกษตร ที่เกษตรจะปลูกกาแฟ สตอบอรี่ ปลูกท้อ มะม่วง ผลไม้หลายอย่าง และดอกกุหลาบ
แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ของเกษตรมาคอยส่งเสริมให้ชาวเขาหันมาปลูกกาแฟนแทนการทำไร่เลื่อนลอย
ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่เกษตรจะเป็นผู้ชายแล้วก็โสด เพราะคนที่มีครอบครัวคงไม่มีใครยอมห่างจากเมืองกรุงไปอยู่ป่าอยู่ดอยแสนไกลขนาดนั้น
ไฟฟ้า น้ำประปาก็ไม่มี ต้องไปตักที่บ่อน้ำประจำหมู่บ้านมาใว้ใช้งาน ต้องไปพบปะชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่พูดรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
สิ่งที่มีเพื่อการบรรเทิง ก็จะเป็นวิทยุ เทป กีตาร์ แล้วก็เมาท์ออแกน เพื่อคลายความเหงา และฆ่าเวลาไปด้วยในตัว
หลังจากที่หนูหิ่ง ฯ ลืมตาออกมาดูโลกได้ 3 เดือน พี่ ๆ ที่เกษตร ก็มีของเล่นใหม่ เป็นตุ๊กตาตัวกลม ๆ กินได้ อึได้ ร้องไห้ได้
ทุก ๆ เช้าพี่ ๆ ที่เกษตรเขาจะผลัดกันมาอุ้มหนูหิ่ง ฯ ไปเล่นที่สำนักงานเกษตร
ผลัดกันชงนมให้กินเมื่อหนูหิ่ง ฯ ร้องให้
เคี้ยวข้าวป้อนให้เมื่อหนูหิ่ง ฯ พอกินได้ ล้างอึ เช็ดฉี่ให้ แล้วก็อาบน้ำปะแป้งให้เสร็จสรรพ ตอนเย็นก็อุ้มกลับมาส่งให้แม่
แม่จึงบอกหนูหิ่ง ฯ เสมอว่า หนูหิ่ง ฯ เป็นลูกคนข้างบ้าน เพราะแม่ไม่ค่อยได้เลี้ยงเลย มีแต่คนเอาไปเลี้ยงให้
จนกระทั่งโต ก็ยังมีคนอื่นช่วยเลี้ยงอยู่ดี ^__^ คือจะไปโตตามบ้านเพื่อน ไปอาศัยข้าวเพื่อนกิน ไปอ้อนพ่อ - แม่ของเพื่อน
จนเพื่อนมันเขม่นก็หลายที ^__^
เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา หนูหิ่ง ฯ จึงขอให้แม่พาไปตามหาพี่ ๆ ที่เคยเลี้ยงหนูหิ่ง ฯ ตอน
เด็ก ๆ แม่ก็พาไปหา ปรากฎว่าเจออยู่คนเดียว
ส่วนคนอื่น ๆ แม่ไม่รู้ว่าเขาย้ายไปอยู่กันที่ไหน เพราะเวลาก็ผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้ว บางคนเกษียณอายุราชการไปแล้ว
บางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว คนที่เจอชื่อพี่ยงยุทธ ตอนนี้พี่เขาเกษียณแล้ว อาศัยอยู่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
หนูหิ่ง ฯ จำไม่ได้เลย แต่พี่เขาจำหนูหิ่ง ฯ ได้ แปลกใจจัง เห็นบอกว่าหนูหิ่ง ฯ หน้าไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ ^__^
หนูหิ่ง ฯ ซื้อกระเช้าไปกราบขอบคุณ แล้วก็ใส่ซองให้นิดหน่อย แล้วก็ดีใจมากที่หาพี่เขาเจอ
ถ้ามีโอกาสจะพยายามหาคนอื่น ๆ ที่เหลือ แต่แม่จะจำได้แต่ชื่อเล่นบ้าง ชื่อจริงบ้าง นามสกุลจำไม่ได้ ก็เลยหายากหน่อยค่ะ
ขอโทษนะคะพี่เลี้ยงจำเป็นทั้งหลาย
ปล. หากใครเคยทำงานอยู่เกษตรแม่โถ ต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ แล้วเคยเลี้ยงเด็กหญิงตัวกลม ๆ ตาดำ ๆ
กรุณาติดต่อกลับมาด้วยนะคะ
* * * ครูเด็กเล็ก * * *
จริง ๆ แล้วที่หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ ไม่มีชั้นเด็กเล็ก ไม่มีอนุบาล มีก็ประถม 1 - ประถม 4 ถ้าจะต่อก็ต้องไปต่อหมู่บ้านอื่น
สถานที่ตั้งของโรงเรียนก็อยู่ห่างจากบ้านหนูหิ่ง ฯ ไปเกือบ 3 กิโลเมตร ทุก ๆ เช้าเด็ก ๆ ก็จะพากันเดินไปโรงเรียนพร้อมห่อข้าว
หนูหิ่ง ฯ เริ่มไปโรงเรียนตอนประมาณ 4 ขวบ เดินไม่ไหวก็พี่ชายแบกบ้าง อุ้มบ้าง พี่ชายชอบบ่นว่าหนูหิ่ง ฯ ขึ้เกียจเดิน
จะร้องโยเยให้แบก ก็จำต้องเปลี่ยนกันแบกใส่หลังเดินไปโรงเรียน ^__^ นิสัยดีตั้งแต่เด็ก ๆ เนาะ
ทางไปโรงเรียนจะผ่านโค้ง ๆ หนึ่ง แล้วตรงนั้นจะมีต้นไม้ใหญ่มาก เด็ก ๆ ก็จะถูกขู่ว่าให้ระวังผีนะ
ดังนั้นพอจะผ่านโค้งต้นไม้ใหญ่นี้ ก็จะปาดอุ้งเท้า แล้วเอามาป้ายที่ศรีษะ ผีจะได้ไม่เห็น ^__^ คนดอยเขามีวิธีหลอกผีด้วยนะคะ
บางทีก็จะแกล้งวิ่งทิ้งกัน ทำเสียงหลอกกันก็มี เด็ก ๆ ที่หมู่บ้านนี้ก็เลยมีนิสัยชิบแกล้ง *__~ นิสัยดีกันทั้งหมู่บ้านเลย
อาจารย์ที่สอนชื่ออาจารย์ธนูศักดิ์ โรงเรียนนี้มี 4 ชั้น นักเรียนมีน้อย ทั้งโรงเรียนมีครูสอนอยู่คนเดียว
ถึงตอนนี้หนูหิ่ง ฯ ก็นึกไม่ออกว่าครูสอนได้ยังไง ?
