26 มีนาคม 2554 21:10 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
หลาย ๆ คนที่สนิทกันจะรู้ว่าฉันมีโรคประจำตัวคือ โรคกลัวงูขึ้นสมอง
(กลัวมาก ถึงมากที่สุด) แปลกมั้ยล่ะ
ทั้ง ๆ ที่ตัวก็อาศัยอยู่บนเขาตั้งแต่เกิด.. จนโต
@ งูตัวแรกที่เจอ (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
อายุประมาณ 5 ขวบได้แล้วหละ ตอนเย็น ๆ ของทุกวัน มีหน้าที่ไปรับพ่อที่ไร่
ซึ่งก็อยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ไปช่วยพ่อเก็บพืชผักในไร่ไปขายมั่ง เก็บไว้กินมั่ง
เย็นวันหนึ่งก็เดินไปรับพ่อตามปรกติ แต่ยังไปไม่ถึงกระต๊อบ เพิ่งจะถึงหัวไร่เท่านั้นเอง . เอ๊ะ
เห็นอะไรแว๊บ ๆ ที่ต้นหญ้า คิดเองก็ตอบตัวเองในใจ. ก็งูอ่ะดิ งูเขียวด้วยนะ
ตัวเล็ก ๆ นิ๊ดเดียวเอง สงสัยเพิ่งจะออกจากไข่มาแหงเลย กำลังพันอยู่บนต้นหญ้า (ไม่ใช่ต้นไม้นะ)
รู้สึกว่ามันกำลังจ้องหน้าอยู่ ก็เลยไม่กล้าก้าวขาวิ่ง ทำไงดีล่ะทีนี้.
ก็อยู่มันตรงนั้นแหละ ร้องให้เลย ร้องดัง ๆ เดี๋ยวพ่อได้ยินก็วิ่งมาหาเองแหละ
คิดได้ดังนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาร้อง ๆ ๆ ๆ จนพ่อวิ่งมาดู โอ้ โฮ แฮะ เจ้างูเขียวตัวน้อยท่าจะหูหนวก
เขาร้องแทบตาย ไม่ยักกะได้ยิน พอพ่อมาถึงก็ชี้โบ้ชี้เบ้ให้พ่อดู ว่างูมันอยู่ตรงนั้น
พ่อหันไปดูและเข้ามากอดพร้อมทั้งหัวเราะจนตัวโยก โธ่เอ๊ยลูก นั่นมันเถาวัลย์ ไม่ใช่งูสักหน่อย .
แป่ว.........................หน้าแหกแตกละเอียด........................
พ่อบอกว่า
สิ่งที่เห็น อาจไม่ ใช่อย่างคิด
จงพินิจ ให้ดี ค่อยตัดสิน
บางครั้งเสียง ส่งมา ให้ได้ยิน
อาจไม่สิ้น สุดคำ เจรจา
ลูกจ๋าเจ้า จงจำ คำพ่อไว้
เมื่อเติบใหญ่ ให้ดู รู้รักษา
ความซื่อตรง จากใจ ใส่วาจา
เขาพูดมา ฟังจบ ครบถ้อยความ
แฮ่ ๆ ๆ โง่บรมเลยเรา.. อุตสาห์ร้องซ้าตาบวม..
@ ตัวที่สอง
ก็บอกแล้วว่าบ้านอยู่บนเขา ในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เด็กเล็กเด็กโตทั้งหลาย
ก็มักจะนัดกันไปยิงนก ตกปลา งมหอย (อันนี้หอยจริง ๆ กินได้ด้วย
ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า หอยจูบ เพราะเวลากินต้องดูดให้ตัวหอยหลุดออกมาจากกระดอง
แต่ภาคกลางจะเรียกหอยขม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันขมตรงไหนอ่ะนะ) เมื่อวานตอนเย็น ๆ ก็นัดกันไว้ว่า
เช้าวันนี้จะไปนา ไปงมหอยและเก็บผักตามทุ่งนา พอสมาชิกมาพร้อมหน้าก็เริ่มออกเดินทาง
พอพ้นเขตหมู่บ้านจะต้องเดินผ่านป่าก่อน ไอ้เราก็เป็นคนกลัวงู ทุกคนรู้กันหมด ก็เลยให้เราเดินตามหลัง
ให้คนที่ไม่ค่อยกลัวเดินเป็นทัพหน้า (แบบว่าทางมันแคบ ต้องเดินแถวตอนเรียงหนึ่ง)
เอ้า เดินหน้าเดิน ซ้าย ขวา ซ้าย ซ้าย ขวา ซ้าย.. ถึงทุ่งนาพอดี ไม่ยักกะเจอคู่อริแฮะ
ที่นี้ก็เลือกเอาว่าใครจะลงล๊อคไหนงมหอยกันก่อนไม่ต้องแย่งกัน เดี๋ยวค่อยเก็บผักทีหลัง
ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตา งม งม งม และ งม
เอ๊ะอะไร แว๊บแว๊บ ทางหางตา
คลับคล้ายคลับ คลาว่า ข้าเคยเห็น
ขดอยู่บน คันนา น่าจะเป็น
งูนอนเล่น ตากแดด แผดเผาตัว
อ่า.......... อีตอนนี้ไม่กล้าร้อง กลัวว่ามันหูดีแล้วได้ยิน ก็เลยตัดสินใจกระโดดไปขี่คอพี่ที่อยู่ล็อคติดกัน
โชคดีที่พี่คนนี้ตัวใหญ่มาก ก็เลยไม่ล้ม
พะ - พี่ ๆ ๆ หงะ หงะ งูอ่ะ ๆ พี่เขาหันมาบอกว่า จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไป
แล้วก็เอาไม้ค่อย ๆ เขี่ยให้มันเลื้อยจากไป โชคดีนะที่ไม่ใช่งูเห่า ไม่งั้นมันคงจะเห่าแล้วค่อยกัด
เจ้างูตัวนี้นิสัยดีนะ มันคงรู้ว่าเรากลัวมัน มันก็เลยค่อย ๆ เลื้อยหลบไป
แฮ่. ค่อยยังชั่วหน่อย.
@ ตัวที่สาม (เจ้าตัวนี้เด็ดสุดเลยนะ จะบอกให้)
วันนี้เลิก ร่ำเรียน เรียบร้อยแล้ว
เดินเรียงแถว กลับบ้าน พร้อมกับพ่อ
อย่างรวดเร็ว ถึงบ้าน แม่เฝ้ารอ
กลับไปก่อ ไฟอุ่น นั่งผิงกัน.
แล้วก็ได้เวลาอาหารเย็น สมาชิกในครอบครัวมานั่งล้อมวงในครัว ซึ่งสร้างแยกไว้ด้านหลังบ้าน
กำลังนั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อยยังไม่ถึงครึ่งท้องเลย ก็ได้ยินเสียง แฉ่ ๆ ๆ ฟ่อ ๆ ๆ แว่วมาเบา ๆ
ก็เลยบอกพ่อ พ่อ หนูได้ยินเสียงอะไรไม่รู้ ดัง ฟ่อ ฟ่อ มาจากในบ้าน พ่อก็เลยอาสาไปดูให้
คงจะนึกว่าหมาใครเข้ามาเล่นในบ้านมั้ง ทุกคนมองตามหลังพ่อออกจากประตูครัวเดินผ่านประตูหลังเข้าไปในบ้าน
ไอ้หยา พวกเราเกือบช็อค ที่ริมประตูหลังบ้านมีไอ้ตัวยาว ๆ ใหญ่เท่าแขนตั้งท่า แผ่แม่เบี้ย
เห็นที่หัวด้านหลังมีกุญแจซอลอยู่ด้วย ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลยจนได้ยินเสียงพ่อพูดออกมาเบา ๆ
ไม่เห็นมีอะไรเลย แล้วพ่อก็เดินย้อนกลับมา ก็เลยส่งเสียงบอกพ่อเบา ๆ ว่า
อย่าเพิ่งออกมานะพ่อ ที่ประตูมีงูเห่า สงสัยพ่อจะฟังเพี้ยน เพราะพ่อตอบกลับมาเสียงดังฟังชัดว่า
หมาที่ไหนจะมาเห่า พ่อไม่เห็นมีหมาสักตัว พอพูดพร้อมกับเดินมายืนตรงประตู เสียวใส้น่าดูเลย
ก็เจ้างูตัวนั้นตั้งท่าจะฉกพ่อ 1 ที 2 ที 3 ที. ก็ยังไม่ฉก พ่อซึ่งมองไม่เห็นงู ก็ไม่ได้สนใจอะไร
เดินอย่างสง่าผ่าเผยกลับมาในครัว เราเลยรีบปิดประตูครัว กลัวเจ้าตัวนั้นตามพ่อเข้ามา
ก็เลยชี้ให้พ่อแอบดูที่รอยแยกข้างฝา พ่อได้แต่อึ้ง....... อึ้ง...... และอึ้ง...... จนกระทั่งมันเลื้อยหายไปลับตา
สงสัยจะเลื้อยเข้าไปในจอมปลวกแถวท้ายสวนแน่ ๆ เลย พวกเราทุกคนก็เลยพร้อมใจกันอิ่ม กินไม่ลง.....
