หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
๑.-เพลงกลิ่นฟางสาบสาว ร้องโดยปอง ปรีดา ๒.-เพลงทุ่งรัก ร้องโดยศรคีรี ศรีประจวบ ๓.-เพลงหยาดเหงื่อเหนือคิ้วนาง ร้องโดยชัยชนะ บุญณโชติ ๔.-เพลงรอยไถแปร ร้องโดยก้าน แก้วสุพรรณ บทเพลงโพ้นทุ่ง ๑).ลุ่มดินถิ่นนี้เคยมีมนต์รักตรึงตรา โพ้นทุ่งคือลำคลองน้ำนิ่ง ตลิ่งสองฟากยึดรากหญ้า ให้หยัดต้นชูยอดตลอดมา และระนาบราบหล้าเวลาลม ลัดทุ่งโดยทางใช้ย่างก้าว กอข้าวท่วมล้อมห้อมห่ม ไมยราพทิ่มตำหนามคม เลนตมโคลนเปือกเทือกทาง เด็ดดอกหญ้าเสียบก้นแมลงปอ ไล่ล้อเล่นลมโลมร่าง ปีกใสไร้สีคลี่กาง บอบแบบโปร่งบางหางยาว โพ้นทุ่งคือลำคลองน้ำลึก ที่พฤกษ์ทบพุ่มตะคุ่มท่าว บดบังลำพูดอกพราว ที่กิ่งน้าวโน้มโค้งลงน้ำ ๒). แดดบ่ายปลายคุ้งท้องทุ่งรวงทอง ผิวหน้าอาจเงียบดูเรียบนิ่ง ค้อมกิ่งโค้งจุ่ม - ชุ่มฉ่ำ แผ่วเสียงแอคคอร์เดียน การเขียนคำ ของครูเพลงผู้คร่ำเคี่ยวกรำงาน แดดบ่ายระบายทุ่งจรดคุ้งโค้ง ฟ้าโล่งโปร่งปลอดตลอดน่าน สดับสรรพคีย์อลังการ เนิ่นนานนาบเนิบ - เนิบช้า เนิบช้าแผ่วบางแล้วจางหาย ละลายไปกับแดดที่แผดจ้า เกล็ดแดดสะท้อนวับ จับตา โรยหน้าผิวน้ำในลำคลอง ดงดอกลำพู - ชมพูม่วง โรยร่วงกลีบน้อยลงลอยล่อง ภวังค์กำลังเอ่อ - เหม่อมอง พรายฟองฟ่องพราวที่เท้าตี เงี่ยฟังเสียงแอคคอร์เดียน - การเขียนเพลง อันแว่วหวานวังเวงเหลือที่ นานนับทศวรรษ - ปีผลัดปี ดนตรี คีย์โน้ต บทเพลง กรุ่นกรุ่นในคำนึงคิดถึงอยู่ เพลงครูแจ่มชัด - ครัดเคร่ง อบอวลมวลฝันบรรเลง ท่ามกลางความวังเวงของเพลงลม ๓). หยาดเหงื่อที่ย้อยอยู่เหนือคิ้วนาง ลุ่มน้ำลำคุ้งปลายทุ่งข้าว ฤดูเกี่ยวเมฆหนาว--ขาวห่ม แต่ละรวงอวบอ้วน - ชวนชม ทองถมโน้มรวงถ่วงปลาย จึงเพลงรักบ้านทุ่งก็ฟุ้งกลิ่น ไวโอลินเสียงดีก็สีสาย เป็นเสียงรวงเสียดเปลือก - ลมเสือกราย ใบคายละเอียดก็เสียดเรียว สาวสวมงอบกอบเกี่ยวเอาเคียวเก็บ สากหนามือเล็บเพราะเก็บเกี่ยว พอลมโหมรวงข้าวกันกราวเกรียว เหงื่อเหนียวก็คายกระอายร้อน หยาดเหงื่อที่ปลายคิ้วจึงปลิวลม เส้นผมจึงไรสยายอ่อน วับวับเคียวกำรำฟ้อน ทรานซิสเตอร์ถ่านก้อนกระท่อนมา เสียงปาดไวโอลินแล้วชักกลับ สอดรับเสียงทุ้มของรุมบ้า เปียนโนพลิ้วคีย์นิ้วลีลา โดเรมีฟาซอลลาซี เก็บดอกลำพู - ชมพูม่วง พอนลำพูทอดงวง - หวงที่ สงบนิ่งมั่นคงอยู่ตรงนี้ ฟังเพลงสีไวโอลินส่งกลิ่นไม้ ๔). ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย ท้ายทุ่งคือลำคลองน้ำลึก พุ่มพฤกษ์ลมโกรกก็โบกไหว วงกระเพื่อมเลื่อมแดดถ่างแวดไป ลมเรี่ยน้ำใสนั้นไล่วง จนตะวันชายคล้อยลอยลงต่ำ ลำพูชายน้ำกิ่งก่ง ก็ทอดเงาระนาบราบลง กับพงหญ้ารกที่ปรกดิน ควันไฟจากครัวเริ่มพวยควัน เสียงโขลกครกลั่นสนั่นถิ่น แอคคอร์เดียน เปียนโน ไวโอลิน ยังยินสำเนียงคลอเสียงครก ผละจากดงลำพู - ชมพูม่วง พอนลำพูทอดงวง - ดอกดก ทรานซิสเตอร์ถ่านก้อนกระท่อนกระทก ยามสายัณห์ตะวันตกลงอกดิน ลัดทุ่งโดยทางที่ย่างก้าว คล้อยสาวสวมงอบเหงื่อประทิ่น เพลงครูโผยแว่วที่แผ่วยิน ช่างฟุ้งกลิ่นหอมล้ำของน้ำพริก! ๑.-เพลง กลิ่นฟางสาบสาว ร้องโดย ปอง ปรีดา ๒.-เพลง ทุ่งรัก ร้องโดย ศรคีรี ศรีประจวบ ๓.-เพลง หยาดเหงื่อเหนือคิ้วนาง ร้องโดย ชัยชนะ บุญณโชติ ๔.-เพลง รอยไถแปร ร้องโดย ก้าน แก้วสุพรรณ หวัดดีคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบ มิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน ต่อหน้าท่าน ณ บัดนี้ คือวงดนตรีสุรพลลลลลลลลลลล
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
ผิวเอยกูผิวปากมาฝากเพลง ฟังเถิดเอ็งเพลงพลิ้วกูผิวถึง อันแผ่วโผยโหยพ้อต่างซอซึง เพลงบทหนึ่งกำลังรินหลั่งลาย เป็นลายเพลงเวงวังกูหลั่งริน แห่งทุ่งถิ่นนาเถื่อนคืนเดือนหงาย แม่โพสพซบยอดลงวอดวาย ทอดกายสั่นสะทกแทบอกดิน เมล็ดแม่หนาวเหน็บและเจ็บไข้ ข้าวรวงใดอ้วนพีเป็นศรีถิ่น แม่กูเอ๋ยล่อตาให้กากิน กายังเมินเสียสิ้น-แผ่นดินนี้ ฟ้าฝนมิตกต้องตามฤดู ทั้งบึงหนองคลองคูก็ดูถี จะแห้งงวดขอดฝั่งอยู่ทั้งปี ครั้นเต็มปรี่ก็ท่วมท้นจนล้นลำ คงแต่ความทุกข์ยากลำบากเหลือ ดอกขี้เกลือเหงื่อชุ่มชอุ่มฉ่ำ แต่ละเม็ดทะลักบ่าดั่งตาน้ำ ให้กูขอดดื่มกล้ำแต่น้ำตา ก็น้ำตากูแหละซาวคลุกข้าวกิน เพื่อทรงวิญญาณกูให้รู้ว่า ศพลีบแม่เกลื่อนดินสิ้นราคา มิต่างนักดอกหวากับค่ากู เพลงบทหนึ่งกำลังรินหลั่งลาย กูระบายขื่นเข็ญที่เป็นอยู่ ฟังเถิดแม่ขวัญทุ่ง-ขวัญคุ้งคู เพลงที่กูผิวปากชื่อยากไร้ ชีวิตที่ฝังฝากกับฟ้าดิน มันกำลังสูญสิ้น-ได้ยินไหม? เสียงแผ่วผิวพลิ้วฝาดเจียนขาดใจ กูกำลังร้องไห้ - ใกล้ใกล้เอ็ง ชิ้นนี้ใช่ปะครับคุณเพียงพลิ้ว (ใช่คุณคนนี้ไหมหว่า? แหะๆ) ที่บอกว่าชอบอะครับ ถ้าใช่ ก็เอาชิ้นนี้มากำนัลคุณเพียงพลิ้ว ณ ที่นี้เลยนะครับ
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
จดหมายรักจากนวล ........................................ "เขียนจดหมายสักใบใส่ดาษขาว เขียนเองอ่านเองเป็นเพลงยาว เขียนถึงบ่าวผมสร้านอยู่บ้านไกล" ว่านกเขาขันคูอยู่ข้างทาง ไปขันกู่คูครางอยู่ข้างไหน มาเงียบงำคำยินเหมือนสิ้นใจ มาเงียบในเสียงบินเหมือนสิ้นลม ว่าเจ้าบ่าวผมซื่อมือนวล มาเรรวนคำหวานให้พานขม จูบนั้นจีบปากจูบหรือลูบคม ที่บ่าวข่มปากจีบจูบกลีบใจ นวลเพียงสาวชาวนาใช่กล้ากรด จารีตธรรมเนียมบังล้าหลังสมัย เพียงแรกจูบลูบแรกก็แปลกไป หวาดไหวคำกระทบกระเทียบเกินเปรียบปาน ดั่งวัวสันหลังหวะอยู่กลางทุ่ง หวาดสะดุ้งตื่นกาบินมาผ่าน นวลห่มไห้ไข้เข็ญอยู่เป็นนาน รอยแปลกนั้นประจานอยู่ลานใจ ชั่วเพราะพลีเพื่อรักลืมหลักคอก ดั่งวัวเขาสวยหนอกงามตาใส โลดแล่นลั่นกระดึงตะบึงไป ค้อมคอให้บ่าวเทียมเข้าเกวียนรัก เปลื้องจารีตธรรมเนียมที่เจียมตน รักล้นจึงทอดหยิ่งและทิ้งศักดิ์ แต่ดื่มรักก็ยิ่งด่ำยิ่งสำลัก ดื่มน้ำวักใสสะอาดกลับฝาดคอ บ่าวมาหวะแผลเหวอะเลือดเกรอเนื้อ ใจซื่อบ่าวก็เถือมิเหลือหลอ คำรวนเรเห่ร่ำที่พร่ำคลอ ก็ลืมคำที่พร่ำพ้อทุกข้อความ นวลเพียงสาวชาวนาใช่กล้ากรด จารีตธรรมเนียมแบกดังแอกหาม แต่รักแล้วปานแก้ววะแวววาม จะชั่วทรามปานใดก็ให้เป็น โนราห์หลงสรงสระอโนดาด แล้วบ่วงบาศก์คล้องตนเกินโผนเผ่น อันปีกหางงามงอนซึ่งซ่อนเร้น ดั่งตั้งวางห่างเว้นเห็นลิบลิบ เกินเอื้อมมือหยิบคว้าถลาฉวย ระรวยรวยขวยเขินเกินเอื้อมหยิบ หากรักแล้วร้าวรานวิญญาณทิพย์ จะมิรักแม้สิบพระสุธน อานวลเพียงวัวนากินหญ้าเขียว จะท่องเที่ยวเทียวหาสุดหล้าหน