7 พฤษภาคม 2549 21:34 น.

แต่ละเม็ดน้ำหนึ่ง..

หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก

๑).
พอฝนตั้งเค้าขึ้นเงาเมฆ
ฟ้าก็เสกแผ่นน้ำขึ้นฉ่ำหาว
เต็มแผ่นแน่นพืดอยู่ยืดยาว
รอร้าวลมแรงมาแทงเค้า
แตกเป็นฝนเม็ดน้อยที่ลอยลิ่ว
ร่วงปลิวลงหล้าลงป่าเขา
ขณะเมฆดำปลอดยังทอดเงา
เหนือลำเนาพฤกษ์พง-เหนือดงไม้

๒).
หนึ่งหยดน้ำค้างใบของไม้เขียว
ก็จะเรียวดวงหยดเม็ดสดใส
มาซบผืนดินชุ่มให้อุ้มไว้
เพื่อต่อไปภายหน้าเป็นตาน้ำ
ให้ดินอันดำและอุดม
เจิ่งจมท้องลุ่มจนชุ่มฉ่ำ
เป็นซับเย็นเยียบอยู่เงียบงำ
ให้รากไม้เลียงลำเป็นน้ำเลี้ยง
แล้วจึงเจิ่งเป็นห้วยอันเย็นเยือก
จวบเปลือกไม้ปริจนแซะเสี่ยง
แทงยอดยืดต่อจนพอเพียง
แล้วเรียงวงปี-บอกชีวิต
จึงซับน้ำท่วมท้นจนล้นลุ่ม
ฟ้าที่คลุ้มขนัดก็ฟาดกฤช
น้ำก็เซาะหลากไหลไปทุกทิศ
ลึกมิดรางน้ำเป็นลำธาร
ย่อมเกิดแต่เม็ดหยดที่รดร่วง
หยาดดวงก่อแควกระแสผสาน
ชำแรกแทรกสิ้นซึ่งดินดาน
เพื่อผ่านกระแสเป็นแม่น้ำ
คือหยาดดวงปลายใบอันใสเม็ด
ก่องเก็จแวววาวด้วยพราวร่ำ
กลั่นมาจากเมฆฝนที่หม่นดำ
เมื่อเสียงฟ้างึมงำอยู่คร่ำคราง
คือหยาดทิพย์สวรรค์ที่กลั่นดวง
แล้วร่วงเม็ดเรืองลงเบื้องล่าง
เพื่อโถมสายแม่น้ำ-สายลำราง
เป็นความว้างเวิ้งมหาสมุทรที่สุดลึก!

๓).
เด็กน้อย..
โลกรอคอยแรงเธอร่วมผนึก
เพื่อวงปีไม้ดงของพงพฤกษ์
และเพื่อความอึกทึกของแผ่นฟ้า
เด็กน้อย..
เรารอคอยเธอเรียงความเดียงสา
เป็นแรงเรี่ยวเชี่ยวกรากเพื่อหลากมา
เป็นพลังชะตา-อนาคต!




สวัสดีครับทุกท่าน

				
4 พฤษภาคม 2549 21:23 น.

กิ่ ง ก ม ล . . .

หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก

กิ่งกมล

๑).
ตรงเส้นที่แยกฟ้าออกจากโลก
ลมโยกเมฆขาวจนกราวฟ่อน
เป็นเส้นเรียบราบระนาบนอน
ตัดซ้อนกลมกลืนเป็นผืนเดียว
บรรจบเส้นแบ่งรุ้งแวงพาด
เลียดดาดพรายคลื่น - ฟ้าผืนเขียว
ปีกบางกางผกเจ้านกเปรียว
โฉบเลี้ยวเฉี่ยวเวียนเฉวียนเรือ