สงสัยอยู่ ใยมัน ไม่กัดพ่อ
มัวรีรอ กลัวงู ไม่ได้ถาม
ต้องเก็บถ้วย แก้วไป ได้ล้างชาม
เวลาผ่าน นานจน ลืม ลืมถามพ่ออ่ะดิ ^_^
แฮ่ะ ๆ ก่อนไปล้างชามก็เข้าไปจับตัวพ่อ
จับแขนพ่อ จับขาพ่อ แฮ่......
พ่อยังอยู่ ยังไม่มีที่ไหนบุบสลาย
สบายใจแล้วหละ
@ ตัวที่สี่ตัวสุดท้ายที่จะเล่า
ตอนนี้ทำงานแล้วนะ ได้งานทำที่บริษัทส่งออกแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินธ์สองร้อยปี
บุรีรมณ์อุดมราชนิเวศมหาสถาน อมรพิมาณอวตาลสถิตย์ เอ ใช่หรือเปล่าหว่า..
เอาเป็นว่าได้ทำงานที่กรุงเทพ ฯ ก็แล้วกัน ที่ทำงานมีเพื่อน ๆ เยอะแยะเลย เพราะมีหลาย ๆ แผนกอยู่ในห้องเดียวกัน
แต่แผนกของฉันมีกันอยู่แค่สองคน คือฉันเป็นลูกน้องกับพี่อีกคนเป็นหัวหน้า ตอนนี้เราสองคนทำงานเข้าขากันได้ดี
ตะว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่งานของเราขึ้นตรงต่อเจ้านายคนเดียวกัน
ทำงานด้วย ความสุข สนุกสนาน
ทิวาวาร ลับล่วง วันหมุนเปลี่ยน
งานการทำ ใส่ใจ ได้เล่าเรียน
สมุดจด เขียนสิ่งใหม่ ที่เข้ามา
ขอบคุณ สำหรับ คำสั่งสอน
ทุกขั้นตอน ต้องย้ำ อย่างหนักหนา
จะจำไว้ ใส่ใจ ไปทุกครา
ไม่ลืมว่า เคยอยู่ เคียงคู่กัน
วันหนึ่ง มีลูกค้าต่างชาติเข้ามาเพื่อสั่งซื้อสินค้า กำลังคุยกับเจ้านายในห้อง โต๊ะฉันตั้งอยู่หน้าห้องเจ้านายพอดี๊พอดี
มองเห็นกันได้ตลอดเวลา ก็ฝาผนังเป็นกระจกอ่ะ เราต้องอยู่ในสายตาเจ้านายตลอดเวลา (ทำให้เกเร เหลวไหลไม่ได้)
วันนั้นหัวหน้าเดินเข้าเดินออกระหว่างห้องเจ้านายกะตู้เอกสาร ฉันก็นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะนั่นแหละ
บางครั้งใช้ความคิดก็จะนั่งหลับตาเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยพักผ่อนสายตาไปด้วยในตัว เอ่อ......เอนสักหน่อยน่ะ
ชักเหมื่อยแล้ว แค่แป๊บเดียวหละ ไม่เป็นไรหรอก..........ทันใดนั้น ก็มีสิ่งหนึ่งตกลงมาที่ตัก เอามือคลำดูนิ่ม ๆ ยาว ๆ
คิดได้อย่างเดียว อ๊ะจ๊าก......งู โยนทิ้งไปทางไหนก็ไม่ทันได้ดู และตะโกนออกมาซะดังลั่น
พร้อมทั้งกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะด้วยความลืมตัว ทั้งเจ้านาย ลูกค้าฝรั่ง เพื่อน ๆ มองมาตาเดียวกัน
เห็นคนหนึ่งยืนหน้าซีดอยู่ข้างโต๊ะฉัน แล้วค่อย ๆ เดินไปเก็บเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาและเอ่ยว่า ขอโทษนะ งูตุ๊กตาน่ะ
ไม่นึกว่าเธอจะตกใจขนาดนี้ เธอลงจากโต๊ะได้แล้ว เจ้านายมองอยู่นะ
แฮ่ะ ๆ ไม่เป็นไร Sorry sorry sir ยังอยู่ในอาการตกใจ
พูดไทยปนอังกฤษบอกทุกคน...... วันนั้นทั้งวันคิดวุ่นวายใจ
เย็นนี้ตัวข้าคงไม่แคล้ว ถูกเจ้านายเรียกไปดุว่าเป็นแน่แท้ คิดไปคิดมา อยู่แค่นี้แหละ จนถึงเวลาเลิกงาน..
ลูกค้ากลับไปแล้วหละ เอ.. แปลกแฮะ ไม่ยักกะถูกเรียกไปดุ เย้. เจ้านายใจดีจังเยย.
แป่ว. งานนี้หน้าแตก หมอไม่รับเย็บ..
แหะ ๆ ๆ จิง ๆ มีอีกหลายตัวนะ ถ้ามะเบื่อก็บอก จะเล่าให้ฟังอีก ตะนี้เอาไป 4 ตัวก่อนละกันเน่อ
(จอ. บอจบ)
6 มีนาคม 2554 16:59 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
อยู่โรงบาลกับพี่สาวจนถึงวันที่ 30 พี่สาวกลับบ้านไปก่อน ส่วนหนูหิ่ง ฯ เพิ่งผ่าตัดวันที่ 29 หมอยังไม่อนุญาตให้กลับ
วันที่ 31 ธันวา บ่าย ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็อขออกโรงบาล โดยบอกหมอว่า.... หนูจะไม่ป่วยข้ามปีเด็ดขาด
แล้วก็แวะไปช็อปที่เซ็นทรัลก่อนไปบ่านพี่สาวที่จอมทอง
ผ่าตัดเสร็จ 29 ออกโรงบาล 31 หนูหิ่ง ฯ ขับรถทันทีเลย เพราะรถจอดอยู่โรงบาล หุ ๆ ๆ ๆ ไม่มีคนมารับ
กำลังเดินช็อปที่เซ็นทรัล ก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่กบ ที่อยู่นวนคร บอกว่ามาถึงเชียงใหม่แล้ว
นั่นไง ! เซอร์ไพร์ท บอกว่าขับรถกระบะมากัน 4 คน มีเพื่อนมาจากอินเดียด้วยจะไปเที่ยวปีใหม่กัน
พี่กบบอกว่าจะพาหนูหิ่ง ฯ ไปฉลองวันเกิด 1 มกรา หนูหิ่ง ฯ บอกว่าวันนี้ไม่ได้ต้องไปนอนบ้านพี่ที่จอมทอง
จึงนัดกันเป็นวันที่ 1 ที่โรงแรมตรงข้ามโรงเรียนศรีธนา จำชื่อโรงแรมไม่ได้แล้วนิ ^__^
แล้ววันที่ 31 นี่เองก็เป็นวันที่หนูหิ่ง ฯ อกหัก ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ อ่ะน่า อ่ะน่า ก็หนูหิ่ง ฯ ลืมทำสถิติไว้นินา
อืมส์.... ร้องให้ส่งท้ายปีเก่า ก็ดีเหมือนกัน.... ได้รู้น้ำใจของคนที่เรารักตอนป่วยนี่เอง
ว่าเขาไม่ได้สนใจห่วงใยเราเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่บอกว่ารักนะ แต่เขาก็ไปอยู่กับผู้หญิงอื่นในวันเกิดของเรา
ก็ไม่เป็นไรนะ ถึงจะเสียใจ.... ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง พรุ่งนี้ก็วันเกิดแล้ว เริ่มต้นปีใหม่ด้วย
จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยทีเดียวกันเลย ^__^
ก่อนไปจอมทองก็แวะกินสุกี้บ้านเพื่อนก่อน แล้วก็พากันไปดูพลุที่สนามกีฬาเจ็ดร้อยปีเจียงใหม่
เพื่อนได้ตั๋วมาฟรี แต่พอไปถึงปุ๊บ ตน : ตำหนวด โบกรถไม่ให้เข้า เอานั่น ! จำต้องหาที่จอดแล้วเดินไป
แล้วก็เลยต้องนั่งหนาวริมขอบฟุทบาทข้างคลองชลประทานเพื่อดูพลุ เพราะขี้เกียจเดิน