ควรหรือแม้นวลจะจวนตน ควรแล้วแม้ทนทุกข์จนตาย ต่อวันนวลฟุบซบเป็นศพซาก จะออกปากฝากเผาก็เปล่าหมาย เกรงขี้เถ้าผงคลีธุลีคาย จะเปื้อนกายป้ายกลิ่นให้หมินคาว นวลม้วนผมมวยเกล้าดำข้าวเขียว นวลฟ้อนแกะเก็บเรียวเกี่ยวรวงข้าว บ่าหยาบนี้หาบคานมานานยาว แดดกริ้วแผดผิวสาวผู้กร้าวงาน มินิ่มนวลชวนต้องแม้ย่องแตะ ก็อย่าแขวะคำถากจากปากหวาน นี่กระไรตะละคำช่างชำนาญ ตะละลิ้นช่างลึกคว้านจนสุดลึก เพียงชมเชยเกยกอดตลอดกาย ดินกระด้างฟางคายใช่รู้สึก ทุกคำหวานสรรพิษมาคิดนึก กล่อมนวลจนนวลสึกผลึกนวล ขนำน้อยก็แอบอิงพิงผนัง แม้ขนำก็เวียงวังยังไห้หวล บ่าวเป็นเทพลงดินมากินง้วน พอดินร่วนซ่วนซุยก็ถุยคาย ถุยขมถ่มขื่นมาคืนนวล ถุยทวนคำหวานซึ่งซ่านสาย ตะละคำตะละลิ้นรินระบาย ล้วนคำชายหมายหยามประณามนวล นวลเป็นสาวมีศักดิ์แหละรักศรี เกียรติที่มีแม้น้อยยังคอยสงวน หากต่ำต้อยถ้อยคำที่คร่ำครวญ ก็มิควรทวนถ้อยเพื่อคล้อยตาม ลงท้ายว่ายังรักยังคิดถึง แต่โศกซึ้งเพียงใดอย่าได้ถาม ทุกคำนวลล้วนชีวิตประดิษฐ์ความ จากเศษสากซากทรามนามว่านวล ปล.เจ้านกเขาชีกอสร้อยคอสวย อยู่ไหนให้ข่าวด้วยแหละช่วยด่วน ทุกถ้อยความหยามหยาบดังดาบทวน และทุกถ้วนคำประณามความไม่เอา! ในวงเล็บ เป็นสำนวนพื้นถิ่นภาคใต้ที่ได้ยินมา // สวัสดีครับทุกท่าน เป็นไงกันมั่งครับ สุขสบายกันดีไหมเอ่ย?
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
๑). เป็นเช้าที่สดใสด้วยสายแดด ละแวกแวดปลุกตื่นมาชื่นสด กรุ่นดินแรกแดดก็แผดรส คายปลดเย็นชื้นของคืนวาน หมอกกลุ่มสุดท้ายจึงวายหมาด เมื่อสางได้สาดจนจัดจ้าน พรายดวงแดดวับนับล้าน ก็ผลิบานแตกดอกออกดวง คือนกเขาสักตัวมากลั้วเสียง และนกเอี้ยงขานขับมารับช่วง คือความงดงามที่ถามทวง ด้วยลำเงินแสงยวงของช่วงเช้า ๒). ชีวิตถูกปลุกให้ลุกตื่น หลังคืนดื่นดึก-- พรึกเศร้า โลกกำลังตกแต่งด้วยแสงเงา ชัดแจ้งแรงเร้าเต็มเงาตา ให้มองเห็นสีสันอันบรรเจิด สดใสฉายเฉิดหนอโลกหล้า ฉูดฉาดราวแปรงได้แต่งทา ของลายผ้าบาติกพลิ้วพลิกลาย ปลุกชีวิตให้ตื่นมาตื้นตัน โลกอันวิจิตร--อาทิตย์ฉาย อาณาเขตขอบรอบรอบกาย ฝันร้ายคืนวานได้ผ่านพ้น