หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
จดหมายรักจากนวล ........................................ "เขียนจดหมายสักใบใส่ดาษขาว เขียนเองอ่านเองเป็นเพลงยาว เขียนถึงบ่าวผมสร้านอยู่บ้านไกล" ว่านกเขาขันคูอยู่ข้างทาง ไปขันกู่คูครางอยู่ข้างไหน มาเงียบงำคำยินเหมือนสิ้นใจ มาเงียบในเสียงบินเหมือนสิ้นลม ว่าเจ้าบ่าวผมซื่อมือนวล มาเรรวนคำหวานให้พานขม จูบนั้นจีบปากจูบหรือลูบคม ที่บ่าวข่มปากจีบจูบกลีบใจ นวลเพียงสาวชาวนาใช่กล้ากรด จารีตธรรมเนียมบังล้าหลังสมัย เพียงแรกจูบลูบแรกก็แปลกไป หวาดไหวคำกระทบกระเทียบเกินเปรียบปาน ดั่งวัวสันหลังหวะอยู่กลางทุ่ง หวาดสะดุ้งตื่นกาบินมาผ่าน นวลห่มไห้ไข้เข็ญอยู่เป็นนาน รอยแปลกนั้นประจานอยู่ลานใจ ชั่วเพราะพลีเพื่อรักลืมหลักคอก ดั่งวัวเขาสวยหนอกงามตาใส โลดแล่นลั่นกระดึงตะบึงไป ค้อมคอให้บ่าวเทียมเข้าเกวียนรัก เปลื้องจารีตธรรมเนียมที่เจียมตน รักล้นจึงทอดหยิ่งและทิ้งศักดิ์ แต่ดื่มรักก็ยิ่งด่ำยิ่งสำลัก ดื่มน้ำวักใสสะอาดกลับฝาดคอ บ่าวมาหวะแผลเหวอะเลือดเกรอเนื้อ ใจซื่อบ่าวก็เถือมิเหลือหลอ คำรวนเรเห่ร่ำที่พร่ำคลอ ก็ลืมคำที่พร่ำพ้อทุกข้อความ นวลเพียงสาวชาวนาใช่กล้ากรด จารีตธรรมเนียมแบกดังแอกหาม แต่รักแล้วปานแก้ววะแวววาม จะชั่วทรามปานใดก็ให้เป็น โนราห์หลงสรงสระอโนดาด แล้วบ่วงบาศก์คล้องตนเกินโผนเผ่น อันปีกหางงามงอนซึ่งซ่อนเร้น ดั่งตั้งวางห่างเว้นเห็นลิบลิบ เกินเอื้อมมือหยิบคว้าถลาฉวย ระรวยรวยขวยเขินเกินเอื้อมหยิบ หากรักแล้วร้าวรานวิญญาณทิพย์ จะมิรักแม้สิบพระสุธน อานวลเพียงวัวนากินหญ้าเขียว จะท่องเที่ยวเทียวหาสุดหล้าหน ควรหรือแม้นวลจะจวนตน ควรแล้วแม้ทนทุกข์จนตาย ต่อวันนวลฟุบซบเป็นศพซาก จะออกปากฝากเผาก็เปล่าหมาย เกรงขี้เถ้าผงคลีธุลีคาย จะเปื้อนกายป้ายกลิ่นให้หมินคาว นวลม้วนผมมวยเกล้าดำข้าวเขียว นวลฟ้อนแกะเก็บเรียวเกี่ยวรวงข้าว บ่าหยาบนี้หาบคานมานานยาว แดดกริ้วแผดผิวสาวผู้กร้าวงาน มินิ่มนวลชวนต้องแม้ย่องแตะ ก็อย่าแขวะคำถากจากปากหวาน นี่กระไรตะละคำช่างชำนาญ ตะละลิ้นช่างลึกคว้านจนสุดลึก เพียงชมเชยเกยกอดตลอดกาย ดินกระด้างฟางคายใช่รู้สึก ทุกคำหวานสรรพิษมาคิดนึก กล่อมนวลจนนวลสึกผลึกนวล ขนำน้อยก็แอบอิงพิงผนัง แม้ขนำก็เวียงวังยังไห้หวล บ่าวเป็นเทพลงดินมากินง้วน พอดินร่วนซ่วนซุยก็ถุยคาย ถุยขมถ่มขื่นมาคืนนวล ถุยทวนคำหวานซึ่งซ่านสาย ตะละคำตะละลิ้นรินระบาย ล้วนคำชายหมายหยามประณามนวล นวลเป็นสาวมีศักดิ์แหละรักศรี เกียรติที่มีแม้น้อยยังคอยสงวน หากต่ำต้อยถ้อยคำที่คร่ำครวญ ก็มิควรทวนถ้อยเพื่อคล้อยตาม ลงท้ายว่ายังรักยังคิดถึง แต่โศกซึ้งเพียงใดอย่าได้ถาม ทุกคำนวลล้วนชีวิตประดิษฐ์ความ จากเศษสากซากทรามนามว่านวล ปล.เจ้านกเขาชีกอสร้อยคอสวย อยู่ไหนให้ข่าวด้วยแหละช่วยด่วน ทุกถ้อยความหยามหยาบดังดาบทวน และทุกถ้วนคำประณามความไม่เอา! ในวงเล็บ เป็นสำนวนพื้นถิ่นภาคใต้ที่ได้ยินมา // สวัสดีครับทุกท่าน เป็นไงกันมั่งครับ สุขสบายกันดีไหมเอ่ย?
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
๑). เป็นเช้าที่สดใสด้วยสายแดด ละแวกแวดปลุกตื่นมาชื่นสด กรุ่นดินแรกแดดก็แผดรส คายปลดเย็นชื้นของคืนวาน หมอกกลุ่มสุดท้ายจึงวายหมาด เมื่อสางได้สาดจนจัดจ้าน พรายดวงแดดวับนับล้าน ก็ผลิบานแตกดอกออกดวง คือนกเขาสักตัวมากลั้วเสียง และนกเอี้ยงขานขับมารับช่วง คือความงดงามที่ถามทวง ด้วยลำเงินแสงยวงของช่วงเช้า ๒). ชีวิตถูกปลุกให้ลุกตื่น หลังคืนดื่นดึก-- พรึกเศร้า โลกกำลังตกแต่งด้วยแสงเงา ชัดแจ้งแรงเร้าเต็มเงาตา ให้มองเห็นสีสันอันบรรเจิด สดใสฉายเฉิดหนอโลกหล้า ฉูดฉาดราวแปรงได้แต่งทา ของลายผ้าบาติกพลิ้วพลิกลาย ปลุกชีวิตให้ตื่นมาตื้นตัน โลกอันวิจิตร--อาทิตย์ฉาย อาณาเขตขอบรอบรอบกาย ฝันร้ายคืนวานได้ผ่านพ้น เผื่อนกการวิกโบกปีกผ่าน เพรียกขานให้มองสีของขน แดดสวยฟ้าครามจะงามจน ตาตนตะลึงปลื้มจนลืมพริบ เผื่อใครคุ้นหน้าจะมาเยือน อาจเพื่อนสักหนึ่ง--หรือถึงสิบ หิ้วขวดสวยล้ำจุน้ำทิพย์ เพื่อจิบเมื่อย่ำเข้าค่ำคืน