จำได้ว่าหนูหิ่ง ฯ ซนมาก โดดหน้าต่างเล่นก็มี ปีนต้นฝรั่งจนตกลงมาก็มี ครูดุก็ไม่
เคยกลัวสักกะที ก็มันไม่มีอะไรให้เล่นนินา.... เนาะ
บางครั้งหนูหิ่ง ฯ เป็นไข้ ไม่สบาย เลือดกำเดาไหล ก็ต้องไปโรงเรียน ต้องไป
นอนที่เก้าอี้เรียน จนพี่ ๆ เขาต้องยืนเรียน
เพราะว่าอยู่บ้านก็ไม่มีใครดูแล คนโตทุกคนต้องไปทำไร่ทำสวนเลี้ยงสัตว์ เด็ก ๆ
จึงถูกยัดเยียดให้พี่ ๆ ที่เรียนอยู่และครูเป็นผู้ดูแลแทน
* * * ครูประถม * * *
พอเรียนหนูหิ่ง ฯ เข้าเรียนชั้นประถมโรงเรียนก็ย้ายมาอยู่ใกล้บ้านหน่อยประมาณ 1 กม. ดีจัง ไม่ต้องเดินไกล
ครูก็เริ่มมีหลายคน ครูคนแรกชื่อครูสมศักดิ์ ครูเลาสือ ครูบุญยิ่ง ครูมยุรี ครูต้อย
เด็ก ๆ บนดอยก็มีกีฬาดอย ๆ ให้เล่น เช่น
เดินต่อขา : ก็จะตัดไม้ไผ่มา 2 ลำเล็ก ๆ พอเหมาะมือ ลำต้นแข็งแรงความยาวเท่าตัว หรือยาวกว่า เลาะกิ่งออก
เหลือไว้กิ่งตรงโคนกิ่งเดียวลำไผ่ด้านที่เลยกิ่ง ให้เหลือความยาวประมาณครึ่ง
ไม้บรรทัด แล้วก็ตัดกิ่งให้พอเท้าเหยียบ
วิธีเล่น : ก็ให้จับลำไผ่แน่น ๆ ทิ่มไผ่ด้านที่มีกิ่งลงดิน แล้วก็ใช้ความสามารถพิเศษขึ้นเหยียบ ทีละข้าง แล้วก็เดิน
ข้อสังเกตุ : ยิ่งทำสูงเท่าไหร่ เวลาเดินก็จะไกลเท่านั้น แต่การทรงตัวจะลำบากนิดหนึ่งค่ะ สนุกดีนะคะ
ควบกะลา : ก็จะนำกะลามะพร้าวด้านที่มีรูมา 2 กะลา แล้วก็ใช้เชือกยาวประมาณเมตรเศษ ๆ ผูกกะลาไว้ด้านละข้าง
วิธีเล่น : จับเชือกด้านกึ่งกลางของทั้ง 2 กะลา แล้วก็ขึ้นไปเหยียบกะลาโดยใช้นิ้วคีบไว้ คล้ายกับใส่รองเท้า แล้วก็เดิน
ข้อสังเกตุ : ต้องเลือกกะลาดี ๆ เวลาเดินระวังกะลาแตก และอาจเกิดเสียงดังหนวกหู และก็เจ็บนิ้วชี้ - โป้งได้
การเล่นทั้ง 2 อย่างนี้ปรกติจะเล่นหลาย ๆ คน แล้วก็แข่งกันเดินว่าไครจะเดินถึงปลายทางก่อนกัน โดยเท้าไม่ลงพื้น
จริง ๆ แล้วการละเล่นก็มีหลายอย่าง เช่น หมากเก็บ ไม้เก็บ ตี่จับ เตย หลบบอล โดดเชือก โดดสูง ฯลฯ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ใช้วัสดุที่หาได้และทำเองง่าย ๆ ค่ะ
ถึงแม้โรงเรียนหนูหิ่ง ฯ จะเป็นโรงเรียนบนดอย นักเรียนไม่เยอะ ก็ยังคงมีหมอไปฉีดยาวัคซีนให้เด็ก ๆ
แต่หนูหิ่ง ฯ จะหนีตลอด เพราะกลัวเข็มฉีดยา วิธีการหลบ
