18 กรกฎาคม 2550 15:41 น.
หัตถา อินจัน
เวลาประมาณ 1 ทุ่ม แม่บอกว่าพ่ออาเจียนออกมาเป็นเลือด ตอนนี้หมอกำลังทำการรักษาอยู่ ฉันตกใจมาก พอวางสายของแม่แล้ว ฉันรีบโทรศัพท์หาน้องทุกคน เพื่อจะเดินทางไปหาพ่อกัน แต่ปรากฏว่าขณะนั้น ทุกคนไม่มีเงินกันเลย
3 ทุ่มตรง แม่โทรมาอีกครั้ง บอกว่าหมอกำลังให้เลือดพ่ออยู่ แต่ร่างกายพ่อไม่รับ ให้ไปเท่าไหร่ก็ไหลออกมาหมด แม่ร้องไห้ ฉันโทรหาน้องอีกครั้ง ขณะนั้นน้องขอยืมเงินเพื่อนได้แล้ว แต่จะต้องไปที่บ้านเพราะอยู่คนละที่
เวลา 5 ทุ่มครึ่ง ฉันและน้องๆ รีบนั่งรถไปที่สถานีขนส่งรังสิต เพราะน้องบอกว่ามีรถเที่ยวสุดท้าย เวลา เที่ยงคืนครึ่ง พอถึงสถานี เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องไปซื้อตั๋วที่สถานีขนส่งนวนคร ฉันกับน้องรีบนั่งแท็กซี่ไปที่นวนคร เมื่อถึงปรากฏว่าช่องขายตั๋วปิดแล้ว ฉันรู้สึกแย่มากๆ เพราะแม่โทรมาถามตลอดว่าถึงไหนกันแล้ว พ่ออาการทรุดลงเรื่อยๆ
พอดีแถวนั้นมีรถแท็กซี่จอดอยู่หลายคัน เขาเข้ามาถามว่าจะไปไหนกัน พอรู้เรื่องเขาเลยบอกว่าจะมีรถตู้วิ่งไปนครสวรรค์ ให้รอแล้วค่อยต่อรถไปพิษณุโลก ฉันและน้องนั่งรอด้วยความกระวนกระวายใจ แม่โทรมาไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ฉันรู้สึกใจไม่ดี เลยขอหลวงพ่อพุทธชินราชที่น้องชายคล้องอยู่ มาอธิษฐานให้พ่ออยู่รอฉันและน้องก่อน
ฉันได้ขึ้นรถตู้ตอนประมาณตี 3 กว่าเล็กน้อย โชคดีที่รถวิ่งเข้าพิษณุโลกเลย ฉันและน้องจึงไม่ต้องไปต่อรถที่นครสวรรค์ รถถึงบ้านฉันเกือบ 8 โมง ฉันและน้องรีบไปที่โรงพยาบาล แม่ยืนร้องไห้อยู่ หมอบอกว่าพ่อหายใจอ่อนมากแล้ว ถ้าเอาเครื่องช่วยหายใจออกพ่อจะหายใจไม่ได้
ตอนที่ฉันเรียกพ่อ พ่อกลืนน้ำลายลงคอแต่ไม่สามารถขยับตัวได้ ตาของพ่อฝ้าฟางไม่มีแวว เมื่อน้องสาวและน้องชายเรียกพ่อ พ่อขยับแขนและขาได้เล็กน้อย เวลา 8 โมงครึ่งหมอใหญ่ มาตรวจพ่อ ดูการตอบสนองของร่างกาย และชีพจร แต่พ่อไม่หายใจแล้ว หมอลงเวลาเสียชีวิตของพ่อ 8.45 น.