แต่ผลออกมาว้า.... เห็นพลุชัดและสวยกว่าคนอยู่ในงานเสียอีก กลิ่นเขม่าปืนก็เหม็นน้อยกว่า
ฮี่ ๆ ๆ ๆ จากร้ายกลายเป็นดี พอ 3 ทุ่มก็พากันกลับ
หนูหิ่ง ฯ ก็ขับรถต่อไปที่บ้านพี่สาว อ.จอมทอง ไปถึงก็ไปมุดที่นอนข้าง ๆ แม่แล้วก็.... หลับปุ๋ย
พอถึงวันพรุ่ง รุ่งเช้าวันที่ 1 ปีใหม่ 54 ฟ้ายังไม่แจ้ง ก็ถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงและแรงเขย่าจากคุณแม่
หนูหิ่ง ฯ ตื่นขึ้นมาสวัสดีปีใหม่ด้วยความงัวเงีย แล้วคุณแม่ก็ให้ศีล ให้พร ผูกข้อมือให้
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันนี่หละ แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ลุกขึ้นมาใช้วิชาแมวเหมียวล้างหน้า - แปรงฟัน
เพราะอากาศหนาวมาก ห้องนอนข้างนอกไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ต้องไปอาบห้องในบ้าน
เสร็จแล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ไม่ยอมถูกปลุกให้ตื่นคนเดียว เราต้องตื่นแต่เช้าให้เหมือน ๆ กัน ฮ่า ๆ ๆ ๆ
จัดการเดินไปปลุกสวัสดีปีใหม่มันทุกห้อง แล้วทุกคนก็ลงมากองกันที่ห้องรับแขก ให้แม่ผูกข้อมือให้
พอเจ็ดโมงเช้าก็เข้าเชียงใหม่กัน แวะเก็บข้าวของที่บ้านก่อน เพราะจะไปเที่ยวกับพี่กบและเพื่อน
พาพี่ฮัว พี่สาวคนที่ 3 กับแม่ไปทิ้งไว้ที่โตโยต้านครพิงค์ เพราะพี่ฮัวจะออกรถโฟร์วิ 4 ประตูสีฟ้า ตอน 9.09 น.หนูหิ่ง ฯ ก็พาไปส่งไว้
แล้วหนูหิ่ง ฯ ไปโรงแรม พอไปถึงก็จัดการโทร.หาคุณแม่ คุณพี่ เพื่อที่จะบอกว่า
หนูจะไปเที่ยวกะเพื่อนนะ
เพราะถ้าบอกตอนอยู่ด้วยกันจะถูกคัดค้าน เนื่องจากเพิ่งผ่าตัดไป 2 รอบ แต่ก็ต้องขึ้จุ๊นิดหน่อยว่าไม่ขับรถนะ
บรรดาญาติผู้ใหญ่จึงได้อนุญาตให้ไป แบบถูกมัดมือชก ฮ่า ๆ ๆ ๆ เรื่องแบบนี้หนูหิ่ง ฯ ถนัดสุด ๆ
วันที่ 1 ตอนสาย ๆ หลังอาหารเช้า หนูหิ่ง ฯ กินยาแก้ปวดกันไว้เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มต้นเดินทางโดยรถ 2 คัน
ตอนแรกพี่กบจะมานั่งรถหนูหิ่ง ฯ คนเดียว ปรากฎว่าผู้โดยสารที่ไม่ได้รับเชิญเดินตามหลังต้อย ๆ ๆ ไม่พูดไม่จา
เปิดประตูขึ้นมานั่งด้านหลังเฉยเลย หนุ่มหล่อซันจีฟ พี่ชายจากอินเดียของหนูหิ่ง ฯ นั่นเอง ^__^
เริ่มต้นทัวร์วันเกิดวันปีใหม่ของหนูหิ่ง ฯ ด้วยการขึ้นดอยอ่างขาง ไปถึงจุดจอดรถ....
พี่อีกคันไม่กล้าขับขึ้นดอย ก็เลยต้องจอดไว้ แล้วก็มารวมกันอยู่ในรถหนูหิ่ง ฯ แบบปาป๋อง
รวมคนขับก็ 5 คน ชาย 2 หญิง 3 (อย่างว่าหละ เขาบอกว่าสมัยนี้ผู้ชายเขียมนะ จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้)
พอถึงดอยอ่างขางก็ตะบี้ตะบันถ่ายรูป พี่กบบอกว่าปีนี้ดอกไม้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
หนูหิ่ง ฯ เพิ่งเคยไปปีแรก ก็เลยไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ
แล้วเราก็ลงดอยเมื่อถึงเวลาอันควร เพราะจะไปนอนที่วัดท่าตอน กว่าจะถึงก็มืดค่ำเวลาประมาณ 1 ทุ่ม
เข้าที่พัก น้ำท่าไม่อาบก็พากันขึ้นพระธาตุก่อน พี่กบบอกว่าบริเวณวัดท่าตอนกว้างมาก
กินพื้นที่ภูเขาถึง 9 ลูก แต่วันนี้ขึ้นไปถึงแค่ชั้นที่มีพระธาตุ จำได้ว่าอากาศเย็นมาก ๆ
แต่ก็ดีใจที่ได้ขึ้นพระธาตุ เพราะข้างในพระธาตุสวยมาก ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ได้ไปเห็นจัง สวยจริง ๆ นะ ไม่ได้ขี้จุ๊
แ
ล้วก็ถึงเวลาลงจากพระธาตุเพื้อไปรับประทานอาหารเย็นที่พี่กบสั่งไว้ที่พัก
กับข้าวง่าย ๆ ไม่มีอะไรมาก เพราะซันจีฟกินแค่ปลา กับไก่ ส่วนหนูหิ่ง ฯ ก็ผัดผักเจ อะฮ่า ลำบากชาวบ้านอีกแล้ว
หนูหิ่ง ฯ เข้าสู่ช่วงกินเจอีกครั้งตลอด 1 เดือนมกราคม เพราะเป็นเดือนเกิด
พอกินข้าวเสร็จแล้วจู่ ๆ ไฟก็ดับ หนูหิ่ง ฯ งง ๆ ก็เลยถามว่าเขาปิดไฟไล่แล้วหรอ ไม่เห็นเตือนก่อนเลย
สักพักก็มีคนถือขนมไข่เดินเข้ามา บนขนมไข่ก็มีเทียนไขจุดไฟ 1 เล่ม
พร้อม ๆ กับเสียง Happy BirthDay ^__^ พี่กบเซอร์ไพรท์หนูหิ่ง ฯ นั่นเอง
นี่เป็นวันเกิดคล้ายวันเกิดปีแรก ครั้งแรก ที่มีคนเลี้ยงฉลองให้
เมื่อวานอกหัก วันนี้ปีใหม่ก็ได้รับสิ่งดี ๆ จากพี่กบ - ซันจีฟ - พี่หอม - พี่ชาติ ดีใจจังเลย
คุยกันสักพัก ก็ถึงเวลานอนนนนนนนนน
เช้าวันที่ 2 ซันจีฟตื่นก่อนใครเพื่อน (เห่อน่าดูนะ) เพราะนัดกันไว้ว่าจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าบนภูเขาชั้นที่ 9
หนูหิ่ง ฯ เห็นเขาใส่เสื้อแขนสั้น หนูหิ่ง ฯ เอามั่ง ใส่กระโปรงสั้น เสื้อแขนกุด แล้วก็เสื้อยีนส์ทับอีกที
ฮ่า ๆ ๆ ๆ เดี๋ยวรู้ผล....
บนภูเขาชั้นที่ 9 เห็นคนอื่น ๆ เขาใส่สั้น ๆ ไม่ใส่เสื้อกันหนาว หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเอามั่ง
ถอดเสื้อยีนส์เก็บ แล้วก็ไปแอ๊กท่าถ่ายรูป
เสร็จแล้วก็พยายามโยนเหรียญใส่บาตรพระยืน โยนยังไงก็ไม่เข้า
แต่ท้ายที่สุดเหรียญก็ตกไปอยู่ที่มือพระ เอาน่า ไม่เข้าบาตร อยู่ที่มือก็ยังดีเนาะ
แล้วเราก็เดินไปที่บันใด
หนูหิ่ง ฯ ก็ไม่รู้ว่าบันใดนั้นจะพาไปสู่แห่งหนตำบลใด เพราะดูจากด้านบนแล้วต้องเดินไกลพอสมควร
เพราะมองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง พอไปถึงจึงรู้ว่า.... เป็นเรือนั่นเอง อาจจะเป็นเรือชีวิตมั้งนะ....
