13 กันยายน 2547 23:47 น.
หมึกมรกต
ภีรณุ และกีรติ คู่รักอันหวานชื่นแห่งปี ทั้งคู่คบหากันมานาน
วันนี้เป็นโอกาสดีเพราะทางบริษัทที่เขาทั้งสองทำงานอยู่
ปิดให้พนักงานลาพักร้อนเป็นเวลา 1 อาทิตย์
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่โอกาสที่หาได้ง่ายนัก สำหรับสองหนุ่มสาวคู่นี้ที่จะได้มาเที่ยวด้วยกัน
1 อาทิตย์ที่เธอและเขาจะได้ตักตวงความสุข ความสบายใจ เพื่อผ่อนคลายจากความล้า
หลังจากการทำงานอันเหน็ดเหนื่อยมาแสนนาน
ก็เขาต้องสร้างฐานะ เพื่อที่จะเริ่มสร้างครอบครัวใหม่ของเขานี่
เมื่อแสงตะวันหลบเหลี่ยมเขา แสงแห่งนวลราตรีเริ่มคลี่ม่านคลุม..แผ่ขยายไปทั่วชายหาด
เหมือนเป็นใจให้เธอและเขาได้สัมผัสกับบรรยากาศอันแสนจะโรแมนติก
"วันนี้..คุณมีความสุขไหม" ภีรณุทอดเสียงออกมากระทบโสตสัมผัสของคนที่เขารัก
"มีความสุขซิค่ะมีความสุขมากๆด้วย" เสียงหวานของกีรติตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มอันรันจวน
และ แล้วภีรณุ ก็เอ๋ยคำคำนึงที่เขาอัดอั้นตันใจมานานแสนนาน
รอหาโอกาสดีๆ ที่จะได้พูดกับคนรู้ใจ เพราะฉะนั้นเขาคงไม่พลาดที่จะใช้บรรยากาศนี้
เพื่อที่จะพูดมันออกมา
"แต่งงานกับผมนะ"
กีรติ ได้ยินเช่นนั้นถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ไม่คาดคิดมาก่อนว่า
แฟนหนุ่มจะเปิดเกมรุกขอเธอแต่งงาน
ใบหน้าที่แดงก่ำพร้อมกับศัพท์เสียงที่เอียงอายค่อยๆ เผยออกมา
เพื่อสงวนทีท่ากุลสตรีของเธอ
ทั้งๆ ที่ความจริงเธอก็รอโอกาสนี้มานานเหมือนกัน
"ค่ะ"
ได้ยินเช่นนั้น ภีรณุรีบวิ่งเข้ามาโอบกอด สุดที่รักของของอย่างไม่รอช้า
แล้วทั้งคู่ก็เคล้าคลอพูดคุยกันอยากถูกปาก เลาะเลียบไปกับริมชายหาด
ที่สาดส่องด้วยแสงแห่งรัติกาล
"นี่ก็ดึกมากแล้วพี่ว่า เรากลับที่พักกันเถอะนะ"
"ค่ะ"
ว่าแล้วภีรณุ ก็เดินจับมือกีรติ ไปยังเต็นที่พักซึ่งทั้งคู่ตกลงกันว่าไหนๆ ก็มาเที่ยวทะเลแล้ว
ก็ควรที่จะดื่มด่ำกับบรรยากาศให้เต็มที่ เต็นจึงถูกเลือกให้เป็นที่หลับนอนสำหรับเขาและเธอ
หยาดน้ำค้างเริ่มย้อย บรรยากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะผนวกกับความเหนื่อยอ่อนมาทั้งวัน
จึงไม่ยากนักที่จะทำให้ภีรณุปิดเปลือกตาลง
พร้อมๆกับคำหวาน ที่หว่านโปรยให้แก่กีรติ
"นอนหลับฝันดีนะครับ แล้วอย่าลืมฝันถึงผมหล่ะครับ"
ว่าแล้วเขาก็ม่อยหลับไปเหมือนกับว่าไม่ได้นอนมาเป็นแรมปีเลยทีเดียว
ทิ้งให้กีรติ นอนนึกฝันอยู่กับโลกอันแสนหวานของเธอ ที่บัดนี้กลายเป็นสีชมพูเสียหมดแล้ว