1. ก็ไม่อยาก ปีนหน้าต่าง แล้วไปซ่อนในห้องน้ำแค่นี้ก็ไม่มีใครหาเจอแล้ว พอหมอไป ไอ้หนูหิ่ง ฯ ก็ออกมา
2. เข้าป่าไปเลย เพราะรอบโรงเรียนเป็นป่า ไปหลบในนั้น ก็ไม่มีใครหาเจออีกเหมือนกัน
3. หนีให้ไกลหน่อยก็ไปเก็บผักจิ้มน้ำพริกหรืองมหอยในนาล่างโรงเรียน เย็น ๆ ก็ทำเนียนกลับบ้าน
4. หรือไม่ก็ไปเก็บผลไม้ป่ากินฆ่าเวลา เย็น ๆ ก็ค่อยกลับบ้าน
ห
นูหิ่ง ฯ ใช้ทุกวิธี ก็เลยไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย จนกระทั่งถึงการปลูกฝี ทีนี้ครู & หมอไปดักรออยู่หน้าบ้าน
ห้า ๆ ๆ พอตกเย็นหนูหิ่ง ฯ เดินกลับบ้านก็เลยถูกจับปลูกฝี ดังนั้นที่ไหล่ก็จะมีรอยแผลเป็นอยู่รอยเดียว
ในขณะที่คนอื่นมี 2 - 3 รอย ตอนเด็ก ๆ ภูมิใจมากที่หนีครูกะหมอได้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทำไม่ดีเลย *__~
ขอโทษค่ะครู ขอโทษค่ะหมอ
ด้วยความที่เด็กนักเรียนมีน้อย เวลาเล่นอะไรก็ต้องเล่นด้วยกัน เด็กผู้ชายจะชอบเล่นกว่าง เล่นโยนเหรียญที่ทำมาจากฝาน้ำอัดลม
เล่นดีดหนังยาง ยิงนก ตกปลา เด็กผู้หญิงอย่างหนูหิ่ง ฯ ก็เล่นกะเขาได้ทุกอย่าง
สนุกดี บางทีก็ถูกเด็กผู้ชายแกล้งเอา
ที่ทนไม่ได้ก็คือ เด็กผู้ชายชอบเปิดกระโปรง อยู่ ๆ ก็วิ่งมาเปิดกระโปรง แล้วก็วิ่งหนีไป หัวเราะไป
ยิ่งถ้าเห็นใส่กางเกงในสีอะไรจะเอามาแซวเป็นอาทิตย์ เด็กผู้หญิงก็เลยต้องขนขวายหากางเกงขาสั้นมาใส่
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หนูหิ่ง ฯ อารมย์ไม่ดี แล้วเพื่อนผู้ชายก็มาเปิดกระโปรง หนูหิ่ง ฯ ก็วิ่งไล่จนทัน
เสร็จแล้วก็ตูมเข้าให้ ปรากฎว่าเลือดกำเดาออก งื้อ ! ไม่ได้ตั้งใจให้เลือดตกยางออกนะ แต่มันโมโหนิ ก็เลยชกแรงไปหน่อย
ขอโทษนะเย๊ะนะ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เข้าเมืองเชียงใหม่เพื่อเรียนมัธยมต้นที่วัฒโนทัยพายัพ ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด
หนูหิ่ง ฯ เลือกเรียนสายพาณิชย์ เพราะคิดว่าจบมาแล้วหางานง่ายกว่า ถ้าเรียนสายวิทย์ต้องต่อ ป.ตรี ไม่มีตังค์
สมัยนั้นเขาจะให้เลือกเรียนสายวิทย์ หรือพาณิชตั้งแต่ตอน มอ 2 เพื่อที่จะเตรียมให้เด็กสามารถไปเรียนต่อได้ดีขึ้น
ซึ่งก็จริง เพราะหนูหิ่ง ฯ ได้เรียนพิมพ์ดีดและบัญชีตอน มอ 3 หลังจากจบแล้วหนูหิ่ง ฯ บินไปเรียนต่อ ปวช.ที่กทม.