ถ่ายรูปอีกแล้ว แหม.... ไปกัน 5 คน มีกล้อง 3 ตัว ถ่ายกันสะบัดเลย
ตอนเดินกลับจากเรือ ก็ได้เรื่อง หนูหิ่ง ฯ คันทั้งตัว แล้วก็แดงทั้งตัว
เป็นไงล่ะ แพ้อากาศแล้วไม่เจียม เจือกอยากสวยอยากงาม
ซันจีฟได้โอกาสหยิบเสื้อมาใส่ให้แล้วก็ สั่งสอน และสอนสั่ง โอ้ ! ภาษาปะกิดทั้งนั้น แล้วไอก็แบบว้า.... สเน็กฟิต ๆ *__~
จากนั้นก็ทำบุญแผ่นทอง ได้ของที่ระลึกเป็นพระธาตุ (ตอนนี้ตั้งอยู่หน้ารถสุดที่เลิฟของหนูหิ่ง ฯ นั่นเอง)
แล้วก็ลงมาที่กินอาหารที่ชั้น 7 มีข้าวต้มกับไข่เจียว เอาน่ะ จำเป็นต้องเปลี่ยนการกินเจมาเป็นกินมัง
เพื่อความสบายใจของซันจีฟ - พี่กบ - พี่หอม - พี่ชาติ ไม่งั้นหนูหิ่ง ฯ มีหวังถูกอบรมอีกทั้งวันแหงม ๆ
หลังจากนั้นก็ลาพระอาจารย์ หนูหิ่ง ฯ ได้สร้อยหินสีเขียวเป็นของขวัญวันเกิดจากพระอาจารย์ด้วย ดี
ใจจัง อิ ๆ ๆ ๆ เป็นที่อิจฉาของผู้ที่ไปด้วย ^__^
จากนั้นก็เคลื่อนที่กันโดยรถ 2 คัน คน 5 คน มุ่งหน้าไปยังพระตำหนักดอยตุง ไป
จอดรถไว้ที่จุดจอด 1 คัน ขับรถหนูหิ่ง ฯ ไปคันเดียว
หนูหิ่ง ฯ ก็ขับไปส่งเพื่อน ๆ ไว้แล้วลงมาจอดรถที่จุดจอดรถ แล้วก็นั่งรถที่เขามีบริการขึ้นไปอีกครั้ง....
ซื้อตั๋วเข้าชมสวนเรียบร้อย เข้าไปในสวนเรียบร้อย ปรากฎว้า.... หนูหิ่ง ฯ เฟอะฟะ
ลืมกล้องทั้ง 3 กล้องไว้ในรถ งื้อ ! จำต้องกลับไปเอาที่จุดจอดรถ
เพื่อนเดินเที่ยวไปก่อน แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ขึ้นรถบริการไปเอากล้องที่รถ พอได้กล้องก็จัดการล็อกรถเรียบร้อย
ไปต่อคิวขึ้นรถบริการกลับขึ้นไปยังสวนอีกครั้ง....
พอไปถึงทางเข้าสวน.... แง้ ๆ ๆ ๆ หนูหิ่ง ฯ ลืมตั๋วเข้าชมสวนไว้ในรถ ~_~ ตรูจะบ้าตาย
ก็เลยขอคนตรวจตั๋วว่าตะกี้หนูเข้าไปแล้ว ๆ หนูก็ลืมกล้อง พอกลับไปเอากล้อง หนูก็ลืมตั๋ว
พี่เขาก็ใจดีให้เข้าสวนได้ แฮ่.... รอดตัว ไม่ต้องกลับไปที่รถอีกครั้ง
พอเจอพี่กบกับเพื่อน ๆ เขาหัวเราะขำกันใหญ่ แถมยังว่าหนูหิ่ง ฯ โก๊ะ ! น่าดู เออน่า....
อ่ะน่า อ่ะน่า ถึงจะโก๊ะ ก็โก๊ะน่ารักฟระ ชิมิ ชิมิ ^__^
แล้ววิญญาณนางแบบ - นายแบบ ก็เข้าสิง ได้รูปมาหลายกระบุง โกยไม่หวาดไม่ไหวหละ
จากสวนก็เข้าไปชมพระตำหนัก หนูหิ่ง ฯ เข้าไม่ได้ เพราะลืมตั๋วไว้ในรถ พี่กบกับซันจีฟก็เลยเข้าไป 2 คน
ส่วนพี่หอมกับพี่ชาติก็อยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนหนูหิ่ง ฯ
แล้วที่ลานด้านนอกก็มีเด็ก ๆ มาแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวเขาให้ดู
ฃหนูหิ่ง ฯ ร่วมสนุกกับเด็ก ๆ ด้วย อ๊ะ ! ไม่แคร์สื่อนะ มีผู้ชมเยอะแยะมากมาย
แต่ไม่มีใครเข้าไปสนุกกับเด็ก ๆ เลย หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเข้าไปก่อนเป็นคนแรก แล้ว
คนอื่น ๆ ก็ตามกันเข้าไป เด็ก ๆ สอนเต้นกันเป็นที่สนุกสนาน
โฮ่ ๆ ๆ ๆ พี่ชาติถ่ายรุปไว้เป็นหลักฐานด้วย ตากล้องคนนี้ไม่มีพลาดสักกะช๊อตนะ
แล้วก็ไปต่อที่สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง เสร็จแล้วก็ถึงเวลาไปหาที่พักที่เชียงราย วนรถซะหลายรีสอร์ท
โอ้ ! พี่กบพาไปหลงซะจนเจอ ^___^
ทีนี้ก็ถูกพี่หอมกะพี่ชาติลอยแพ เพราะพี่ชาติกะพี่หอมไปนอนบ้านญาติที่เชียงราย
หนูหิ่ง ฯ พี่กบ ซันจีฟก็เลยนอนรร.กัน 3 คน (ขาดขา อิ ๆ ๆ ๆ)
กลางคืน.... ซันจีพท้องเสีย พี่กบเสียตาม หนูหิ่ง ฯ หลับปุ๋ย
พี่กบบอกหนูหิ่ง ฯ มีสภาพเบลอ ๆ ด้วย แบบว้า.... กินยานอนหลับน่ะ
พี่กบเรียกก็หันไป แต่ตาลอย ๆ ไม่พูดไม่จา แล้วก็หลับไป
ปล่อยให้พี่กบ กะ ซันจีฟไปหายาแก้ท้องเสียมากินเอง อืมส์.... ตื่นเช้ามารู้สึกผิดน่าดู *__*
เช้าวันที่ 3 พี่ชาติ กะพี่หอมหนีกลับกทม.เสียแล้ว
หนูหิ่ง ฯ พี่กบ ซันจีฟก็เลยไปเที่ยวงานเชียงรายดอกไม้งามกัน 3 คน
ผลัดกันเป็นตากล้อง เพราะดอกไม้สวยมาก ๆ วิวหลาย ๆ จุดก็สวยมาก ๆ ฮ่า ๆ ๆ ๆ
ซันจีฟก็เลยเนื้อหอม อยู่กลางวงล้อมสาวสวย 2 คน ถูกมะรุมมะตุ้มถ่ายรุปจากสาวสวยทั้ง 2 คน
อิ ๆ ๆ ๆ เหนื่อยไหมพี่ชาย
ตอนแรกกะว่าจะพาไปวัดร่องขุ่นด้วย แต่ดูเวลาแล้วไม่ทัน
เพราะถูกพี่ชาติทิ้งไปเสียแล้ว พี่กบกะซันจีพต้องหารถทัวร์กับกทม.กัน 2 คน
หนูหิ่ง ฯ ถูกมามี้สั่งให้ไปบ้านญาติที่บ้านถ้ำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย
เย็นวันที่ 3 งานเลี้ยงก็เลยเลิกรา
ต่างคนต่างกลับไปทำภาระหน้าที่ของตัวเอง
ต่างคนต่างไปเริ่มต้นปีใหม่ของตัวเอง
ต่างคนต่างไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตัวเอง
หนูหิ่ง ฯ สัญญากับตัวเอง และพี่กบ พี่สาวที่แสนดีไว้ว่า....
ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป หนูหิ่ง ฯ จะไม่ร้องให้อีกแล้ว ^___^
10 กุมภาพันธ์ 2554 01:56 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
อดีตกาล.... นานมาแล้ว....