เธออดที่จะอมยิ้มไม่ได้ พลางสายตาก็เหลือบไปจ้องมองชายหนุ่มที่เธอหลงรัก
แล้วในใจของเธอก็เพ้อพร่ำ
"รู้ไหมภีรณุ คุณเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกิน
ฉันดีใจจริงๆที่มีผู้ชายอย่างคุณในโลกนี้อะไรนา..ที่ทำให้ฉันได้เจอคุณ"
ขณะที่กีรติกำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงประหลาด
สอดแทรกผ่านมาตามสายลมที่เยือกเย็นทำให้เธอสงสัยไม่ได้ว่า เสียงนั่นมาจากไหนกัน
เธอเหลือบมอง ภีรณุอีกครั้ง เปลือกตาเขายังปิดแน่นเธอคงจะไม่รบกวนเวลาแห่งความสุขของเขาแน่
ซึ่งขณะนี้เขาอาจจะนอนหลับฝันดีอยู่ก็เป็นได้
เธอจึงพลิกตัวจากที่นอน สองเท้าของเธอจึงทำหน้าที่ก้าวสลับไป ณ ต้นกำเนิดเสียงนั่นเพียงลำพัง
'ไม่แน่อาจจะมีคนจมน้ำเรียกร้องความช่วยเหลือ"
ความคิดของเธอผลุดขึ้นขณะที่เธอควบฝีเท้าไปยังแหล่งที่เสียงนั้นดังมา
ทว่า..เมื่อเธอเดินไปถึงต้นเสียงทุกอย่างกลับเงียบสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กีรติอดที่จะประหลาดใจเสียไม่ได้
"มีใครอยู่แถวนี้ไหมค่ะ".
เสียงตะโกนของเธอไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด
"สงสัยเราหูแว่วไปเองมั้ง."
ว่าแล้วกีรติก็หันหลังควับ.บ..บกลับไปยังเต้นของเธอ
ในขณะที่เธอก้าวเท้าอยู่นั้นเธอกลับได้ยินเสียงเหมือนว่ากำลังมีคนเดินตามเธออยู่
เสียงนั้นใกล้เข้ามาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ....
เธอจึงหันหลังกลับไปดูให้แน่ใจ
...
นี่เราคงหูแว่วจริงๆ
แล้วเธอก็เดินต่อไปในใจก็ยังคิดถึงคืนวันที่แสนหวานระหว่างเธอและเขา
ทันใดนั้นเอง..
อุ๊บ!!!...ชายหนุ่มร่างใหญ่กระโจนเข้ามาหาเธอพร้อมมือปิดปากเธอไว้แน่น
อ่ะ!!ปล่อยปล่อยนะ..
ปล่อย..ย...ย..ย..ย!!!!
ขณะนี้ใจของกีรติเริ่มสั่นระรัวเต็มไปด้วยความกลัวและความหวาดผวา...
เธอพยายามดิ้น..ดิ้น....ให้ตัวเองหลุดพ้นจากเอื้อมมือของชายผู้นั้น
แต่ชายผู้นั่นยิ่งกอดรัดเธอไว้แน่น พร้อมกับคำข่มขู่อันแข้งกร้าว.
"ถ้าแกขัดขืน..แกตาย"
..
.
. .. . อย่า...ยยยย
สายแสงแห่งจันทราเริ่มทอประกายเป็นสีหม่น คละปนกับหยาดน้ำฝนที่โปรยปราย
สยายไปกับสายลมที่เอื่อยไหลราวกับว่าจะสิ้นใจ ในครานั้น แล้วทิ้งคำถามสุดท้ายว่า
ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์เช่นกีรติหล่ะ
คุณเลือกที่จะยอม หรือ จะ ขัดขืน
เพราะเหตุใดเล่า?????
10 กันยายน 2547 18:20 น.