แม่ร้องไห้ แต่ฉันไม่กล้าร้อง ฉันไม่อยากให้พ่อรู้สึกกังวล ฉันต้องเป็นหัวแรงในการจัดงานของพ่อด้วย ฉันพยายามทำอย่างดีที่สุด ฉันไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น แต่น้ำตาของฉันมันไหลย้อนเข้าไปในอก
ฉันดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ แม้ใครๆ จะมองว่าพ่อของฉันดุ พ่อฉันตั้งความหวังไว้สูงเสมอ ที่จะเห็นลูกๆ เติบโตขึ้นมาเป็นเจ้าคนนายคน ทั้งๆ ที่ไม่มีลูกคนไหนทำได้ดังใจพ่อเลย แต่สุดท้ายพ่อก็ยอมรับสิ่งที่ลูกๆ เป็น
ฉันวางแผนอนาคตไว้เพื่อพ่อมากมาย โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ และค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น รอยยิ้มของพ่อทำให้ฉันชื่นใจเหลือเกิน เมื่อสามารถบรรลุเป้าหมายในแต่ละครั้ง ฉันก็เตรียมเป้าหมายใหม่ไว้ทันที เพราะฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อจะอยู่กับฉันนานหรือเปล่า
บัดนี้ พ่อไม่อยู่เป็นความหวังให้ฉันอีกแล้ว ฉันรู้สึกใจหาย ที่ผ่านมาฉันทำงานอย่างหนักเพื่อพ่อ แม้ฉันจะมีครอบครัวแล้ว แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ฉันพยายามหามานั้น ฉันตั้งใจหามาเพื่อพ่อ
ฉันซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ให้พ่อ พ่อเคยบอกว่าไม่ต้องซื้อ ของเดิมก็ยังใช้ได้อยู่ แต่แม่เคยแอบบอกฉันว่า พ่อยิ้มหน้าบานทุกครั้งที่เวลามีคนมาบ้านแล้วทักว่าลูกซื้อโน่นให้ใหม่ ซื้อนี่ให้ใหม่
ถึงแม้ว่าตอนนี้พ่อจะจากฉันและน้องๆ ไปแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่สามารถจะลืมพ่อได้ ฉันยังจำคำพูด และรอยยิ้มของพ่อได้เสมอ พ่อพูดทุกครั้งที่ฉันได้มีโอกาสไปหาพ่อ หรือแม้กระทั่งเวลาการคุยกันทางโทรศัพท์ พ่อบอกให้ฉันดูแลน้อง อย่าทิ้งน้อง พ่อยังกลัวว่าลูกๆ จะลำบากเมื่อไม่มีพ่ออยู่แล้ว
ฉัน..ขอสัญญากับพ่อ..ฉันจะรักน้องทุกคน และจะดูแลน้องๆ ให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง..
18 กรกฎาคม 2550 14:49 น.
หัตถา อินจัน
พ่อดูสดใสขึ้น แต่ยังมีอาการเหนื่อยหอบเป็นระยะๆ แต่กระนั้นพ่อก็ยังไม่สามารถหยุดบุหรี่ได้ พ่อสูบบุหรี่จัดมาก แม่พยายามซ่อนบุหรี่ เวลาที่พ่อหงุดหงิดมากๆ แม่จึงหยิบออกมาให้ 1 มวน