และอาจช่อกัลปพฤกษ์จะผลิช่อ ถักทอดอกสดให้สดชื่น ด้วยเช้าที่ชิงช่วง ที่ทวงคืน จากฟ้ามืดชืดผืนกลับคืนมา ๓). แต่นั่นแหละ - ใช่ความมหัศจรรย์ เถอะกระนั้นยังคงความทรงค่า หากบางทีไปรษณีย์อาจมีมา พร้อมลายมือจ่าหน้าตัวน่ารัก จดหมายจากแดนไกลที่ใส่ซอง กับบุหรี่ก้นกรองรสหนักหนัก ฉีกซองจูบจดหมาย ทายทัก อาจสอดแนบภาพชักมาสักใบ เป็นเช้าที่สดใสกระไรเช่นนี้ กาแฟรสดีดี--นี่ก็ใช่ สัมผัสสิ่งที่เห็น--ที่เป็นไป เป็นจริง--มิใช่ความมหัศจรรย์ พบว่าลืมตาขึ้นมาตื่น จากคืนเดือนดับ--จากหลับฝัน บางสิ่งที่คุ้นตา--ที่สามัญ รูปพรรณรายละเอียดกลับละเมียดละไม แหละบางอย่างเฉยเฉยอย่างเคยเป็น กลับแปลกตาเฉกเช่นประเด็นใหม่ ใบยางแห้งเหลืองจัดอาจผลัดใบ หลังข่าวจากแดนไกลทางไปรษณีย์ เช้าที่แสนวิเศษด้วยแดดแรง สาดแสงแห่งเช้าจับเก้าอี้ ขอเพียงให้ลึกลึก--รู้สึกดี กับบุหรี่ก้นกรอง--มวนสองมวน ๔) คือนกเหว่าสักตัวมารัวเสียง แหละนกเอี้ยงสักตัวมารัวสวน จนเซ็งแซ่เสียงสั่งไปทั้งกระบวน จนหมดสิ้นจำนวนแห่งมวลนก เป็นเช้าที่สดใสอย่างไม่เคย เช้าเอยเช้ากรุ่นมาอุ่นอก การวิกปีกบางกางปีกวก โผผกเกาะคบกัลปพฤกษ์ ก็ผลิช่อทันใดในทันที ผลิคลี่ดอกสู่ความรู้สึก คล้ายความมหัศจรรย์อันพันลึก ผลึกจากการเห็นความเป็นไป ก็นั่นแหละ--มิใช่เลยทีเดียว สักเสี้ยวความมหัศจรรย์--ก็มิใช่ เพียงแต่เช้าปลุกเร้าให้เข้าใจ เห็นในบางสิ่งที่คุ้นตา พรายดวงแดดวับนับล้านดวง ขับช่วงแตกออกเป็นดอกจ้า พร่างพรายลายดวงเต็มห้วงฟ้า สะท้อนขนงามตาการวิก มิใช่ความมหัศจรรย์ก็บรรเจิด คล้ายคล้ายการเตลิดของลายผ้าแห่งบาติก ฉูดฉาดจัดจ้านระริกริก เคลื่อนกระดิกไหลลื่นผ้าผืนลาย บุหรี่สักมวน--กาแฟสักถ้วย พร้อมด้วยถ้อยทั้งหมดในจดหมาย ท่ามกลางเขตขอบรอบรอบกาย ได้ไล้จูบรูปถ่ายที่แนบมา นั่นแหละสีสันอันบรรเจิด สดใสฉายเฉิดหนอโลกหล้า ใบยางเหลืองจัดที่ผลัดลา บอกว่า-แดดเช้ามีข่าวดี ๕). ฝันร้ายคืนวานจึงผ่านพ้น เมื่อคนเป็นเพื่อนมาเยือนที่ แหละนั่น--บุรุษไปรษณีย์ โบกวีจดหมายที่ในมือ!! เจอกันอีกครั้งครับท่านทั้งหลาย สวัสดีทุกท่านรอบทิศเลยนะครับ
