6 ธันวาคม 2544 10:04 น.
หิ่งห้อย
ชื่อว่าพ่อชื่อว่าแม่แปลว่าหนัก
แบกความรักจากใจให้ลูกเจ้า
พ่อดูแลแม่เลี้ยงดูผู้ยังเยาว์
ป้อนน้ำข้าวดูแลแต่เนิ่นนาน
อันความหวังตั้งใจในพ่อแม่
ได้ผันแปรฝังปลูกให้ลูกหลาน
ให้ร่ำเรียนเพียรต่อพอประมาณ
อธิษฐานบันดาลช่วยอำนวยพร
เฒ่าชราคู่นั้นในวันนี้
คือผู้ที่น่าชูผู้เคยสอน
เป็นช่างศิลป์คอยปั้นตามขั้นตอน
เป็นผู้สอนเป็นผู้ส่งเผ่าวงศ์วาน
เป็นเรื่องเศร้าเฒ่าชราเวลานี้
เพียงเห็นมีจานข้าวเปล่าอาหาร
มีไม้เท้ายาววาพาเดินคลาน
มีไม้เท้าเท่านั้นยันกายา
สั่นงกเงิ่นเดินคลานสังขารโรย
อ่อนระโหยโรยแรงตะแคงบ่า
มีอาหารได้เพียงเลี้ยงกายา
รอเวลาคืนร่างอย่างทรมาน
6 ธันวาคม 2544 09:21 น.
หิ่งห้อย
วันเวลาคร่าชีวิตคิดเสียบ้าง
รีบก่อร่างสร้างตัวอย่ามัวท้อ
ทำวันนี้ดีกว่าอย่ารีรอ
หากมัวท้อก็หมดค่าราคาคน
ศพเดินได้หมายความว่าถ้ามัวท้อ
มัวแต่รอก็เหมือนตายมลายป่น
รออยู่ได้เหตุไฉนไม่อายคน
ผู้ดิ้นรนคือคนนั้นมันไม่ตาย
ใช่จะด่ามาด้วยกลอนหรือสอนให้
เพียงเตือนใจให้ฟื้นอย่าตื่นสาย
ตื่นแล้วดิ้น...ดิ้นเข้าไปมันไม่ตาย
ยังดิ้นได้ทำชีวิตคิดทำเป็น
งานสุจริตคิดทำไปไม่ตายหรอก
อย่าจนตรอกรู้จักตรองก็มองเห็น
อันทุจริตผิดกฏหมายตายทั้งเป็น
จงละเว้นอย่าเห็นหอกเป็นดอกบัว
คิดทำเป็นเว้นชั่วได้ไม่ตายหรอก
หาทางออกบอกเตือนตนค้นให้ทั่ว
วันเวลาคือศัตรูอยู่ใกล้ตัว
จงตื่นกลัว...ถ้ามัวท้อ...ก็เหมือนตาย
6 ธันวาคม 2544 09:07 น.
หิ่งห้อย
เสียงกระซิบเบาเบาเมื่อคราวนั้น
ยังจำมั่นฝังใจไม่เลือนหาย
เสียงจากแม่หยอกเย้าเราลูกชาย
เมื่อยามบ่ายให้ขึ้นบ่าร่าเริงใจ
แม่วางร่างน้อยน้อยคอยประชิด
แม่ปกปิดป้องกันไม่หันหาย
แม่ก้มจูบลูบเคล้าเราลูกชาย
แม่เอนกายเปิดไหล่ให้กินนม
แม่เอ่ยเพลงจันทร์เจ้าป้อนข้าวซ้ำ
แม่ให้หม่ำพอหมดรสหวานขม
แม่บันเทิงเริ่งร่าเร้าอารมณ์
แม่ชื่นชมลูกชายสายสัมพันธ์
แม่เอ่ยเชิดลูกชายเป็นนายคน
แม่หวังผลไว้ว่าข้างหน้านั้น
แม่จะชูลูกชายเป็นนายพัน
แม่จะปั้นให้รู้สู่ดวงดาว
เสียงกระซิบเบาเบาเมื่อคราวนั้น
คือความฝันหมายปองของแม่เจ้า
มาบัดนี้มีรอยฝันนั้นแผ่วเบา
ร่างแม่เราเป็นเถ้าถ่านอวสานลา
เหลือรอยฝันแม่เราเพียงเท่านั้น
เตือนใจฉันให้รำพึงคะนึงหา
ฝันเจ้าเอยฝังใจไม่สร่างซา
ประหนึ่งว่าข้าเคียงฝันนิรันดร
5 ธันวาคม 2544 23:02 น.