ตั้งแต่ก่อนที่หนูหิ่ง ฯ จะลืมตาขึ้นมาดูโลกกลม ๆ ใบนี้
ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ ได้ย้ายมาจาก บ้านถ้ำ จ.เชียงราย มาอยู่ หมู่บ้านแม่โถ ต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่
สมัยนั้นต้องเดินทางจากถนนหลวงไปอีก 17 กม. จึงจะถึงหมู่บ้านแม่โถ ต้องใช้แรงงานคน - ม้าและวัวในการบรรทุกสิ่งของ
แต่ละหมู่บ้านก็จะอยู่ห่างกันมากกว่า 3 กม.ขึ้นไป บ้านแต่ละหลังก็จะอยู่ห่าง ๆ กัน แต่มีอะไรก็จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ มาปักหลักอยู่โดยยึดอาชีพทำขนมจีนขาย เริ่มต้นจากข้าวสาร นำไปแช่น้ำ นำไปบด ทำเป็นเส้นขนมจีนแล้วก็ต้องทำน้ำขนมจีน
เสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อ - พี่ชาย - พี่สาว ก็จะหาบไปขายตามไร่ตามสวนตามหมู่บ้านต่าง ๆ ขายแลกเงินบ้าง แลกของบ้าง ฝิ่นบ้าง ฯลฯ
ขากลับก็ต้องหาของป่าติดไม้ติดมือกลับบ้าน อาทิ ต้นไผ่, ดอกไม้กวาด, หญ้าคา รวมถึงผักผลไม้ที่หาได้จากป่า
ทุกคนต้องทำงานหนัก เพื่อจะได้มีข้าวกินอิ่มท้องทุกมื้อ ถึงกระนั้นบางวันก็ไม่มีข้าวกิน....
ต่อมามีคนมาติดต่อให้แม่ไปขายของให้กับคนงานกรมป่าไม้ที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ไกลจากบ้านแม่โถประมาณ 20 กม. อยู่ในเขต จ.แม่ฮ่องสอน
แม่ก็พาพี่สาวไปด้วย 1 คน พี่ชาย 1 คน จากนั้นครอบครัวหนูหิ่ง ฯ ก็ต้องแยกกันอยู่ 2 หมู่บ้าน ไปมาหาสู่กันก็ลำบากเพราะต้องเดิน
ทางเดินก็ต้องขึ้นเขาลงห้วยผ่านป่า ในป่าก็มีทาก (บรือส์.... หยะแหยง) มีบางช่วงต้องข้ามแม่น้ำ ในแม่น้ำก็มีปลิง (บรือส์.... หยองขวัญ)
หลายครั้งก็เผชิญหน้ากับสัตว์ป่านานาชนิด เราวิ่งหนีเขาบ้าง เขาวิ่งหนีเราบ้าง บางทีก็ต่างคนต่างวิ่ง ^___^
ก่อนที่หนูหิ่ง ฯ จะลืมตาขึ้นมาดูโลกกลม ๆ ใบนี้ มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย....
จนกระทั่งหนูหิ่ง ฯ ได้ลืมตาแล้วก็เติบโตท่ามกลางความรักของพ่อ - แม่ และพี่ ๆ ครอบครัวของเราก็อยู่ดีกินดีกว่าแต่ก่อนมาก ๆ
แต่กระนั้นก็ยังอยู่บ้านมุงด้วยหญ้าคา ผนังทำด้วยไผ่ (ไม้ฟาก) เวลาลมพัดมาก็ทะลุเข้าไปในบ้าน บางทีก็พาลมหนาวเข้าบ้าน
บางทีก็พาฝนเข้าบ้าน หลายครั้งฝนเข้าทั้งทางหลังคา และทางผนัง มีอยู่ครั้งหนึ่งพายุได้พัดหลังคาบ้านปลิวไปตกที่สวนผู้ใหญ่บ้าน
ครอบครัวหนูหิ่ง ฯ ต้องไปอาศัยเพื่อนบ้านอยู่ชั่วคราวหลายวัน จนกระทั่งเก็บหลังคากลับมาใส่ไว้เหมือนเดิม....
ไม่มีเงินสร้างบ้านใหม่ ก็ต้องทนอยู่ไป ครอบครัวอื่นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่เขาก็อยู่กันได้ เราก็อยู่ได้เหมือน ๆ กัน
มีหลายครั้งที่หนูหิ่ง ฯ ไปหาแม่กับพี่ ๆ ที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง แม่ต้องจ้างคนแบกไป จำได้ว่าคนแบกเหม็นมาก - มากที่สุด
หนูหิ่ง ฯ ร้องให้ ไม่ยอมให้เขาแบก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอม เพราะเดินไม่ไหว โดยเฉพาะหนูหิ่ง ฯ กลัวทาก และปลิงเป็นที่สุด *___~
ตอนเดินทางเราก็ต้องห่อข้าวไปกินระหว่างทางด้วย เพราะออกจากบ้านแต่เช้า กว่าจะไปถึงก็เย็น หรือมืดค่ำแล้ว
ก็จะมีข้าวสวยห่อใบสัก น้ำพริกถั่วเน่า น้ำพริกข่า ไข่ต้ม บางทีก็มีไก่ต้ม หรือหมูทอดด้วย หิวตรงไหนก็นั่งกินตรงนั้น หาผักแถว ๆ นั้นกินกับน้ำพริก
จำได้ว่าอร่อยมาก ๆ กินซะจุกเลย อาจจะเป็นเพราะหิวแล้วก็เหนื่อยมั้ง กินอะไรก็อร่อยไปหมด.... ก็เลยทำให้หนูหิ่ง ฯ เป็นเด็กกินง่าย ^___^
ตอนเด็ก ๆ หนูหิ่ง ฯ จะชอบฤดูฝนมาก ๆ เพราะฤดูฝนเป็นฤดูที่ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยต้องอดเลย
ต้นฤดูฝน ก็จะมีแมงเม่า, แมงมัน, จิ้งหรีด, กบ, เขียด, อึ่งอ่าง, แมงจร, หอย, หน่อไม้, สารพัดเห็ด, ผักกูดและอีกสารพัดผัก เป็นอาหาร
หนูหิ่ง ฯ กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านก็จะมีหน้าที่ไปขุดหน่อไม้, ขุดจิ้งหรีด, เก็บเห็ด, งมหอย และเก็บผัก เป็นที่สนุกสนานเบิกบานสำราญใจ
กลับมาก็มีหน้าที่แกะหน่อล้างแล้วสับ แม่ก็จะทำหน่อไม้ดอง เห็ดก็ล้างแล้วก็ทำเห็ดส้ม หรือทอด เพื่อที่จะเก็บไว้กินได้นาน ๆ
เพราะฉะนั้นฤดูฝน จึงเป็นฤดูที่มีความสุขมากที่สุดในขณะนั้น ได้เล่นน้ำฝน ได้กินน้ำแข็งที่หล่นมาจากฟ้า (ลูกเห็บ) ^___^
ส่วนพวกผู้ชายก็จะไปจับกบ, เขียด, อึ่งอ่างในตอนกลางคืน ฤดูนี้อาหารเพียบ ต้องทำตากแห้งเก็บไว้กินนาน ๆ
ส่วนฤดูหนาวจะหนาวสุด ๆ หนาวเข้าไปที่กระดูก ต้องออกมาก่อไฟผิงกันนอกบ้าน แต่ก็ดีนะ ได้พูดคุยกันกับเพื่อนบ้านที่ช่วยกันหาฟืนมาก่อไฟ
แล้วก็ได้กินข้าวหลามกับเผือกเผามันเผาแล้วก็มีข้าวปุก (ข้าวเหนียวนึ่งสุกแล้วตำให้ละเอียดกินกับงาดำตำละเอียดใส่เกลือนิดหน่อยแล้วก็ใส่น้ำอ้อย)
บางทีก็นำข้าวปุกไปตากแห้งเก็บไว้กินนาน ๆ วิธีกินก็นำไปปิ้งเพื่อให้ข้าวเหนียวนิ่มแล้วก็ร้อน บางทีก็นำไปทอด กินกับงาดำตำ, น้ำตาลทราย หรือนมข้นก็อร่อย
เด็ก ๆ ก็จะมีหน้าที่อีกแล้ว ต้องไปเก็บผักหวาน, ดอกเสี้ยว, ดอกแก, จับจั๊กจั่น, ขุดจิ้งหรีด สนุกสนานเหมือนกัน แต่ฤดูฝนสนุกกว่า
เด็กผู้ชายก็จะมีของกว่างเป็นของเล่น ฤดูนี้จะได้กินเกาเลียง (เป็นต้นเล็ก ๆ สีเขียวคล้ายต้นไผ่ มีรสหวานเหมือนอ้อย กรอบอร่อยมาก) ได้กินข้าวใหม่หอม ๆ ^___^