หลังจากที่แม่จำกัดการสูบบุหรี่ของพ่อได้บ้างแล้ว พ่อก็ลดการสูบลงได้ จากวันละ 2-3 ซอง เป็นวันละ 1 ซอง และ 2-3 วันต่อซอง แต่พ่อก็ไม่สามารถหยุดสูบได้ แต่ฉันก็ดีใจแล้ว
ช่วงนี้ฉันไปหาพ่อทุกอาทิตย์ เดินทางวันศุกร์กลางคืน ถึงบ้านเช้าวันเสาร์ ใช้เวลาเดินทาง 5-6 ชั่วโมง อยู่เป็นเพื่อนพ่อแทนแม่ เพราะช่วงนี้แม่ต้องหยุดขายของ เพื่อมาดูแลพ่อ
ด้วยเหตุที่หลังออกจากโรงพยาบาล พ่อยังมีอาการหลงๆ ลืมๆ อยู่บ่อยๆ ถึงขนาดเคยขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปซื้อของในเมือง แล้วไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหนต่อ เลยได้แต่นั่งคร่อมรถอยู่บริเวณเส้นแบ่งกลางถนนนั่นเอง
โชคดีที่น้องชายของแม่เห็นเข้าพอดี เลยโทรศัพท์มาบอกแม่ ตั้งแต่นั้น แม่เลยเก็บกุญแจรถทุกชนิด ไม่ให้พ่อแอบขับออกไปไหนอีก
วันที่ 20 มิถุนายน 2550 เวลาบ่ายโมงตรง ฉันโทรศัพท์ไปหาพ่อ เนื่องด้วยที่ผ่านมาฉันงานยุ่งมากเลยไม่ได้โทรหาพ่อ พ่อดีใจที่ฉันโทรมา และถามว่าเมื่อไหร่จะมา ฉันบอกว่าเดี๋ยวสิ้นเดือนฉันจะไป
ช่วงนี้ฉันไม่มีเงินเลย เพราะว่าใช้หนี้ไปหมด เงินที่ใช้จ่ายในแต่ละวันนั้นได้มาจากแฟนของฉันขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างช่วงหลังเลิกงานได้วันละไม่กี่บาทเท่านั้น
ตอนเย็น แม่โทรศัพท์มาบอกว่า พ่อรู้สึกใจไม่ดี เหมือนจะเป็นลม แม่จะพาพ่อไปหาหมอ ฉันคิดว่าพ่อไม่น่าจะเป็นอะไรมาก เพราะตอนกลางวันน้ำเสียงพ่อยังสดใสอยู่มาก และช่วงนี้พ่อก็จะไปหาหมอเพื่อดูอาการอยู่เรื่อยๆ
17 กรกฎาคม 2550 21:53 น.
หัตถา อินจัน
พ่อยอมลดเหล้าลง จนกระทั่งหยุดได้ ช่วงนี้ฉันมาหาพ่อทุกเดือน ก่อนถึงวันพ่อ ฉันโทรศัพท์ไปหาน้องๆ และนัดกันไปหาพ่อ น้องทุกคนมากันครบ วันนั้นฉันสังเกตดู พ่อดีใจมาก ดีใจกว่าตอนที่ฉันมาคนเดียว พ่อพาลูกๆ ไปเดินเล่นกัน ดูพ่อภูมิใจมากที่มีคนทักว่าลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว
หลังจากหยุดเหล้าได้ 3-4 เดือน พ่อกลับมาดื่มอีก แต่เปลี่ยนเป็นดื่มเบียร์ ฉันโมโหพ่อมากที่ไม่รักตัวเอง ฉันว่าพ่อไปหลายคำ พ่อเงียบไป ก่อนกลับฉันเข้าไปลาพ่อ พ่อเปลี่ยนจากแก้วเบียร์เป็นน้ำหวาน แต่พ่อนั่งเงียบ ไม่พูดกับฉันเหมือนทุกที แต่ฉันยังไม่หายโมโหพ่อดี ฉันเลยไม่ใส่ใจ