หมึกมรกต
ตอนที่ 3
หญิงสาวหันขวับมายังเสียงเรียก ครั้นพบว่าเป็นใครใบหน้าถึงกับซีดเผือด เธอนึกไม่ถึงว่าแม่จะมา กลุ่มเพื่อนที่รายล้อมทุกคนต่างหันมองมายังหญิงวัยกลางคนในชุดที่ดูมอซอเป็นตาเดียว พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจ นี่หรือแม่ของจันทพร ผู้เป็นดาวคณะ ที่เคยบอกว่าเป็นลูกของนักธุรกิจชั้นนำทางภาคเหนือ ทุกคนมองหญิงแปลกหน้าและดูปฏิกิริยาของเพื่อนสาว พร้อมคำถามที่รอคำตอบ
"เอ่อ ขอโทษนะคะ คุณป้าคงทักคนผิดแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวตอบกลับไป แล้วสะกิดเพื่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อถ่ายรูปต่อ
จำเนียรยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่อยากเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เป็นไปได้อย่างไร ที่ลูกจะจำเธอไม่ได้ และไม่อยากเชื่อว่าเธอจะถูกปฏิเสธจากลูกจากหญิงสาวที่เธอทะนุถนอมบรรจงสร้างชีวิตมาตั้งแต่ยัง
แบเบาะจนเติบใหญ่ พร้อมความอบอุ่นที่มีให้มากที่สุด เท่าที่จะให้ได้ เพื่อชดเชยจากการที่ลูกขาดพ่อ ดวงตาของเธอเหม่อลอยดังคนไร้สติ เรี่ยวแรงจะก้าวเดินแทบจะไม่มีเหลือ น้ำตาแห่งความผิดหวังเอ่อล้นจนท่วมใจแล้วไหลอาบลงสองแก้ม เธอหันหลังกลับช้าๆ เดินจากมาอย่างไร้จุดหมาย แต่ในใจส่วนลึกยังคงคิดว่า ลูกคงมีเหตุผล และเธอก็พร้อมที่จะรับฟังเมื่อลูกพร้อมจะเล่า.
***********
แม้รถจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯมานานหลายชั่วโมงแล้ว และผู้คนในรถต่างหลับใหลอยู่ในความมืด มีเพียงเสียงรถและเครื่องปรับอากาศที่ดังเบาๆ แต่จำเนียรยังไม่ได้งีบหลับเลยแม้สักนิด แสงที่สาดเข้ามายามที่รถสวนทาง สะท้อนเงาลำธารน้ำตาที่ไหลพรากเป็นสาย โดยไม่รู้ว่าเสียไปมากเท่าใดแล้ว
เรื่องราวแต่ก่อนเก่า หลายภาพหลายเหตุการณ์วนเวียนเข้ามาในความคำนึงไม่รู้หมดสิ้น ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กๆ น่ารัก ช่างเจรจา ที่ค่อยๆ เติบใหญ่ผ่านการดูแลอบรมเอาใจใส่ของเธอและสามี ดุจลูกในไส้ ทุกถ้อยคำในบทสนทนาระหว่างเธอกับเขา ก่อนที่จะมีเด็กหญิงในบ้าน เธอยังจดจำได้ไม่รู้เลือน
เนียร...พี่อยากจะปรึกษาเนียนหน่อยจ้ะ สามีเอ่ยขึ้นหลังอาหารเย็น
เรื่องอะไรจ๊ะพี่
เราอยู่กินกันมาก็นานพี่ว่าเนียนคงจะเหงา...พี่เองก็อย่างที่รู้... พี่เห็นเนียนชื่นชมลูกชาวบ้านเขาก็อดสงสารไม่ได้... เขาจ้องตาเธอจริงจังก่อนพูดต่อ ...เนียรคิดยังไง...ถ้าเราจะไปขอเด็กที่โรงพยาบาลในเมืองมาเลี้ยง...พี่ว่าเด็กที่คลอดมาแล้วแม่ทิ้งนี่ โตมาต้องกำพร้า ขาดความอบอุ่น...น่าสงสารนะ