ฤดูร้อน ก็จะเป็นช่วงพักผ่อน แล้วก็เตรียมไร่เตรียมสวนสำหรับเพาะปลูก สมัยนั้นจะถางหญ้าแล้วก็เผา แล้วก็ขุดกลับหน้าดินเพื่อตากแดด
พวกผู้ใหญ่ก็จะไปไล่เหล่า (ไปยิงสัตว์ป่าเป็นกลุ่ม ไล่ต้อนแล้วก็ยิงด้วยปืนแก๊บที่ทำเอง) หลายครั้งก็ดักได้นกสวย ๆ มาฝากเด็ก ๆ
บางครั้งก็จับกระต่ายกับเต่าเป็น ๆ มาให้เด็ก ๆ เลี้ยงเป็นเพื่อนเล่น หนูหิ่ง ฯ เปล่ารังแกสัตว์นะคะ ^___^
เด็ก ๆ ก็มีหน้าที่เหมือนกันค่ะ ไปหาผลไม้ป่าเช่น ลูกหว้า, มะม่วงป่า, หมากเม่า (เป็นพวงมีเม็ดเล็ก ๆ รสชาดเปรี้ยว ตากแดดเก็บไว้กินนาน ๆ ได้)
กระเจี๊ยบ, มะเดื่อ, มะขามป้อม, ลูกไข่ปลา - ไข่ปู - ไข่กุ้ง เสร็จแล้วก็จะเป็นหน้าที่ของแม่และพี่ ๆ ที่จะต้องช่วยกันดอง หรือตากให้แห้ง
หนูหิ่ง ฯ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ทุกฤดูเป็นฤดูที่มีความสุข ถึงจะได้ทำงานแต่ก็สนุกสนาน เพราะเห็นเป็นเรื่องเล่น ๆ ไปหมด
เวลาเข้าป่าไปทำงานตามคำสั่งของแม่ก็จะมีวิทยุไปด้วย พวกเราก็จะร้องรำทำเพลงไปก่อนถึงจุดหมายปลายทาง จะทำเสียงดังตลอดเส้นทาง
เพื่อที่จะให้สัตว์ได้ยินเสียงแล้วก็หลีกทางไปไกล ๆ จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน
บางทีก็ต้องวิ่งกันจ้าละหวั่นเพราะเจอคู่อริตลอดกาลของหนูหิ่ง ฯ * งู * นั่นเองค่ะ
เป็นเพราะหนูหิ่ง ฯ เกลียดและกลัวงูที่สุดในโลกหรือเปล่าน้า.... เลยต้องอยู่บนคานมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คิก ๆ ๆ ๆ
จบแค่นี้ก่อนจ้า
29 มกราคม 2554 15:43 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
* * * มหัศจรรย์ * * *
วันที่ 1 มกราคม 2516 ช่วงเช้า ผู้ใหญ่บ้านแวะมาก่อนที่จะไปเผาไร่ที่อยู่เลยบ้านหนูหิ่ง ฯ ไปประมาณ 500 เมตร
พอตกเย็น แม่ก็เก็บข้าวเก็บของให้พ่อไปนอนเฝ้าที่ไร่ เพราะกลัววัว ม้า แพะ ไปกินผักที่ปลูกไว้ในสวน
สารพัดเหตุผลที่แม่ให้พ่อไปนอนสวน จริง ๆ แล้วแม่บอกว่าแม่อาย ^__^ ไม่อยากให้พ่อเห็นตอนคลอดหนูหิ่ง ฯ
หลังจากที่พ่อไปแล้ว แม่ก็จัดแจงต้มน้ำ ฉีกผ้าอ้อม เตียมอุปกรณตัดสายสะดือ ปูผ้า แล้วก็นอน
แล้วก็ถึงเวลาที่หนูหิ่ง ฯ ลืมตาขึ้นมาดูโลก หญิงแกร่งของหนูหิ่ง ฯ คลอดเอง ตัดสายสะดือเอง
อาบน้ำให้หนูหิ่ง ฯ เอง เก็บรกเอง ทำความสะอาดบ้านและตัวเองเสร็จสรรพ มหัศจรรย์มาก
จะเป็นเพราะว่าแม่มีประสบการณ์การทำคลอดให้คนอื่น กับตัวเองมาแล้วหลายคนมั้ง ก็เลยทำอะไรเป็นง่ายไปหมด
คลอดหนูหิ่ง ฯ ก็ง่าย เพราะหนูหิ่ง ฯ เป็นลูกคนที่ 7 พี่ชาย 3 พี่หญิง 3 คงทำให้แม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
พอรุ่งเช้าวันที่ 2 ลุงกำนันแวะมาที่บ้าน นั่น ได้เป็นผู้มีพระคุณที่กรุณาตั้งชื่อให้หนูหิ่ง ฯ ไม่งั้นหนูหิ่ง ฯ อาจจะได้ชื่อแปลก ๆ
เป็นต้นว่า คำอ้าย คำอี่ หรือคำหล้า ก็เป็นได้ เพราะที่บ้านก็มีทั้งคำเอ้ย และคำแปง
ขอบคุณมากนะคะลุงกำนัน ที่ช่วยออกใบเกิดแล้วก็ตั้งชื่อให้
สาย ๆ หน่อยพ่อก็กลับมาบ้าน ได้อุ้มหนูหิ่ง ฯ เป็นคนที่ 2 รองจากลุงกำนัน
* * * แกร่ง * * *
พอโตขึ้นจำความได้แล้ว มักจะมีคนมาหาพ่อกับแม่ที่บ้านเสมอ มาเยี่ยมบ้าง มาให้ช่วยบ้าง
ที่บ้านต้มเหล้าขาวและเหล้าข้าวโพดขายค่ะ ชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งตำบลเพราะสมัยนั้นตร.ไม่จับเนาะ
จำได้ว่าครั้งหนึ่ง มีคนถูกต้นไม้โค่นลงมาเฉี่ยว จนเสี้ยนของต้นไม้....ใหญ่มาก ทิ่มเข้าไปที่ข้อเท้า จนถึงแถวเข่า
เลือดก็เยอะ คนก็เจ็บ ร้องโอดโอย ถูกหามมาหาแม่ที่บ้าน อุแม่เจ้า น่ากลัวสุด ๆ
แม่หนูหิ่ง ฯ ทำไงหรอคะ เอาฝิ่นขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟให้คนเจ็บกิน แล้วเอาเหล้า 45 ดีกรีที่ต้มเองราดไปที่แผล
แล้วก็ให้คนช่วยจับมือไพล่หลังแล้วมัด เพราะกลัวคนเจ็บดิ้นมาก จะจับไม่อยู่
จากนั้นก็ใช้มีดโกนแหวกปากแผล แล้วก็ดึงเสี้ยนขนาดใหญ่ออก เสร็จแล้วก็เอาเหล้าราดอีกที
จากนั้นก็ใช้เข็มกับด้ายธรรมดา ๆ ที่มีแช่ในเหล้า แล้วก็มาเย็บ ๆ ๆ ๆ ชุน ๆ ๆ ๆ เหมือนผ้า
โฮ่ ๆ ๆ ๆ หนูหิ่ง ฯ จาเป็นลม ส่วนคนเจ็บน่ะสลบไปแล้วค่ะ
* * * แกร่ง * * *
ด้วยความที่อยู่ในป่าในเขา ก็ต้องมีเรื่องฝิ่น กับปืนเถื่อนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอยู่เสมอ ๆ
บ้านหนูหิ่ง ฯ ก็จะได้ต้อนรับเหล่าบรรดาข้าราชการบรรดาศักดิ์อยู่เนือง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นครู หมอ เกษตร ป่าไม้ กรมทาง ฯ ตำรวจภูธร ตำรวจตระเวนชายแดน ฯลฯ
มีอยู่วันหนึ่ง ตำรวจตระเวนชายแดนมาตรวจค้นที่บ้าน สงสัยมีคนแจ้ง.... หรือเปล่า ?
ก็ค้นเจอปืนเอ็ม 16 เถื่อน 2 กระบอก ปีน 19 มม. 2 กระบอก ปืน .357 อีก 2 กระบอก ปืน .22 อีก 1 กระบอก (อันนี้มีทะเบียน)
ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีทะเบียนทั้งสิ้น อาจจะมีคนมาขายให้บ้าง หรือจำนำบ้างมั้งคะ จำไม่ได้ค่ะ
แม่เห็นตชด.มาแม่ก็คงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่บอกให้พ่อรีบไปสวน แล้วอย่ากลับมาจนกว่าจะไปเรียก
เพราะพ่อหนูหิ่ง ฯ เป็นคนจีน พูดไทยไม่ได้ ขืนให้พ่อรับว่าเป็นเจ้าของบ้านคงจะยุ่งอีรุงตุงนัง
แล้วแม่ก็รับเป็นเจ้าของบ้าน ก็เลยถูกเชิญขึ้นรถฟรีไปที่โรงพักอำเภอฮอด ระยะทางประมาณ 90 กม.