๒).
กิ่งกมล-
มีเหตุผลใดหรือที่ควรเชื่อ?
โมกหอมกิ่งสานไขว้ก้านเครือ
สวยขาวพราวเพรื่อเต็มเนื้อตา
พร้อมบุหรี่มวนแรกในชีวิต
ฉันปลิดโมกโยนไปโพ้นหล้า
เพียงลมแรงเพียงวูบเพียงวูบมา
เพียงพริบตาเพียงพริบเพียงพริบเดียว
วัยเช่นนั้นหรือ? - กิ่งกมล
เหตุผลใดเล่าให้ยึดเหนี่ยว?
พร้อมกับเหล้าแก้วแรกที่ซดเพียว
แรงเอี้ยวเหวี่ยงโยกของโลกกลม
ฉันล่องลอยเหมือนโมกที่ล่องลอย
จนดอกน้อยผล็อยโพลนในโคลนหล่ม
กลีบขาวหม่นช้ำสีดำอม
นอนซมไข้พิษสิบสิบปี
ฉันดื่มเหล้า - ทอดตามองฟ้ากว้าง
รางรางม่านฝันควันบุหรี่
ความเชื่อในเรี่ยวแรงที่ฉันมี
จนบัดนี้ถูกผิด? - ฉันไม่รู้!

๓).
ยังเป็นไดอารี่ที่ค้างส่ง
และยังคงเปิดอ่านนานนานอยู่
เด็กหนุ่มเขียนบันทึก - เธอนึกดู
น่ารักน่าเอ็นดูสักเพียงไร?
มีคำอยู่หนึ่งคำเขียนซ้ำซาก
เหงาจนยิ้มมุมปาก - อยากร้องไห้
บางหน้าเขียนค้าง - ปล่อยว่างไว้
กลับเล่าเรื่องราวได้มากมายนัก
ว่า-
วันนั้นฟ้าเมฆโชน - มีฝนหนัก
ทั้งลั่นแลบแปลบย้ายเป็นสายยัก
ผ่ากิ่งโมกหักลงเป็นชิ้น!
ฉันเก็บเศษดอกโมกมาแนบทรวง
ร้องไห้หนักหน่วงในแหลกวิ่น
ไม่ฟังใดไม่รู้ไม่ได้ยิน
สูญสิ้นความเชื่อใดต่อไปแล้ว!
เหมือนดอกโมกที่โยนไปโพ้นฟ้า
และวูบมาของวูบลมวูบแผ่ว
ฉันเคลื่อนที่ชีวิตไร้ทิศแนว
เกร่แกร่วแล้วแต่จะแร่ไป
ปกไดอารี่สีฟ้า - กิ่งกมล
เถ้าบุหรี่สีหม่นฉันหล่นใส่
อ่านบันทึกให้ตัวเองฟังอย่างตั้งใจ
และรูขอบกรอบไหม้ให้รำลึก

๔).
ฉันเหนื่อย -
ดอกโมกเปื่อยยุ่ยโพลนในโคลนปึก
วันคืนนานยาวอันร้าวลึก
ยังผ่านดึกผ่านเช้าอีกยาวนาน
เธอลูกกี่คนแล้ว? - กิ่งกมล
ผ่านพ้นมาอย่างไรหนอวัยหวาน?
สายฝน ขนนก ดอกโมกบาน
ลำธาร สายรุ้ง และพรุ่งนี้
ตอบฉันหน่อยสิ - กิ่งกมล
โมกต้นหนึ่งงอกจนดอกคลี่
การเพิ่มรอยรอบวงของวงปี
มันควรมีความเชื่อความเชื่อใด?
พร้อมกับบาดแผลแรกในชีวิต
ถูกผิดไม่รู้ - แต่ร้องไห้
ฉันดื่มเหล้า - ทอดตามองฟ้าไกล
นั่นนกขาวไรไรสุดสายตา

๕).
ตรงเส้นที่แยกฟ้าออกจากโลก
อาจโมกร่วงกลบนิ่งซบหล้า
ตรงที่แวงตัดรุ้งสุดคุ้งฟ้า
ในองศาพอดีของชีวิต
ฉันโล้ลอยเหมือนเรือที่โล้ลอย
นกขาวน้อยร่อนนำ - ฉันตามติด
ความเชื่อใดไม่รู้นำสู่ทิศ
เพื่อปะต่อปะติดเศษโลกจากโมกนั้น!

๑๗ มิถุน ๒๕๔๘



ทุกท่านครับ  ผมไม่สามารถตอบกระทู้กลอนของใครได้เลยนะครับ  แม้กระทั่งของผมเองที่จะตอบคนอ่านก็ยังตอบไม่ได้

พอคลิกตรงแสดงความเห็น  ป๊อบ - อัพ  บล็อคเกอร์ ก็จะพรึบมาทันที  และนั่นผมต้องไปสแกนลบป็อบอัพหลังปิดเครื่อง

จึงขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ  ที่เหมือนๆจะเสียมรรยาทในการตั้ง - ตอบกระทู้				
2 พฤษภาคม 2549 21:05 น.