จริงเหรอพี่... เธอยิ้มตาเป็นประกาย เนี่ยฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน พี่อ้อยบ้านโน้นที่พี่ป้อมแฟนเขาเป็นหมัน เขาก็คิดเหมือนพี่นี่แหละ เขาบอกฉันวา เด็กอ่อนที่โรงพยาบาลในเมือง มีแม่วัยรุ่นคลอดแล้วทิ้งเยอะขึ้นทุกวัน ทางโรงพยาบาลเขาก็อยากหาพ่อแม่บุญธรรมรับไปเลี้ยงเหมือนกันถ้าเราขอมาเลี้ยงซักคน คงจะดี ไอ้สิ่งที่เราช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวมาจะได้มีคนช่วยดูแลต่อ ฉันเองก็จะไม่เหงา มีเด็กวิ่งในบ้าน ครึกครื้นดีออก
งั้น วันมะรืน เราไปที่โรงพยาบาลกันนะ สามีเอ่ยพลางเอื้อมบีบมือเธอ
วันที่เธอกับสามีไปทำเรื่องขอเด็กอ่อนมาเลี้ยง เธอยังจำภาพนั้นได้ดี ภาพของทารกเพศหญิง ที่เพียงได้พบหน้า แววตาสองคู่ที่ประสานกัน เสมือนความผูกพันนั้นมีมานานนัก เธอรักเด็กน้อยตั้งแต่แรกอุ้ม และทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เฝ้าดูแลเอาใจใส่ อบรมด้วยความรัก แม้ในยามที่สามีจากไป ความรักที่ให้ก็ยิ่งเพิ่มทวีไม่เคยลดน้อยถอยลง ทว่าไม่เคยคาดคิดแม้สักนิดว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนแปร ความรักที่เด็กหญิงซึ่งนางไม่เคยบอกความจริง จะตอบแทนความรักต่อเธอเช่นนี้
คิดถึงเพียงเท่านี้ เสียงกรีดร้องมาจากตอนหน้าของรถก็ดังลั่น แข่งกับเสียงบีบแตรยาว ตามมาด้วยเสียง โครม!!!
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
3 กันยายน 2547 19:19 น.
หมึกมรกต
ตะวันคล้อยลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว เป็นสัญญาณเย็นย่ำที่กำลังเข้าสู่เวลาคืนรังของฝูงนกที่บินมาคราคร่ำทั่วผืนฟ้า แล้วเหินหายไปยังป่าใหญ่เชิงเขา นับเป็นแห่งเดียวในละแวกนี้ ที่ยังคงไว้ซึ่งสภาพป่าสมบูรณ์ เพราะโดยรอบถูกถางเผาเป็นที่โล่ง ตั้งแต่ครั้งชาวบ้านขายที่ให้นักธุรกิจจากกรุงเทพฯ สร้างเป็นรีสอร์ท เพื่อแลกกับความสุขสบาย
ในละแวกนี้ มีบ้านเพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่ยังคงสมัครใจจะมีความเป็นอยู่คงเดิม หนึ่งในจำนวนน้อยนั้นคือ บ้านหลังกะทัดรัดของ จำเนียร เพราะเธอไม่คิดทะเยอทะยานอยากมั่งคั่งจากการขายที่ดินทำกินให้กับนายทุนที่มากว้านซื้อ แม้ว่าจะมีการยื่นข้อเสนอที่งดงาม แต่ชีวิตนี้เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ อีกทั้งไม่มีใครให้ต้องห่วงหา เว้นแต่ แพร ลูกสาวซึ่งกำลังเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ นึกถึงตรงนี้แล้วน้ำตาซึมทุกที เพราะมันคือความภาคภูมิใจ ที่เธอสู้บากบั่นอดทนทำงานหนักส่งเสียให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดี
นับแต่พ่อของลูกจากไปด้วยโรคหัวใจ ตั้งแต่ลูกเพิ่งเริ่มหัดพูด ในชีวิตเธอก็ผูกผันอยู่เพียงกับลูกและบ้านหลังนี้ ซึ่งนับเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่สามีได้ทิ้งไว้ให้พร้อมสวนกุหลาบหลังบ้าน อันเป็นแหล่งรายได้หลัก ซึ่งแลกมาด้วยหยาดเหงื่อทุกหยดที่รินรด หากขายที่ให้นายทุนก็คงได้เงินไม่น้อย แต่นั่นไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอแม้สักนิด