หิ่งห้อย
ทุกข์เพราะจนกลแก้แค่รู้ค่า
เราเกิดมาตัวเปล่าเอาแค่นี้
มาตัวเปล่าทุกวันนั้นพอมี
เอาเท่านี้ดีกว่าอย่าหลงกล
ทุกข์เพราะรูปไม่หล่อก็อย่าทุกข์
จงปลอบปลุกทุกวันนี้ดีกว่าต้น
เมื่อก่อนนี้อยู่ในครรภ์มันมืดมน
นอนขดก้นปนมูตดูดเลือดกิน
ทุกข์เพราะโง่...โถ..อย่าทุกข์ลุกขึ้นสู้
อันความรู้อะไรไม่จบสิ้น
ยอดความรู้..รู้ตัวเองเก่งอาจิณ
รู้เก็บสินรู้จักใช้ไม่โง่เลย
ทุกข์เพราะอยากรู้จักพอก็ไม่ทุกข์
อยากจิกจุกทุกข์เปล่าเราวางเฉย
กลแก้ทุกข์ความอยากไม่ยากเลย
เพียงวางเฉยรู้จักพอก็สบาย
ทุกข์เพราะรักหักห้ามใจอย่าไปหลง
รู้จักปลงรู้จักวางทางแก้ง่าย
อย่าไปรักจนอกหักจักอันตราย
ยังไม่สายรักใหม่ได้ง่ายนิดเดียว
ทุกข์เพราะเจ็บเพราะไข้อย่าไปท้อ
แม้แต่หมอก็เจ็บไข้ให้เฉลียว
ความเจ็บไข้ใช่ของเราเหมาคนเดียว
มันมาเที่ยวมาตาม...ธรรมดา
4 ธันวาคม 2544 21:50 น.
หิ่งห้อย
***ผ่านทุ่งนาป่ากว้างหนทางเปลี่ยว
เดินคนเดียวแรมรอนนอนพักบ้าง
วันต่อวันมั่นหมายสู่ปลายทาง
เดินเหยียบย่างทางคดหมดเรี่ยวแรง
***ทุ่งกุลาอากาศร้อนตอนยามสาย
ตกตอนบ่ายสุริยันพลันอ่อนแสง
นภาผ่องมองรอบขอบฟ้าแดง
กลิ่นหญ้าแห้งหอมโหยโชยเฉื่อยเย็น
***ตามเส้นทางที่ผ่านบ้านน้อยใหญ่
สังเกตได้วัวควายไม่ค่อยเห็น
ถามชาวนาเขาว่าไม่จำเป็น
ภาพที่เห็นเป็นทุ่งหญ้าน่าเสียดาย
***ลืมกันได้วัวควายหายไปไหน
สบสมัยไถคราดมิขาดหาย
อันงานชิ้นดินโคลนโยนให้ควาย
มีข้าวขายได้กำไรไม่ขาดทุน
***อันควายตัววัวด้วยช่วยปลดหนี้
แต่บัดนี้หนีเดิมเขาเติมศูนย์
พากันบ่นต้นดอกยิ่งพอกพูน
การเกื้อกูลกสิกรรมตกต่ำลง
***วัวก็หายควายหมดเริ่มอดอยาก
จึงขอฝากชาวนาอย่าลุ่มหลง
สำนึกเก่าเอามาฝากจากคนดง
ด้วยประสงค์สืบสานโบราณไทย
***มองทุ่งกว้างยามเย็นเห็นภาพเก่า
บ้านนาเราโบราณนั้นจำได้
ยามเย็นเย็นเช่นนี้มีวัวควาย
เดินกรีดกรายชายทุ่งอิ่มพุงกาง
***แต่ภาพนั้นวันนี้ไม่มีแล้ว
เหลือเพียงแนวคันนาขอบฟ้ากว้าง
แสนเสียดายหญ้าปล้องและกองฟาง
ถูกทิ้งขว้างไร้ค่าน่าเสียดาย
***คำว่าโง่เหมือนควายใครโง่แน่
นึกจะแก้อย่างไรแก้ไม่ได้
ควายนั้นโง่เหลือทนคนหรือควาย
ใครตอบได้หายข้องใจให้รางวัล