เมื่อกลับมาที่ทำงาน เล่าให้พี่ๆ ที่ทำงานฟัง พวกเขาเตือนสติฉัน เขาบอกว่า ต้องให้เวลาพ่อก่อน พ่ออายุมากแล้ว ถ้าหากหยุดไปเฉยๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพ ฉันคิดได้เลยโทรไปคุยกับพ่อ แต่ไม่ได้ขอโทษที่ว่าพ่อ เพราะอาย แต่พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร ช่วงนี้ฉันโทรไปบ่อยมาก และยังคงไปหาพ่อทุกเดือน
วันที่ 4 พฤษภาคม 2550 ฉันไปหาพ่อตามปกติ และกลับมา ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2550
เวลา ตี 3 ของเช้าวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 แม่โทรมา บอกว่าพ่อนอนนิ่ง เรียกไม่รู้สึกตัว พูดไม่ได้ ได้แต่กลอกลูกตาไปมา ฉันรีบโทรหาน้องทุกคน และพากันกลับมาบ้าน
พอมาถึงบ้านตอน 3 ทุ่ม พ่อนอนอยู่ แม่บอกว่าเรียกไม่ขานตั้งแต่เช้าแล้ว แต่แม่คอยหยอดน้ำใส่ปากอยู่เรื่อยๆ พอลูกๆ เข้าไปจับตัว แล้วเรียกพ่อ พ่อส่งเสียงอือ อา ดังมาก ฉันเห็นพ่อยังรู้สึกตัวจึงโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล ทั้งๆ ที่ยายที่เป็นเพื่อนบ้านบอกให้ทำใจ เพราะพ่อคงจะไม่รอดแน่แล้ว
เมื่อรถพยาบาลมารับ ทุกคนรีบไปที่โรงพยาบาล หมอและพยาบาลรีบช่วยกันรักษา หมอบอกว่าออกซิเจนในเลือดต่ำมาก เลือดไม่สามารถเดินไปเลี้ยงตามร่างกายได้ ทำให้ไม่สามารถขยับแขนขาได้
พ่อต้องนอนโรงพยาบาล และให้เครื่องช่วยหายใจ เมื่อพ่ออาการดีขึ้นเรื่อยๆ ลูกๆ ก็ทยอยกลับกัน แต่ยังคงโทรศัพท์มาถามอาการเป็นระยะๆ
พ่อออกจากโรงพยาบาลได้ในวันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2550 เมื่ออาการดีขึ้น หลังพูดคุยและเดินได้แล้ว แม่พาพ่อกลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน พ่อเดินได้คล่องขึ้น สามารถขี่มอเตอร์ไซด์ได้
วันที่ 19 พฤษภาคม 2550 วันเกิดพ่อ ลูกมาหาพ่อกันครบทุกคน พ่อดีใจมาก บอกว่าเป็นของขวัญที่ดีมากของพ่อ (ลูกไม่ค่อยมาพร้อมหน้ากันเท่าไหร่นัก)
17 กรกฎาคม 2550 21:14 น.
หัตถา อินจัน
ในที่สุดฉันก็เลือกที่จะทำให้พ่อเสียใจ ฉันตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ตั้งใจไว้ว่าจะมาอยู่ที่กรุงเทพกับแม่ ทั้งๆ ที่ฉันเองก็ยังไม่เคยไปมาก่อน แต่โชคดีเหลือเกินที่ตอนนั้นแฟนฉันทัดทานไว้ แต่พูดยังไงฉันไม่ยอมอยู่บ้านแล้ว ประกอบกับฉันเริ่มมีปัญหากับที่ทำงาน ฉันจึงยื่นใบลาออก แต่หัวหน้างานเรียกเข้าไปพบ และสอบถามสาเหตุ เขาให้ฉันหยุดงาน 2 อาทิตย์ เพื่อทบทวนการตัดสินใจ แฟนฉันเลยพาฉันไปเช่าหอพักอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานของฉัน ก่อนหนีออกมาจากบ้าน ฉันเขียนจดหมายไว้ให้พ่อฉบับหนึ่ง บอกพ่อไว้ว่าฉันจะไปอยู่กับแม่ และจะเรียนต่อให้จบ ปริญญาตรี เมื่อใดที่เรียนจบแล้ว จะกลับบ้าน ฉันบอกพ่อไว้อย่างนั้น
วันแรกที่ออกมาอยู่นอกบ้าน ฉันเหงาเป็นที่สุด ไม่มีอะไรเหมือนเดิม คิดถึงพ่อเป็นที่สุด โชคดีที่ฉันตัดสินใจยังไม่ออกจากงาน จึงมีอะไรให้ทำเยอะแยะ คลายความคิดถึงบ้านไปได้บ้าง
ในที่สุดฉันก็เรียนต่อ และสามารถนำปริญญากลับมาให้พ่อได้สำเร็จ โดยที่แฟนของฉันเป็นคนส่งเสียค่าเล่าเรียนทั้งหมด และฉันก็ได้กลับมาเยี่ยมเยียนพ่อบ้าง พ่อไม่โกรธฉันเลย ฉันรู้สึกผิด แต่ก็ไม่ได้กลับมาอยู่บ้าน
ตอนนี้ น้องๆ เริ่มเรียนจบกันบ้างแล้ว ส่วนฉันหลังจากทำงานต่อไปได้อีกสักปี ปัญหาเดิมก็กลับมา ฉันเลยตัดสินใจลาออก และเริ่มติดต่อกับแม่ที่อยู่กรุงเทพ เพื่อจะหาว่ามีงานอะไรที่พอจะทำได้บ้าง
พ่อรู้ว่าฉันจะไปทำงานกรุงเทพ เสียงพ่อที่คุยกับฉันฟังดูเหงาๆ แต่ตอนนั้นฉันอยากไปกรุงเทพมาก เลยไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ ปี 2544 ฉันได้ไปทำงานที่กรุงเทพสมใจ แต่ไม่ค่อยมีเวลาให้พ่อ ไม่เคยโทรมาหาพ่อเลย พ่ออยู่กับแม่สองคนเท่านั้น (พ่อแต่งงานใหม่ และแม่เป็นคนที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็ก) ส่วนน้องทุกคน ตามฉันมาอยู่ที่กรุงเทพหมด ฉันมีหน้าที่รวบรวมน้องๆ กลับไปหาพ่อในวันพ่อปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
เวลาที่กลับบ้านแต่ละครั้ง พ่อดีใจมาก แม่บอกว่าพ่อดูมีชีวิตชีวามาก แต่พอลูกๆ กลับกันไปหมด พ่อก็กลับมาเหงาเหมือนเดิม
ปี 2549 พ่อเริ่มสุขภาพไม่ค่อยดี แม่บอกว่าพ่อเป็นลมบ่อยมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อเป็นลมในห้องน้ำ ศีรษะกระแทกกับขอบเสาปูน หัวแตกเลือดไหล แต่ไม่ยอมไปหาหมอ จะยอมให้ฉันพาไปเท่านั้น ฉันเริ่มกลับบ้านบ่อยขึ้น 2-3 เดือนมาครั้ง เดือนกันยายนฉันพาพ่อไปหาหมอ ผลการตรวจพ่อเป็นตับแข็ง ( พ่อดื่มเหล้าเกือบตลอดเวลาที่ว่าง ผสมกับน้ำจางๆ แต่ไม่เคยเมา ) ฉันบอกพ่อว่า ถ้าพ่อค่อยๆ หยุดเหล้า ฉันจะมาหาพ่อทุกเดือน
17 กรกฎาคม 2550 19:03 น.