เธอพักมือจากการพรวนดินในสวนกุหลาบ ด้วยว่าอาการปวดหลังที่พักนี้ออกจะเป็นบ่อยครั้ง ครั้นจะไปหาหมอในเมืองก็เกรงว่าเงินที่เก็บออมไว้จะไม่พอหากลูกขาดเหลือแล้วขอมา สองมือที่เริ่มเหี่ยวย่นกระชับด้ามเสียมแน่นเพื่อพยุงยันกายลุกขึ้น แล้วเดินขึ้นเรือนเตรียมจัดหาอาหารเย็น หลังล้างมือ เอาน้ำลูบหน้าเรียกความสดชื่นแล้วก็เข้าครัว เปิดดูในตู้ยังมีน้ำพริกหนุ่มที่โขลกไว้ตั้งแต่เมื่อวานเหลืออยู่ จึงคิดว่าจะผัดผักบุ้งกินแกล้มก็พอแล้ว
ครั้นจัดเตรียมสำรับเสร็จก็เปิดวิทยุฟังข่าว ยังไม่ทันนั่งก็มีเสียงเรียกมาจากชานเรือน ออกไปดูก็พบเจ้าโก้ลูกยายปริกข้างบ้าน ยืนถือชามกากหมูผัดพริกแกงโรยมากับใบมะกรูดซอยทอดกรอบส่งกลิ่นหอมฉุย
"แม่ให้เอามาให้ครับป้า"
"ขอบใจมากลูก เออ รอเดี๋ยวนะเดี๋ยวป้าตักผัดผักบุ้งให้"
ได้จานผัดผักบุ้งแล้ว เจ้าตัวเล็กก็หยิบชิมซะเดี๋ยวนั้น "อื้อฮือ ป้าผัดผักบุ้งอร่อยเหมือนเดิมเลย วันนี้ผมกินข้าวพุงกางแน่" ว่าแล้วก็ลงเรือนวิ่งแจ้นกลับบ้าน
นางเห็นท่าทีของเจ้าโก้แล้วเห็นขันในความไร้เดียงสา น่ารักน่าชัง และเป็นเด็กช่างพูดเหมือนลูกสาวเธอเมื่อยังเล็กไม่มีผิด
ครั้นตักกากหมูผัดพริกแกงทานกับข้าว ก็ให้นึกถึงลูก เพราะนี่คืออาหารจานโปรดของลูกก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าไปอยู่กรุงเทพฯจะมีโอกาสได้กินบ้างหรือเปล่า
เธอจ้องกรอบรูปหญิงสาวหน้าหวาน วางตั้งไว้ที่ดานหนึ่งของโต๊ะอาหาร รูปนี้ได้มาเมื่อเกือบ 3 ปี แล้ว ตอนที่ลูกกลับมาเยี่ยม เห็นรูปแล้วก็สะท้อนใจด้วยความคิดถึง
นับตั้งแต่กลับไปคราวนั้นจดหมายก็ไม่ได้เขียนมาคุยเลย ครั้งหลังบอกว่า เรียนหนักไม่ค่อยมีเวลา แต่เธอก็ยังพยายามดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย จัดส่งให้มิเคยบกพร่อง แม้ลูกจะขอมาพิเศษก็ไม่เคยปฏิเสธแม้สักครั้ง...
ครั้นเก็บสำรับแล้วจึงออกมานั่งเล่นที่ชานเรือน
นึกถึงเมื่อก่อนสมัยลูกยังเล็ก ร้องไห้งอแงเวลาง่วงนอน ต้องคอยปลอบ กล่อมให้นอนหนุนตัก แล้วเล่านิทานให้ฟังจนหลับผล็อย
"แม่จ๋า หนูรักแม่เท่าฟ้าเลย" เสียงเจื้อยแจ้วยังดังอยู่ในความคำนึงให้ยิ้มปลื้มเสมอ ลูกคงไม่รู้หรอกว่าความรักที่แม่มีให้ลูกนั้น มันมากกว่าที่ลูกมีให้แม่จนประมาณมิได้ และยากเกินจะเอ่ยออกมาได้ ก็ทั้งชีวิตแม่นี้อย่างไรเล่า ที่ยินยอมพร้อมจะพลีให้ และทำทุกสิ่งให้ลูกมีความสุข เติบใหญ่เป็นคนดี เพียงเท่านี้แม่ก็พอใจแล้ว
"แพรอยากทำงานอะไรลูก" เธอถามลูกเมื่อเริ่มเรียนมัธยมปลาย
"แพรอยากเรียนกฎหมายจ้ะแม่ แพรอยากเป็นทนายความ จะได้ช่วยคน ที่ไม่รู้กฎหมายที่ถูกเอาเปรียบ ถ้าเขาไม่มีเงินแล้วมีปัญหา หนูก็จะว่าความให้ฟรีจ้ะแม่
นางลูบผม ยิ้มชื่นชมกับความคิดความอ่านของลูก