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
กล่อมกรุง ๑). ๐ แผ่วโผยเพลงลมมาพรมเมฆ โยกเอ๋ยโยกเยกเจ้าเมฆขาว มาเยกโยกโกรกไม้จนไหวกราว ลูกของแม่จะเหน็บหนาวในราวเปล โอละช้าตาวาวหรือดาวดวง เจ้าพุ่มพวงเอ่ช้าโอละเห่ ยามศึกย่อมประจักษ์ทุลักทุเล อยุธยาร้างเล่ห์เสน่ห์เมือง พ่อของเจ้าถือดาบและหาบหอก กระชับปลอกเอ็นปูดไปปลดเปลื้อง เสียงก้องครึกกึกหล้าเมื่อฟ้าเรือง ไรแดดต้องผิวเหลืองเมลืองมัน ฝุ่นฟุ้งแต่บุรพาผลิอาทิตย์ เผชิญหน้าปัจจามิตรประชิดมั่น เออไพร่เลกเฉกกูจะสู้กัน โถมระส่ำห้ำหั่นประจัญบาน หนึ่งดาบที่วาบปลิดชีวิตศัตรู เถอะลูกกูจะกราบข่าวที่กล่าวขาน ทุกอณูเนื้อดินมีวิญญาณ ตราบอยุธยาอวสานลงกรานดิน ๒). ๐ วัดเอ๋ยวัดโบสถ์โตนดเจ็ด เจดีย์เพชรกร่อนสึกเมื่อศึกสิ้น สนธยาฟ้าคล้ำจนดำนิล วิเวกแว่วแผ่วยินทั้งติณ-พฤกษ์ ว่าหวนโหยโอยโอดทุกโสตสัมผัส เสียงดาบปะทะชัดในรู้สึก ประกายดาบประฟาดยังบาดลึก ให้อกขื่นสะอื้นอึกจารึกจำ อกเอ๋ยอกแม่ที่แผ่อก ให้เจ้านวลเนื้อกกสะทกพร่ำ มาได้ยากลำบากเป็นหนอเวรกรม ผีจะซ้ำด้ำจะพลอยจะร้อยตรวน มืดมนสนธยาทิวาราตรี พระเจดีย์ผีผลักจนหักด้วน อยุธยาระส่ำคว้างคระครางครวญ หนีเตลิดเปิดขบวนเถอะด่วนพลัน แผ่วโผยเพียงลมมาพรมเมฆ โยกเอ๋ยโยกเยกจนเมฆสั่น อยุธยาล่มแล้วให้แล้วกัน ประคองขวัญร่ำไห้หนีไฟกรุง! ๓). ๐ พ่อของเจ้ากรานดาบลงกราบดิน เลือดคลักทะลักริน-ดินสะดุ้ง สะท้อนวาบดาบพรายเป็นสายรุ้ง ปรากฏชัดระบัดทุ่งและคุ้งน้ำ คือธงชัยไสวเรืองในเบื้องหน้า อยุธยาจักชูมือให้ลือร่ำ มือแม่ที่ไกวเปลที่เห่คำ จะเปลี่ยนกำดาบลุกและปลุกพร เออ-หญิงไพร่ไทยอยุธย์จะลุกสู้ หนึ่งดาบกูพลิกพลิ้วจะพลิ้วว่อน เปลวไฟที่ไหวโถมที่โหมร้อน กูจะกร้อนฟ้อนหญ้ามาสุมไฟ! ๔). ๐ โอละเห่เอ่ช้าเอ่ช้าเอ่ อยุธยาร้างเล่ห์เสน่ห์สมัย แผ่นดินคว่ำลำเค็ญยากเข็ญใจ เพราะจัญไรทมิฬมันกินเมือง!