เผื่อนกการวิกโบกปีกผ่าน เพรียกขานให้มองสีของขน แดดสวยฟ้าครามจะงามจน ตาตนตะลึงปลื้มจนลืมพริบ เผื่อใครคุ้นหน้าจะมาเยือน อาจเพื่อนสักหนึ่ง--หรือถึงสิบ หิ้วขวดสวยล้ำจุน้ำทิพย์ เพื่อจิบเมื่อย่ำเข้าค่ำคืน และอาจช่อกัลปพฤกษ์จะผลิช่อ ถักทอดอกสดให้สดชื่น ด้วยเช้าที่ชิงช่วง ที่ทวงคืน จากฟ้ามืดชืดผืนกลับคืนมา ๓). แต่นั่นแหละ - ใช่ความมหัศจรรย์ เถอะกระนั้นยังคงความทรงค่า หากบางทีไปรษณีย์อาจมีมา พร้อมลายมือจ่าหน้าตัวน่ารัก จดหมายจากแดนไกลที่ใส่ซอง กับบุหรี่ก้นกรองรสหนักหนัก ฉีกซองจูบจดหมาย ทายทัก อาจสอดแนบภาพชักมาสักใบ เป็นเช้าที่สดใสกระไรเช่นนี้ กาแฟรสดีดี--นี่ก็ใช่ สัมผัสสิ่งที่เห็น--ที่เป็นไป เป็นจริง--มิใช่ความมหัศจรรย์ พบว่าลืมตาขึ้นมาตื่น จากคืนเดือนดับ--จากหลับฝัน บางสิ่งที่คุ้นตา--ที่สามัญ รูปพรรณรายละเอียดกลับละเมียดละไม แหละบางอย่างเฉยเฉยอย่างเคยเป็น กลับแปลกตาเฉกเช่นประเด็นใหม่ ใบยางแห้งเหลืองจัดอาจผลัดใบ หลังข่าวจากแดนไกลทางไปรษณีย์ เช้าที่แสนวิเศษด้วยแดดแรง สาดแสงแห่งเช้าจับเก้าอี้ ขอเพียงให้ลึกลึก--รู้สึกดี กับบุหรี่ก้นกรอง--มวนสองมวน ๔) คือนกเหว่าสักตัวมารัวเสียง แหละนกเอี้ยงสักตัวมารัวสวน จนเซ็งแซ่เสียงสั่งไปทั้งกระบวน จนหมดสิ้นจำนวนแห่งมวลนก เป็นเช้าที่สดใสอย่างไม่เคย เช้าเอยเช้ากรุ่นมาอุ่นอก การวิกปีกบางกางปีกวก โผผกเกาะคบกัลปพฤกษ์ ก็ผลิช่อทันใดในทันที ผลิคลี่ดอกสู่ความรู้สึก คล้ายความมหัศจรรย์อันพันลึก ผลึกจากการเห็นความเป็นไป ก็นั่นแหละ--มิใช่เลยทีเดียว สักเสี้ยวความมหัศจรรย์--ก็มิใช่ เพียงแต่เช้าปลุกเร้าให้เข้าใจ เห็นในบางสิ่งที่คุ้นตา พรายดวงแดดวับนับล้านดวง ขับช่วงแตกออกเป็นดอกจ้า พร่างพรายลายดวงเต็มห้วงฟ้า สะท้อนขนงามตาการวิก มิใช่ความมหัศจรรย์ก็บรรเจิด คล้ายคล้ายการเตลิดของลายผ้าแห่งบาติก ฉูดฉาดจัดจ้านระริกริก เคลื่อนกระดิกไหลลื่นผ้าผืนลาย บุหรี่สักมวน--กาแฟสักถ้วย พร้อมด้วยถ้อยทั้งหมดในจดหมาย ท่ามกลางเขตขอบรอบรอบกาย ได้ไล้จูบรูปถ่ายที่แนบมา นั่นแหละสีสันอันบรรเจิด สดใสฉายเฉิดหนอโลกหล้า ใบยางเหลืองจัดที่ผลัดลา บอกว่า-แดดเช้ามีข่าวดี ๕). ฝันร้ายคืนวานจึงผ่านพ้น เมื่อคนเป็นเพื่อนมาเยือนที่ แหละนั่น--บุรุษไปรษณีย์ โบกวีจดหมายที่ในมือ!! เจอกันอีกครั้งครับท่านทั้งหลาย สวัสดีทุกท่านรอบทิศเลยนะครับ