ข่าวดังมาก จนหมอศุภกิจ ที่รู้จักแม่ แล้วก็สนิทกันมากมาหาที่โรงพัก จะพาแม่ไปนอนที่บ้าน
แล้วก็ขอเอาตำแหน่งข้าราชการประกันตัวแม่ แต่ตำรวจไม่ให้ประกัน จะจับแม่เข้าห้องขังให้ได้
แต่หมอไม่ยอม หมอบอกตำรวจว่า ถ้าจะจับพี่สาวผมเข้าคุก ผมจะเข้าแทน
ผมไม่ยอมให้พี่สาวไปนอนในห้องขังเด็ดขาด เจอทีเด็ดหมอยืนกรานขนาดนั้น
ตำรวจก็ต้องปล่อยแม่ให้ไปนอนบ้านหมอ แล้วก็เสียค่าปรับไป ปืนได้คืนหรือเปล่าไม่รู้ จำไม่ได้ค่ะ
โชคดีที่ไม่เจอฝิ่น เพราะปรกติแล้วที่บ้านจะมีฝิ่นด้วย เอาไว้ขาย แล้วก็เป็นค่าจ้างคนงาน
^___^ ตอนนี้พูดได้ เพราะเวลาผ่านไปหลายสิบปี และขณะนี้ก็ไม่มีฝิ่นให้เห็นแล้ว ปืนก็มีใบเรียบร้อยแล้ว
ตอนหนูหิ่ง ฯ โต แม่พาไปกราบหมอศุภกิจครั้งหนึ่ง จำได้คลับคล้ายคลับคลาอยู่แถวแม่ริม หรือแม่แตงนี่ล่ะค่ะ
แต่ตอนนี้ไม่ได้ข่าวเลย ไปหาบ้านก็ไม่เจอแล้ว จำไม่ได้แล้วค่ะ
* * * อัจฉริยะ * * *
ต่อมาไม่นาน ที่หมู่บ้านของหนูหิ่ง ฯ ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวฝรั่งไปเดินป่า ไปน้ำตก ไปหมู่บ้านชาวเขา
แล้วแม่ก็ขายของชำ ขายก๋วยเตี๋ยว ขายกับข้าว เพราะเลิกทำเหล้าแล้ว
พอมีฝรั่งมาบ่อย ๆ ปรากฎว้า.... แม่หนูหิ่ง ฯ สปีคอิงลิชได้วุ้ย คุยกะฝรั่งรู้เรื่องด้วย คิดเงินถูกด้วย
ทั้ง ๆ ที่แม่ได้รู้หนังสือเลยสักกะติ๊ด ตัวเลขอะไรเป็นอะไรก็ยังงง ๆ แต่คิดเงินเก่งชะมัด
แล้วเวลาเล่นไพ่ก็รู้หมดว่าอะไรเป็นอะไร แต่เวลากดโทรศัพท์ ไม่เคยกดได้เองสักครั้งเลยนะแม่นะ
ต้องตั้งเบอร์โทรด่วนให้ กดค้างเลข 2 จะเป็นเบอร์ไคร กดค้างเลข 3 เป็นเบอร์ของใคร
จนกระทั่งถึงเลข 9 แม่ก็จำแม่นมากว่าเบอร์ไหนเป็นของใคร
ขึ้นลิฟท์ก็ยังขึ้นไม่เป็นจนกระทั่งทุกวันนี้ เดือดร้อนชาวบ้านต้องพาไปส่งทุกทีนะแม่นะ
นอกจากสปีคอิงลิชกะฝรั่งรู้เรื่องกันแล้ว แม่ก็ยังพูดจีน กะเหรี่ยง ลั้วะ แม้ว อีก้อ มูเซอ ไต แซ่ม และเย้าได้
นั่น ! อัจฉริยะไหมคะ
มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ซิงจับแม่ยัดใส่เครื่องมาหาหนูหิ่ง ฯ ที่กทม. หนูหิ่ง ฯ ก็ไปรับที่ดอนเมือง แม่ก็สามารถนะ ไม่กลัวด้วย
แต่เวลากลับ ต้องไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ นั่น ! แม่จะหาทางไปขึ้นเครื่องยังไงล่ะเนี่ย ? ? ? หนูหิ่ง ฯ เข้าไปไม่ได้ด้วยสิ
แม่บอกไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ถามเอง หรือไม่ก็ให้เจ้าหน้าที่เขาไปส่ง นั่นแน่ แม่แน่มากจะใช้เจ้าหน้าที่เขาซะงั้น
พอไปเช็คอิน โชคดีมีคนไปไฟล์ทเดียวกัน หนูหิ่ง ฯ ก็เลยฝากแม่ไปกับเขา รอดตัวไปทีนะแม่นะ
ไม่งั้นแม่อาจจะหลงทางอยู่ข้างในทั้งวันก็ได้ ^__^
ปัจจุบันวันนี้แม่อายุ 71 ยังแข็งแรงดี สุขภาพจิตดี เที่ยวดี ใช้เงินก็ดี นิแม่นิ
23 มกราคม 2554 21:19 น.
หิ่งห้อยน้อยใจ
วันพุธ ที่ 19 มกราคม 2554
ประมาณตี 4 พี่สาวบ่นร้อน แล้วก็ดึงผ้าห่มออก ดึงเสื้อผ้าออก แล้วก็ดึงเข็มที่ติดไว้กับหลอดเลือดเทียมเหนือหน้าอกด้านซ้ายหลุด
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเรียกพยาบาลมาดู พี่เขาบอกไม่เป็นไร พรุ่งนี้จะใส่ให้ใหม่
ประมาณ 06.00 น.พี่ซิงก็ตื่น แล้วคุยกับหนูหิ่ง ฯ ว่าเราพาพี่กลับบ้านกันไหม ? เพราะหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกให้โทร.ไปคุยกับหลาน ให้หลานไปคุยกับพี่เขย เพราะจนกระทั่งปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่ยอมรับความจริง
พี่เขยหนูหิ่ง ฯ เป็นคนดีมาก ๆ รักพี่สาวหนูหิ่ง ฯ มาก ๆ ทั้ง ๆ ที่พี่สาวหนูหิ่ง ฯ อ้วนแล้วก็ไม่แต่งตัวเลย
พี่เขยคนนี้ก็เหมือนเป็นพ่อคนอีกคนของหนูหิ่ง ฯ เพราะอายุต่างกันมาก หนูหิ่ง ฯ ยอมรับว่าพี่เขยเป็นคนที่รักภรรยาจริง ๆ
ไม่เคยเจ้าชู้ เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ ไม่เคยมีเล็กมีน้อย ทั้ง ๆ ที่โดยฐานะแล้วจะมีเป็นสิบคนก็ยังได้
ที่สำคัญพี่สาวหนูหิ่ง ฯ มีลูกสาวหมดเลย 5 คน ไม่มีผู้ชายไว้สืบสกุลสักคนเดียว (คนจีนจะให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว)
แต่พี่เชยหนูหิ่ง ฯ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่เคยคิดจะมีคนใหม่เพื่อให้ได้ลูกชายเหมือนคนอื่นที่เคยได้ยินมา
เวลาประมาณ 07.00 น. พี่โหย่งก็มาถึงโรงพยาบาลพร้อมแผ่นซีดีเปล่า เมื่อคืนหนูหิ่ง ฯ นั่งโหลดเพลงพระคาถาชินบัญชร
ทั้งภาษาบาลี และแปลภาษาไทย ได้พระคาถาพาหุงด้วย จะได้เปิดให้พี่สาวฟังเวลาแกหลับ
ประมาณ 08.00 น. พี่ซิงก็ช่วยให้พี่สาวล้างหน้า - แปรงฟัน เสร็จแล้วก็ให้กินน้ำเต้าหู้กับรังนก เพราะแกไม่ยอมกินอย่างอื่นเลย
หนูหิ่ง ฯ ถามว่าเจ้รักหนูไหม แกก็พยักหน้า เจ้จำได้ไหมเวลาที่หนูไปทำงานต่างจังหวัด
เจ้มักจะส่งสารพัดผักไปกับคนขับรถให้หนูทีละเข่งเสมอ เพราะเจ้รู้ว่าหนูชอบกินผัก
ฤดูที่มีเห็ดถอบ เจ้ก็นำมาต้มแล้วแช่แข็งเก็บไว้ให้หนูกินเวลาหนูกลับไปบ้าน
กับสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ที่หนูชอบกินเจ้ก็จำได้ ถ้ามีเมื่อไหร่เจ้ก็จะเก็บแช่แข็งไว้ให้หนูอีกเหมือนกัน
เวลาเจ้ได้กินอะไร หนูก็ได้กินด้วยเสมอ (แต่เวลาหนูได้กิน เจ้ไม่ได้กินเนาะ ^__^)