ทำให้หนูหิ่ง ฯ ได้เปรียบคนอื่น เพราะพิมพ์ดีดก็เป็นแล้ว บัญชีก็เรียนมาบ้างแล้ว หนูหิ่ง ฯ จึงมีรายได้จากเพื่อน ๆ เยอะ
เพราะรับจ้างพิมพ์ดีด รับจ้างทำรายงาน รับจ้างทำบัญชี แฮ่.... นู๋จลลลลลล ต้องหาเงินเรียนวิธีนี้แหละ
ขอโทษนะเพื่อน ที่หนูหิ่ง ฯ หากินกับเพื่อนนะ
จบ ปวช.แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ได้งานทำแถวหนองแขม ทำอยู่ 8 ปี
เพี่อนสมัยเรียน มอต้น เหลืออยู่คนเดียว
ชื่อเพชร ตอนนี้อยู่เท็กซัส กำลังจะมีสามีเป็นของตัวเองเร็ว ๆ นี้ เฮ่อ ! อิจฉาชะมัด ^___^
เพื่อนสมัยเรียน ปวช. ก็เหลืออยู่คนเดียว ชื่อตุ่น ตอนนี้อยู่แถวทุ่งครุ
สาเหตุที่เพื่อนเลิกคบ ให้ไปดูที่ท้ายกระทู้นี้ค่ะ
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story11493.html
* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน คนขับรถกลับจม. เจียงใหม่ * * *
16 มกราคม 2554 06:02 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
หนูหิ่ง ฯ มีเรื่องเครียด จนเป็นโรคเครียด นั่งก็เครียด นอนก็เครียด ขับรถก็เครียด
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว้า.... เมื่อประมาณต้นปี 53 ที่ผ่านมา พี่สาวคนโตของหนูหิ่ง ฯ คนที่เป็นมะเร็งเต้านม
ไปตรวจสุขภาพหลังตัดเต้านมขวาทิ้งไปทุก ๆ 3 เดือน ปลายปี 53 ผ่านไปแค่ปีกับแปดเดือน
แพทย์แจ้งว่า.... ตอนนี้มะเร็งลามไปที่ปอด ตับ และกระดูกแล้ว
พวกเราทั้งหมดก็พากันอึ้ง อึ้ง แล้วก็อึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะลามเร็วขนาดนี้
แต่ก็ไม่อยากจะโทษใคร เพราะโรคก็ลามไปแล้ว เวลาผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
หนูหิ่ง ฯ ถ่ายประวัติจากโรงบาลที่เชียงใหม่ ไปปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางที่กทม.หลายโรงบาล
แพทย์ทุกท่านก็บอกตรงกันว่าอยู่ได้แค่ 1 ปีสูงสุดไม่เกิน 2 ปี
พอจะออกจากโรงพยาบาล หนูหิ่ง ฯ ก็เริ่มออกอาการเอ๋อเหรอ หารถไม่เจอ
เดินตั้งแต่ชั้น 4 ไปชั้น 10 แล้วก็ชั้น 10 ไปชั้น 4 จนเหมื่อย ก็ยังหารถไม่เจอ
คิดว่ารถหาย จะลงไปแจ้งยามที่ชั้น 1 ปรากฎว่าเจอรถจอดอยู่ที่ชั้น 1.... กรรม !
หลังจากนั้นก็นอนไม่ค่อยหลับ กินไม่ค่อยลง น้ำหนักลดรูปร่างสวยกะทันหัน
แล้วก็เริ่มขับรถหลงทางบ้าง ฝ่าไฟแดงบ้าง สุดท้ายตอนที่คิดว่าไม่ไหวแล้วคือ....
เวลาประมาณทุ่มเศษ ๆ หนูหิ่ง ฯ ขับรถไปโรบินสัน จันท์ กำลังเลี้ยวรถเข้าช่องจอด
ดูแล้วว่าว่าง ไม่มีรถ ก็เลยเลี้ยวเข้าไป แล้วก็โครม คนพร้อมมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปเกือบ 2 วา
ดีที่หัวไม่ฟาดพื้น หนูหิ่ง ฯ ก็ตกใจ จอดรถ แล้วก็ลงไปฉุดพี่เขาขึ้นมา บอกเขาว่าไม่ต้องกลัวนะ
รถหนูหิ่ง ฯ มีประกันชั้น 1 เจ็บตรงไหนหรือเปล่า หนูหิ่ง ฯ พาไปโรงบาลนะ พี่เขาก็ไม่ตอบ
แต่เดินไปดึงรถขึ้น หนูหิ่ง ฯ ก็ช่วย รถเสียประกันหนูหิ่ง ฯ ก็ซ่อมให้นะ ไม่เป็นไรนะคะ
พี่เขาก็ไม่พูดอีก แต่ก็สตาร์ทรถ แล้วก็ขับรถไปเฉยเลย ~ _~ หนูหิ่ง ฯ ก็งง ๆ อะไรเนี่ย !