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
๑). พอฝนตั้งเค้าขึ้นเงาเมฆ ฟ้าก็เสกแผ่นน้ำขึ้นฉ่ำหาว เต็มแผ่นแน่นพืดอยู่ยืดยาว รอร้าวลมแรงมาแทงเค้า แตกเป็นฝนเม็ดน้อยที่ลอยลิ่ว ร่วงปลิวลงหล้าลงป่าเขา ขณะเมฆดำปลอดยังทอดเงา เหนือลำเนาพฤกษ์พง-เหนือดงไม้ ๒). หนึ่งหยดน้ำค้างใบของไม้เขียว ก็จะเรียวดวงหยดเม็ดสดใส มาซบผืนดินชุ่มให้อุ้มไว้ เพื่อต่อไปภายหน้าเป็นตาน้ำ ให้ดินอันดำและอุดม เจิ่งจมท้องลุ่มจนชุ่มฉ่ำ เป็นซับเย็นเยียบอยู่เงียบงำ ให้รากไม้เลียงลำเป็นน้ำเลี้ยง แล้วจึงเจิ่งเป็นห้วยอันเย็นเยือก จวบเปลือกไม้ปริจนแซะเสี่ยง แทงยอดยืดต่อจนพอเพียง แล้วเรียงวงปี-บอกชีวิต จึงซับน้ำท่วมท้นจนล้นลุ่ม ฟ้าที่คลุ้มขนัดก็ฟาดกฤช น้ำก็เซาะหลากไหลไปทุกทิศ ลึกมิดรางน้ำเป็นลำธาร ย่อมเกิดแต่เม็ดหยดที่รดร่วง หยาดดวงก่อแควกระแสผสาน ชำแรกแทรกสิ้นซึ่งดินดาน เพื่อผ่านกระแสเป็นแม่น้ำ คือหยาดดวงปลายใบอันใสเม็ด ก่องเก็จแวววาวด้วยพราวร่ำ กลั่นมาจากเมฆฝนที่หม่นดำ เมื่อเสียงฟ้างึมงำอยู่คร่ำคราง คือหยาดทิพย์สวรรค์ที่กลั่นดวง แล้วร่วงเม็ดเรืองลงเบื้องล่าง เพื่อโถมสายแม่น้ำ-สายลำราง เป็นความว้างเวิ้งมหาสมุทรที่สุดลึก! ๓). เด็กน้อย.. โลกรอคอยแรงเธอร่วมผนึก เพื่อวงปีไม้ดงของพงพฤกษ์ และเพื่อความอึกทึกของแผ่นฟ้า เด็กน้อย.. เรารอคอยเธอเรียงความเดียงสา เป็นแรงเรี่ยวเชี่ยวกรากเพื่อหลากมา เป็นพลังชะตา-อนาคต! สวัสดีครับทุกท่าน
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
กิ่งกมล ๑). ตรงเส้นที่แยกฟ้าออกจากโลก ลมโยกเมฆขาวจนกราวฟ่อน เป็นเส้นเรียบราบระนาบนอน ตัดซ้อนกลมกลืนเป็นผืนเดียว บรรจบเส้นแบ่งรุ้งแวงพาด เลียดดาดพรายคลื่น - ฟ้าผืนเขียว ปีกบางกางผกเจ้านกเปรียว โฉบเลี้ยวเฉี่ยวเวียนเฉวียนเรือ ๒). กิ่งกมล- มีเหตุผลใดหรือที่ควรเชื่อ? โมกหอมกิ่งสานไขว้ก้านเครือ สวยขาวพราวเพรื่อเต็มเนื้อตา พร้อมบุหรี่มวนแรกในชีวิต ฉันปลิดโมกโยนไปโพ้นหล้า เพียงลมแรงเพียงวูบเพียงวูบมา เพียงพริบตาเพียงพริบเพียงพริบเดียว วัยเช่นนั้นหรือ? - กิ่งกมล เหตุผลใดเล่าให้ยึดเหนี่ยว? พร้อมกับเหล้าแก้วแรกที่ซดเพียว แรงเอี้ยวเหวี่ยงโยกของโลกกลม