"แต่เรียนมหาวิทยาลัยมันก็ใช้จ่ายเยอะนะแม่ หนูเลยคิดว่าพอจบมอหกแล้วอาจจะหางานในเมืองทำ อีกอย่าง จะได้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลแม่ไง" ว่าแล้วก็ซบลงหนุนตัก
"อย่าห่วงเลยลูก ถ้าอยากเรียนต่อก็เรียนเถอะ เรื่องเงินน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก สวนกุหลาบหลังบ้านเราก็ยังทำเงินได้ตลอดปี ป้ามาลีก็ยังมารับไปขายที่ตลาดทุกเช้า เงินเราไม่ขาดมือหรอกลูก"
วันที่เธอปลื้มใจอีกครั้งก็ตอนที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้. จำได้ว่าของขวัญที่ให้เป็นรางวัลลูกคือ เสื้อถักไหมพรมสีครีม สีที่ลูกชอบ เธอถักเสร็จในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะตื่นเต้นดีใจ บางวันถักเสียจนถึงเช้าเผื่อว่าลูกจะได้ใส่นอนที่กรุงเทพฯ เพราะไม่รู้ว่าตอนกลางคืนอากาศจะเย็นเหมือนที่ลำปางหรือเปล่า
"ป้าเนียร.ป้าเนียร" เสียงเรียกจากหน้าบันไดปลุกนางตื่นจากภวังค์ พบลำไยลูกลุงชิดยืนชะเง้ออยู่
"อ้าว ว่าไงลูก กลับมาเยี่ยมบ้านรึ ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ
"ไม่เป็นไรจ้ะป้า พอดีหนูผ่านมาเลยแวะทัก....เออ แล้วแพรไม่กลับมาบ้านหรอกรึ ถามพลางชะเง้อ
ไม่ได้มาหรอกลูก...คงไม่มีเวลามั้ง"
"เอ..ก็ไหนเขาบอกหนูว่าจะกลับมาบ้านแต่ช่างเหอะ...ตกลงป้าจะลงไปกรุงเทพฯวันไหนล่ะ"
"ไปทำไมล่ะลูก" เธอถามด้วยฉงน
"อ้าว! นี่ป้าไม่รู้หรอกเหรอ หนูกับแพรน่ะ เราเรียนจบกันหลายเดือนแล้ว เนี่ยหนูมาส่งข่าวที่บ้านจะให้ลงไปงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยวันพุธหน้า ส่วนแพรรับวันจันทร์"
"จริงเหรอลูก" เธอตื่นเต้นดีใจ "สงสัยแพรคงยุ่งอยู่ล่ะมั้ง เลยลืมส่งข่าวแม่ เห็นแต่วันก่อนก็ส่งโทรเลขมาขอเงินมากโข ดีนะที่ลำไยมาบอกป้า ไม่งั้นแพรคงเสียใจแย่ที่แม่ไม่ได้ไปงานรับปริญญา"
"แล้วป้าไปถูกมั้ยล่ะ"
"ก็น่าจะถูกนะลูก ป้าเคยไปเยี่ยมแพรที่หอพักเมื่อตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เห็นว่ามหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ กับหอพัก ป้าว่า ถามคนแถวนั้นคงจะรู้"
"ถ้างั้นหนูคงไม่ห่วงล่ะ อ้อ!ป้าไปแต่เช้าหน่อยก็ดีนะ จะได้ไปถ่ายรูปกับแพรก่อนเข้าห้องประชุม เห็นว่านัดเจอกับเพื่อนหน้าตึกคณะนิติศาสตร์ตอน 7 โมงเช้า หนูก็ว่าจะแวะไปเหมือนกัน...ถ้างั้นหนูลาป้าล่ะนะพ่อรอกินข้าวอยู่ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ นะป้า" ลำไยยกมือไหว้ลา
ลำไยกลับไปพักใหญ่แล้ว แต่เธอยังคงตื่นเต้นไม่หาย ดีใจที่จะได้เห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มของลูก
ค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่เธอนอนหลับอย่างมีความสุขเหลือเกิน พร้อมใบหน้าลูกสาวยิ้มละไมลอยอยู่ในความฝันตลอดคืน
...โปรดติดตามตอนต่อไป...