แล้วก็มีพี่ผู้ชายเดินมาดู ถามหนูหิ่ง ฯ ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าไม่เป็นไร
แต่พี่เขาเจ็บหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถามก็ไม่ตอบ จะพาไปโรงพยาบาลก็ไม่พูด แล้วก็ขับรถไปเฉยเลย
หนูหิ่ง ฯ ก็งง ๆ อยู่นี่ล่ะค่ะ ขอบคุณที่มาดูนะคะ ^___^
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกให้พี่สาวส่งพี่เขยมาช่วยขับรถโดยด่วน เพราะหนูแย่แล้ว
จากนั้นไม่ถึงเดือน เกิดเรื่องให้ต้องได้กลับเจียงใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็ดีเหมือนกันนะ
ช่วงนั้นน่าจะเป็นประมาณเดือนกันยา รถหนูหิ่ง ฯ ถูกชนท้ายที่มอเตอร์เวย์บางนา - ตราด
ก็เลยต้องเข้าศูนย์ ก็เลยตัดสินใจกลับไปเจียงใหม่ เพราะไม่มีรถไปทำงาน
พอดีพี่สาวคนโตที่เป็นมะเร็งอยากไปถือศึล - ปฏิบัติธรรมที่วัด 7 วัน หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปเป็นเพื่อน
หลังจากนั้นก็เริ่มรักษาตัว ให้คีโม ให้เฮอเซฟติน ให้มอร์ฟีน ฉายแสง ฯลฯ
พอรถเสร็จหนูหิ่ง ฯ ก็เริ่มไปทำงานคนเดียวอีกครั้ง
หลังจากนั้นพี่สาวก็เข้า ๆ ออก ๆ โรงบาลเรื่อย ๆ จนจะขอซื้อห้องโรงบาลสักห้องแล้ว
ถึงกลางเดือนธันวา ก็ได้รับข่าวร้ายว่า ตับโตและกระดูกพรุนแล้ว แขน - ขา เริ่มบวม
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยกลับเชียงใหม่อีกครั้ง ประกอบกับหนูหิ่ง ฯ ถ่ายเป็นเลือดก็เลยถือโอกาสไปตรวจด้วย
วันที่ 22 หมอให้แอดมิท หนูหิ่ง ฯ เคยผ่าทอลซินแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 42 ตอนนั้นถูกวางยาสลบ
แต่คราวนี้วิสัญญีแพทย์บอกว่าจะบล็อกหลัง หนูหิ่ง ฯ เคยได้ยินคนถูกบล็อกหลังเพื่อคลอดลูกบางคน
บ่นว่าไม่ดี จะปวดหลังไปตลอด จะนั่น จะนี่ หนูหิ่ง ฯ ก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่ก็ทำเป็นไม่กลัว
เช้าวันที่ 23 น้ำเกลือที่ให้ยังไม่หมด พยาบาลก็มาเปลี่ยนชุดห้องผ่าตัดให้ 9.00 น.เข้าห้องผ่าตัด
พี่คนที่มาเข็นรถนอนให้เป็นผู้ชาย ก็คุยทักทายสนุกสนานร่าเริงดี
พอไปถึงห้องเตรียมการผ่าตัด พยาบาลก็ไล่พี่คนเข็นออกไป เพราะต้องแก้ผ้าหนูหิ่ง ฯ
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่าต้องเปลีอยหนูหิ่ง ฯ หรือ ? พี่เขาก็บอกว่าใช่ แฮ่.... ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ
เลิกอายชั่วคราว ลุกขึ้นนั่งจะแก้ผ้า พี่พยาบาลรีบดันตัวลงบอกว่าเดี๋ยว ๆ ๆ นอนแก้ก็ได้เดี๋ยวจะโป้
หนูหิ่ง ฯ บอกว่าไม่เป็นไรหรอก อายก็ไม่หายสิ พี่พยาบาลก็บอกว่าไม่ใช่อย่างงั้นหรอก
พี่กลัวพี่คนเข็นรถจะนอนไม่หลับ นั่น ! เป็นงั้นไป
เสร็จแล้วก็ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด วิสัญญีแพทย์หญิงบอกให้นอนคู้ตัวเป็นกุ้งเลย แล้วก็ฉีดยาเข้ากระดูกสันหลัง
เอ.... ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด มือนิ่มจัง ^__^
ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ชาตั้งแต่เอวลงไป หมอใหญ่ก็เริ่มผ่า ๆ ๆ ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็รู้สึกตัวนะ แต่ไม่เจ็บเลย
ผ่าเสร็จ เย็บเสร็จแล้วก็ไปห้องพักฟื้น ห้องพักฟื้นหนาวมาก หนูหิ่ง ฯ ขอผ้าห่มไฟฟ้า พยาบาลก็น่ารักมาก
ให้มา 2 ผืนเล็ก ๆ คนอื่นเขาพัก 2 ชั่วโมง แต่หนูหิ่ง ฯ พัก 3 ชั่วโมงเพราะยังไม่หายชา
พี่พยาบาลประจำห้องผ่าตัดก็มาบอกว่า คุณหมอส่งชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ไปตรวจนะ
ประมาณ 1 อาทิตย์จะรู้ผล หนูหิ่ง ฯ ก็นึกในใจ ว่าผลคงไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคนใน
ครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็ง
แต่ก็คิดต่อไปอีกว่า.... เอาน่า.... ไหน ๆ จะป่วยทั้งทีก็เป็นโรคนี้แหละ เพื่อนเยอะดี
ระดับนี้แล้ว เป็นโรคกระจอก ๆ ได้ยังไง โรคนี้เขาฮิทออกจะตาย เป็นเสียหน่อยจะได้ทันสมัย ฮิ ๆ ๆ ๆ
พอหายชาพี่คนเข็นก็เข็นขึ้นห้อง 809 อยู่ตรงข้ามห้องพี่สาวที่รักษาตัวอยู่ห้อง 810
เมื่อขาหายชา หนูหิ่ง ฯ ก็ลุกเดิน ๆ ๆ ๆ แล้วก็ไปนอนเฝ้าพี่สาวที่ห้อง 810
ฮี่ ๆ ๆ ๆ พยาบาลหลายคนบ่นว้า.... ทำคนไข้หาย หาคนไข้ไม่เจอ ^__^
คนไข้ผ่าตัดห้องอื่น พอผ่าตัดเสร็จพยาบาลต้องขอให้เดิน
ส่วนคนไข้คนนี้ พอผ่าตัดเสร็จพยาบาลต้องบอกให้นอน เป็นไง เหนื่อยไหมคะพี่พยาบาล ^___^
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ทำเรื่องออกโรงบาลวันที่ 24 เย็น แต่ก็ยังนอนเฝ้าพี่สาวที่ห้อง 810
ข่าวร้ายอีกครั้ง มะเร็งลามไปที่สมองของพี่สาวแล้ว ~_~
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยตัดสินใจไปตัดผมสั้น หลังจากที่ไว้ผมยาวมาเกือบตลอดชีวิต
เพราะหลายสาเหตุ หลัก ๆ ก็คือ อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองอยากเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็ง
พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ชอบผมสั้นด้วย บอกว่าน่ารักดี ไม่รกรุงรังเหมือนรังนก
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเดินไปเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว ซึ่งอยู่หลังโรงบาลนี่เอง
ไปบอกช่างว่าจะซอยผมสั้น เอาสั้นจู๋เลยนะ ช่างก็มองหน้าตาปริบ ๆ
แล้วก็บอกว่า ตัดบ็อบละกันนะ เทนิด ๆ ประมาณไหล่ ไม่ต้องสั้นมากหรอก
เพราะเดี๋ยวจะรับไม่ได้ นั่น ! ช่างรู้ใจอีกต่างหาก หนูหิ่ง ฯ ก็เลยได้ทรงผมใหม่เป็นของตัวเอง
แล้วหนูหิ่ง ฯ รู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ จึงขอหมอตรวจใหม่ ก็เลยถูกจับเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งวันที่ 29
เหตุการณ์เหมือนเดิม พี่คนเข็นรถคนเดิม ห้องผ่าตัดห้องเดิม พยาบาลชุดเดิม
ต้องเปลือยเหมือนเดิม คราวนี้หนูหิ่ง ฯ แซวพี่คนขับรถว่า พี่จะอยู่ดูก็ได้นะคะ
แต่หนูกลัวว่าเมื่อพี่ออกเวรไปจะนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ใจไม่ดี ต้องเสียเวลาไปเรียกขวัญคืน ฮี่ ๆ ๆ ๆ
แล้ววิสัญญีแพทย์ก็มาแต่คราวนี้เป็นผู้ชาย ไม่ใช้วิธีบล็อกหลัง แต่ใช้วิธีฉีดยาชา เจ็บกว่าบล็อกหลังนิ๊ดนึง
วิสัญญีแพทย์คนนี้น่ารักดี ชวนคุยตลอด ก็เลยไม่เครียด
หมอใหญ่ก็ผ่าไป หนูหิ่ง ฯ กะวิสัญญีแพทย์ก็คุยกันไป หัวเราะไป เป็นที่สนุกสนาน
คุยกันถึงเรื่องไปเที่ยวจีน กุ้ยหลิน ลี่เจียง กำแพงเมืองจีน ฯลฯ
พอหมอผ่าตัดเสร็จ ก็รู้สึกว่าเร็วจัง กำลังคุยติดพันสนุก ๆ อยู่เลย (วิสัญญีแพทย์คนนี้หล่อด้วยหละ ^__^ )
แล้วก็ไปพักที่ห้องพักฟื้นเหมือนเดิม ขอผ้าห่มไฟฟ้าได้มา 2 ผืนเหมือนเดิม
คราวนี้พักสองชั่วโมงครึ่ง แล้วก็ถูกเข็นไปที่ห้องเดิม 809 พี่สาวก็ยังอยู่ 810 เหมือนเดิม
แม่มานอนเฝ้าตั้งแต่วันที่ 28 จำได้ว่าก่อนเข้าห้องผ่าตัดได้ยินแม่คุยกะหมอว่า.... ให้ผ่าใส้เผื่อมาสัก 2 - 3 เมตร
ถ้าหนูหิ่ง ฯ ออกโรงบาลแล้วจะทำตือฮวนให้กิน นั่น ! เอากะแม่หนูหิ่ง ฯ สิ *__~
จากนั้นพี่สาวหนูหิ่ง ฯ ขอออกโรงบาลวันที่ 30 ทุกคนก็เลยกลับบ้านกันหมด ส่วน
หนูหิ่ง ฯ ก็นอนโรงบาลคนเดียว
และก็ขอหมอออกโรงบาลวันที่ 31 สาเหตุก็เพราะว้า.... หนูจะไม่ป่วยข้ามปี ^___^
หารูปตอนอยู่โรงบาลไม่เจอ เดี๋ยวจะไปขอเซฟที่พี่พยาบาล ^__^