ฉันล่องลอยเหมือนโมกที่ล่องลอย จนดอกน้อยผล็อยโพลนในโคลนหล่ม กลีบขาวหม่นช้ำสีดำอม นอนซมไข้พิษสิบสิบปี ฉันดื่มเหล้า - ทอดตามองฟ้ากว้าง รางรางม่านฝันควันบุหรี่ ความเชื่อในเรี่ยวแรงที่ฉันมี จนบัดนี้ถูกผิด? - ฉันไม่รู้! ๓). ยังเป็นไดอารี่ที่ค้างส่ง และยังคงเปิดอ่านนานนานอยู่ เด็กหนุ่มเขียนบันทึก - เธอนึกดู น่ารักน่าเอ็นดูสักเพียงไร? มีคำอยู่หนึ่งคำเขียนซ้ำซาก เหงาจนยิ้มมุมปาก - อยากร้องไห้ บางหน้าเขียนค้าง - ปล่อยว่างไว้ กลับเล่าเรื่องราวได้มากมายนัก ว่า- วันนั้นฟ้าเมฆโชน - มีฝนหนัก ทั้งลั่นแลบแปลบย้ายเป็นสายยัก ผ่ากิ่งโมกหักลงเป็นชิ้น! ฉันเก็บเศษดอกโมกมาแนบทรวง ร้องไห้หนักหน่วงในแหลกวิ่น ไม่ฟังใดไม่รู้ไม่ได้ยิน สูญสิ้นความเชื่อใดต่อไปแล้ว! เหมือนดอกโมกที่โยนไปโพ้นฟ้า และวูบมาของวูบลมวูบแผ่ว ฉันเคลื่อนที่ชีวิตไร้ทิศแนว เกร่แกร่วแล้วแต่จะแร่ไป ปกไดอารี่สีฟ้า - กิ่งกมล เถ้าบุหรี่สีหม่นฉันหล่นใส่ อ่านบันทึกให้ตัวเองฟังอย่างตั้งใจ และรูขอบกรอบไหม้ให้รำลึก ๔). ฉันเหนื่อย - ดอกโมกเปื่อยยุ่ยโพลนในโคลนปึก วันคืนนานยาวอันร้าวลึก ยังผ่านดึกผ่านเช้าอีกยาวนาน เธอลูกกี่คนแล้ว? - กิ่งกมล ผ่านพ้นมาอย่างไรหนอวัยหวาน? สายฝน ขนนก ดอกโมกบาน ลำธาร สายรุ้ง และพรุ่งนี้ ตอบฉันหน่อยสิ - กิ่งกมล โมกต้นหนึ่งงอกจนดอกคลี่ การเพิ่มรอยรอบวงของวงปี มันควรมีความเชื่อความเชื่อใด? พร้อมกับบาดแผลแรกในชีวิต ถูกผิดไม่รู้ - แต่ร้องไห้ ฉันดื่มเหล้า - ทอดตามองฟ้าไกล นั่นนกขาวไรไรสุดสายตา ๕). ตรงเส้นที่แยกฟ้าออกจากโลก อาจโมกร่วงกลบนิ่งซบหล้า ตรงที่แวงตัดรุ้งสุดคุ้งฟ้า ในองศาพอดีของชีวิต ฉันโล้ลอยเหมือนเรือที่โล้ลอย นกขาวน้อยร่อนนำ - ฉันตามติด ความเชื่อใดไม่รู้นำสู่ทิศ เพื่อปะต่อปะติดเศษโลกจากโมกนั้น! ๑๗ มิถุน ๒๕๔๘ ทุกท่านครับ ผมไม่สามารถตอบกระทู้กลอนของใครได้เลยนะครับ แม้กระทั่งของผมเองที่จะตอบคนอ่านก็ยังตอบไม่ได้ พอคลิกตรงแสดงความเห็น ป๊อบ - อัพ บล็อคเกอร์ ก็จะพรึบมาทันที และนั่นผมต้องไปสแกนลบป็อบอัพหลังปิดเครื่อง จึงขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ ที่เหมือนๆจะเสียมรรยาทในการตั้ง - ตอบกระทู้