เมื่อเดือนก่อนหนูมียาหม้อมาต้มให้เจ้กิน เจ้ไม่ยอมกิน จนหนูต้องกินเป็นเพื่อน
เห็นไหมขนาดกินยาเรายังกินด้วยกัน ป่วยเราก็ป่วยด้วยกัน เข้าโรงบาลเดียวกัน
เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ทีนี้พอถึงเวลาเจ็บ เราก็ต้องเจ็บด้วยกัน ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เจ้เจ็บ
เจ้ต้องแบ่งให้หนูครึ่งหนึ่งนะ ตกลงไหม ? แกก็ยิ้ม แล้วพยักหน้า ^__^
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ถามว่าตอนนี้เจ้อยากกลับบ้านไหม แกก็พยักหน้า ^__^
ประมาณ 09.30 น. หลานสาวกับหลานเขยก็มาถึงโรงบาล พวกเราช่วยกันเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน
กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็บ่ายสองโมงครึ่ง กลับถึงบ้านบ่ายสามโมงครึ่ง พี่สาวถามว่าถึงบ้านแล้วหรือ พอบอกว่าถึงแล้วแกก็ยิ้ม
ดูท่าทางแกไม่ทุรนทุราย คิ้วไม่ขมวด แสดงว่าแกคงไม่เจ็บ ญาติ ๆ จากต่างจังหวัด ต่างอำเภอก็มากันเต็ม
กลางคืนหนูหิ่ง ฯ กับหลานเซียงนอนก็พี่สาว เพราะต้องคอยดูอ็อกซิเจนให้แกด้วย กลางคืนพี่สาวหลับดีมาก
ไม่มีบ่นร้อนเหมือนตอนอยู่โรงบาลเลย สงสัยว่าเตียงของโรงบาลจะหุ้มด้วยพลาสติก นอนนาน ๆ ก็เลยร้อนที่หลัง
คืนนี้ไม่ได้ยินเสียงพี่สาวเรียกเลย แต่ก็ลุกขึ้นดูสายอ็อกซิเจนตลอดคืน เพราะแกรำคาญคอยแต่จะดึงออกค่ะ
หนูหิ่ง ฯ เพิ่งรู้สึกว่าโรคเครียด - นอนไม่หลับมีประโยชน์คราวนี้นี่เอง ได้ดูแลพี่สาวเต็มที่ นอนวันละ 2 - 3 ชั่วโมง
เวลา 06.30 น.พี่ซิงก็มาเช็ดหน้า เช็ดฟัน แล้วก็ป้อนรังนก แกก็กินได้ หลังจากนั้นแกก็หายใจแรง แม่เข้ามาดู
แล้วก็บอกว่าให้ไปเรียกพี่เขยมา หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปเรียกพี่เขย หนูหิ่ง ฯ บอกแกว่าจะขอไปเก็บข้าวของเครื่องใช้
กับเพชร - ทองของพี่สาวมาใส่ให้เขานะ แล้วพี่เขยก็ไปอยู่กับพี่สาวนะ อยากคุยอะไรก็คุย แกก็ถามว่าจะไปแล้วหรอ
ยังมั้ง น่าจะไปพรุ่งนี้นะ วันนี้ยังไม่น่าไปหรอก ประมาณว่าจะดึงให้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ อยู่ให้นานที่สุดอ่ะค่ะ *__~
พวกหนูหิ่ง ฯ ก็ทำกรวยดอกไม้ - ธูป - เทียน ให้พี่สาวถือไว้แล้วพูดนำให้แกคิดตาม เพื่อขออโหสิกรรมกับแม่
เสร็จแล้วพี่เขยก็ขออโหสิกรรม และอโหสิกรรมให้กับพี่สาวพร้อมทั้งบอกให้พี่สาวอย่าได้เป็นห่วงเลย
หลาน - น้อง - ญาติ ก็นำกรวยดอกไม้ - ธูป - เทียน เพื่อขอให้พี่สาวอโหสิกรรม พร้อมทั้งบอกแกว่าอย่าได้เป็นห่วง
พวกเราจะดูแลกันอย่างดี ไม่ต้องกังวล ขอให้ไปอย่างหมดห่วง หลาน - เหลนน้อย พวกเราจะดูแลให้โตขึ้นเป็นคนดี
แล้วหนูหิ่ง ฯ กับหลานเชียง หลานหุ๋ย ก็ช่วยกันสวดพระคาถาชินบัญชร อิติปิโส พาหุง แล้วก็จับมือพี่สาวกรวดน้ำ
แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็นำน้ำไปกรวดใต้ต้นไม้.... ขอให้ดวงวิญญาณพี่สาวไปสู่สุคติ
หนูหิ่ง ฯ กับหลานก็สวดพระคาถาชินบัญชรต่อ น้ำตาไหลไป ก็สวดไป แต่ไม่ให้น้ำตาถูกตัวพี่สาวนะ เดี๋ยวแกจะมีกังวล
จากนั้นญาติพี่น้องก็ทะยอยกันเข้ามาในห้องเอามือแตะตามตัวของพี่สาวแล้วก็อธิฐานให้แกไปอย่าได้มีกังวล
แล้วพี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็จากไปอย่างสงบ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า วันพฤหัสบดี ที่ 21 เวลา 11.39 น. เป็นเวลาสิ้นสุดท้ายลมหายใจ......
หนูหิ่ง ฯ กับพี่ ๆ ก็ช่วยกันโทร.บอกญาติต่างจังหวัด หลาน ๆ ก็ช่วยกันโทร.บอกลูกค้า คนที่เคารพนับถือกัน
ก็บอกครบบ้างไม่ครบบ้างเพราะนึกไม่ออก ส่วนเพื่อน ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็ SMS ไปบอก เพราะไม่อยากคุยโทรศัพท์
บางคนก็โทร.กลับมาแต่หนูหิ่ง ฯ ไม่ได้รับ เพราะยุ่งมาก พี่เขยหนูหิ่ง ฯ ให้ไว้แค่ 3 วัน 2 คืน
เสียวันที่ 21 เผาบ่ายวันที่ 23 น้าของหนูหิ่ง ฯ มาถึง 5 โมงเย็นไม่ทันเห็นพี่หลั่ง แกร้องให้ใหญ่เลย
เพราะแกเป็นคนเลี้ยงพี่หลั่งตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่ง 6 ขวบ ต่อมาแกก็ได้สามีเป็นคนจึนอาศัยอยู่ที่เชียงตุง ประเทศพม่า
กว่าจะทำเรื่องผ่านแดนมาถึงเชียงใหม่ได้ก็เสียเวลา ทำให้แกมาไม่ทัน ก็ได้แต่กอดกันร้องให้
พรุ่งนี้บ่ายก็จะเก็บกระดูแล้ว ก็เลยให้แกรอเก็บกระดูกแทนค่ะ *__~
* ขอให้พี่จงไปสู่สุคติเถิด *
แสนอาลัย พี่สาว สุดที่รัก
เคยทายทัก พูดจา อยู่เสมอ
จากวันนี้ ต่อไป ไม่มีเธอ
ให้พบเจอ อีกแล้ว นะแก้วตา
หลับเถิด พี่สาว ที่แสนดี
ในวันนี้ จะบรรเลง เพลงหรรษา
ให้พี่ค่อย พักผ่อน หย่อนกายา
หลับตา.... ให้สนิท.... ตลอดกาล
สิ้นทุกข์โศก ภพนี้ ที่เจ็บป่วย
ก็เพราะด้วย โรคร้าย ได้เผาผลาญ
จึงต้องลา ลับร่าง ทิ้งอังคาร
เดินทางผ่าน ภพนี้ หนีจากไป
ขอให้พี่ ไปดี มีความสุข
ละทิ้งทุกข์ โรคภัย ได้สดใส
ยังภพภูมิ เบื้องหน้า ฟ้าอำไพ
อย่าห่วงใย คนข้างหลัง ยังอยู่ดี
จารึกไว้ ในใจ ทุกผู้คน
ความดีล้น มากมาย ในโลกนี้
ชนรุ่นหลัง จะจดจำ ชั่วชีวี
สิ่งที่พี่ สร้างสมไว้ ในโลกา
ขออันเชิญ เทวราช ชั้นสูงสุด
รับวิญญาณ อันพิสุทธิ์ สู่ชั้นฟ้า
ส่งเทวินทร์ มารับ ศรีกัลยา
สู่สวรรค์ เทวาลัย ไปนิรันดร์