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
กล่อมกรุง ๑). ๐ แผ่วโผยเพลงลมมาพรมเมฆ โยกเอ๋ยโยกเยกเจ้าเมฆขาว มาเยกโยกโกรกไม้จนไหวกราว ลูกของแม่จะเหน็บหนาวในราวเปล โอละช้าตาวาวหรือดาวดวง เจ้าพุ่มพวงเอ่ช้าโอละเห่ ยามศึกย่อมประจักษ์ทุลักทุเล อยุธยาร้างเล่ห์เสน่ห์เมือง พ่อของเจ้าถือดาบและหาบหอก กระชับปลอกเอ็นปูดไปปลดเปลื้อง เสียงก้องครึกกึกหล้าเมื่อฟ้าเรือง ไรแดดต้องผิวเหลืองเมลืองมัน ฝุ่นฟุ้งแต่บุรพาผลิอาทิตย์ เผชิญหน้าปัจจามิตรประชิดมั่น เออไพร่เลกเฉกกูจะสู้กัน โถมระส่ำห้ำหั่นประจัญบาน หนึ่งดาบที่วาบปลิดชีวิตศัตรู เถอะลูกกูจะกราบข่าวที่กล่าวขาน ทุกอณูเนื้อดินมีวิญญาณ ตราบอยุธยาอวสานลงกรานดิน ๒). ๐ วัดเอ๋ยวัดโบสถ์โตนดเจ็ด เจดีย์เพชรกร่อนสึกเมื่อศึกสิ้น สนธยาฟ้าคล้ำจนดำนิล วิเวกแว่วแผ่วยินทั้งติณ-พฤกษ์ ว่าหวนโหยโอยโอดทุกโสตสัมผัส เสียงดาบปะทะชัดในรู้สึก ประกายดาบประฟาดยังบาดลึก ให้อกขื่นสะอื้นอึกจารึกจำ อกเอ๋ยอกแม่ที่แผ่อก ให้เจ้านวลเนื้อกกสะทกพร่ำ มาได้ยากลำบากเป็นหนอเวรกรม ผีจะซ้ำด้ำจะพลอยจะร้อยตรวน มืดมนสนธยาทิวาราตรี พระเจดีย์ผีผลักจนหักด้วน อยุธยาระส่ำคว้างคระครางครวญ หนีเตลิดเปิดขบวนเถอะด่วนพลัน แผ่วโผยเพียงลมมาพรมเมฆ โยกเอ๋ยโยกเยกจนเมฆสั่น อยุธยาล่มแล้วให้แล้วกัน ประคองขวัญร่ำไห้หนีไฟกรุง! ๓). ๐ พ่อของเจ้ากรานดาบลงกราบดิน เลือดคลักทะลักริน-ดินสะดุ้ง สะท้อนวาบดาบพรายเป็นสายรุ้ง ปรากฏชัดระบัดทุ่งและคุ้งน้ำ คือธงชัยไสวเรืองในเบื้องหน้า อยุธยาจักชูมือให้ลือร่ำ มือแม่ที่ไกวเปลที่เห่คำ จะเปลี่ยนกำดาบลุกและปลุกพร เออ-หญิงไพร่ไทยอยุธย์จะลุกสู้ หนึ่งดาบกูพลิกพลิ้วจะพลิ้วว่อน เปลวไฟที่ไหวโถมที่โหมร้อน กูจะกร้อนฟ้อนหญ้ามาสุมไฟ! ๔). ๐ โอละเห่เอ่ช้าเอ่ช้าเอ่ อยุธยาร้างเล่ห์เสน่ห์สมัย แผ่นดินคว่ำลำเค็ญยากเข็ญใจ เพราะจัญไรทมิฬมันกินเมือง!