หัตถา อินจัน
ฉันยังจำได้ ..เขาเคยเป็นทหารมาก่อน..และต่อมา..เขาก็ลาออกและมาเป็นช่างถ่ายภาพ..ฉันติดตามเขาไปทุกที่ ที่สามารถจะไปได้ ..เป็นคนเดียวที่รู้ว่าเขาเหนื่อยขนาดไหน..ต้องอดทนอดกลั้นมากมาย..เพื่อครอบครัว
ไม่ว่าจะไปถ่ายภาพที่งานไหน..งานศพ..งานบวช..งานแต่งงาน..เขาจะมีถุงพลาสติกใสสำหรับใส่อาหารและหนังยางรัดของติดตัวไว้เสมอ..ฉันเคยถูกใช้ให้ไปตักอาหารตามงานเหล่านั้นเมื่อครั้งที่ได้ติดตามไปด้วย ในความรู้สึกของฉันตอนนั้น บอกได้คำเดียวว่าอายมาก แต่ก็ไม่สามารถขัดใจเขาได้ ในใจคิดแต่ว่าทำไมต้องมาตักอาหารเหล่านี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเจ้าของงานเขาก็ยินดีให้ แต่บางคนก็มองเราด้วยสายตาที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้มองเราดีเลย เมื่อกลับบ้าน อาหารเหล่านั้นก็กลายมาเป็นอาหารอีกมื้อหนึ่งของครอบครัวเรา เป็นอย่างนี้มาทุกเมื่อเชื่อวัน
เขาคนนั้น.....คือ....พ่อของฉันเอง ด้วยความที่ฉันเป็นลูกคนโต พ่อจึงสอนทุกอย่างที่พ่อรู้ให้ฉัน ในสายตาของฉัน พ่อเป็นคนที่เก่ง มักจะมีเพื่อนบ้านมาขอความช่วยเหลือพ่อเสมอๆ ซึ่งพ่อก็มักจะไม่เคยปฏิเสธผู้ที่มาขอความช่วยเหลือเหล่านั้น ฉันเองก็ได้วิชาที่พ่อสั่งสอนมาไม่น้อยเช่นกัน หลายครั้งที่ฉันได้ช่วยเหลือเพื่อนๆ และได้รับคำชมจากเพื่อนๆ ว่าเก่งจังที่ทำได้ เก่งจังที่ทำเป็น คำพูดเหล่านั้นทำให้ฉันภาคภูมิเหลือเกิน เพราะพ่อแท้ๆ ที่สอนให้ฉันทำเป็น ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการซ่อมไฟฟ้าภายในบ้าน การซ่อมรถมอร์เตอร์ไซด์ และการดัดแปลงสิ่งที่ใช้ไม่ได้ให้กลับมาใช้ได้ดังเดิม ยังมีอีกหลายอย่างที่พ่อสอน แต่ฉันไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้ แต่กลายเป็นว่าเรื่องง่ายๆ ที่ฉันเห็นพ่อทำอยู่บ่อยๆ นั้น มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย ต้องลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้งกว่าจะทำได้
จนกระทั่งเวลาผ่านไปพ่อเริ่มมีอายุมากขึ้น ความกระฉับกระเฉงก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไป ส่วนตัวฉันและน้องๆ ก็ได้เติบโตกลายเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว เมื่อฉันเรียนจบชั้น ปวส. แล้ว ได้งานทำไม่ไกลจากบ้าน พ่อจึงออกเงินซื้อรถมอเตอร์ไซด์คันแรกให้ฉัน โดยที่ฉันผ่อนเองกับพ่อเดือนละ 2,000 บาท ฉันในตอนนั้น พึ่งอายุ 20 และรู้สึกรำคาญพ่อมากที่คอยมาจ้ำจี้จ้ำไช คอยเช็คว่าไปไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมกลับบ้านช้า จะไปไหนมาไหนบ้าง พ่อก็จะคอยถามว่าไปทำไม ไปกับใคร ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันโตแล้วนะ ทำงานแล้วนะ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นฉันก็ยังไม่รู้ประสีประสาอะไร แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะอยู่บ้าน ฉันจึงโทรศัพท์หาแม่ซึ่งเลิกรากับพ่อไปตั้งแต่ฉันยังเล็กๆ และทำงานอยู่ที่กรุงเทพ ฉันบอกแม่ว่าจะไปอยู่ด้วย แต่พ่อไม่ยอมให้ฉันไป ฉันโมโหพ่อมาก พอดีช่วงนั้น ฉันเริ่มมีแฟน และพ่อเองก็ไม่ค่อยชอบแฟนฉันนัก