ทั้งท่านแหละทั้งข้าพเจ้า

หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก

๑).
ท่านกับข้าพเจ้า-
เราต่างสุมความเหงาความเศร้าสร้อย
ทุกรอยเท้าก้าวไปล้วนไร้รอย
ล่องลอยไปทั่วไร้ตัวตน
ท่านกับข้าพเจ้า-
เราต่างยิ้มแสนเศร้าแสนเหงาหม่น
เศษวิญญาณกระจัดกระจายทุรายทุรน
เกลื่อนกล่นว่อนเวี่ยลงเรี่ยราย
เรา-
ฝุ่นเขม่าปีเดือนที่เปื้อนป้าย
ปกปิดความเบี้ยวบุบของรูปกาย
และพรางแผลพร่างพรายที่ลายพร้อย

๒).
ปีเดือนเคลื่อนลุปัจจุบัน
คืนวันงามงดยิ่งถดถอย
เราเหลือปฏิทินกี่มากน้อย
ที่คอยเวลาขีดฆ่าวัน
เวลาอายุที่ลุล่วง
เหลือเพียงดวงตาข้นเคยโชนฝัน
ท่านกับข้าพเจ้าที่เท่ากัน
คือความเหงาเท่าทันเท่านั้นเอง
ท่านกับข้าพเจ้า-
ไดโนเสาร์ชราผู้ก้างเก้ง
โดดเดี่ยว สิ้นหวัง วังเวง
แค่นเปล่งคำรามในลำคอ
เราเป็นสัตว์บาดเจ็บแห่งยุคสมัย
อุกาบาตลูกใหญ่นั้นไล่จ่อ
ข้าพเจ้าม้วนหดตัวขดงอ
เขานอเขี้ยวเล็บถูกเก็บไว้!

๓).
ลึกลงในดวงตาข้าพเจ้า
คือองศาแผดเผาที่ผ่าวไหม้
ค่อยค่อยมอดทีละนิดชีวิตวัย
กร่อนก้อนเนื้อหัวใจทีละน้อย
ท่านเดินสวนทางข้าพเจ้า
ดวงตาดวงเหงานั้นเศร้าสร้อย
อ้อนวอน ร้องขอ รอคอย
เปลี้ยง่อยใบ้บ้าล้าแรง
ลึกลงในดวงตาข้าพเจ้า
คือหลุมเปล่าลึกลับและอับแสง
ไร้เส้นศูนย์สูตรไร้รุ้งแวง
แห้งแล้งหนาวมืดอยู่ยืดยาว
ลึกลงในตาสองดวงของท่าน
ความดิบด้านยิ่งกลบยิ่งทบท่าว
จนที่สุด-เสียงเปราะกะเทาะร้าว
ก็แตกกราวเม็ดดวงลงร่วงพรู
ท่านสบสายตาข้าพเจ้า
ความว่างเปล่าพุ่งโถมเข้าโจมจู่
ข้าพเจ้าเขม้นเพ่งเขม็งดู
เห็นอยู่ชัดชัดนั้นสัตว์ร้าย!

๔).
เราตายไปแล้วสหายรัก
วิญญาณอัปลักษณ์เราแหวกว่าย
จากต้นทางถนนที่ฝนพราย
ยังสุดสายถนนที่ฝนพรำ
แล้วเวียนย้อนกลับไปทางสายเก่า
จากเช้าไปจบที่พลบค่ำ
ด้วยบทเพลงเศร้าเศร้าที่เราฮัม
เป็นประจำและแสนธรรมดา
เราตายไปแล้วสหายรัก
เห็นเพียงซากอัปลักษณ์ของดวงหน้า
ลมหายใจเน่าเหม็นนั้นเย็นชา
และวอมแห่งแสงตาไร้อารมณ์
เราเป็นสัตว์บาดเจ็บแห่งยุคสมัย
ข้าพเจ้าร้องไห้-ท่านร้องห่ม
มือที่กางกรงเล็บ-เราเก็บคม
เพื่อดิ่งจมความว่างอันว้างไร้
โดยมิเคยกระทำตั้งคำถาม
ไร้ความงุนงงความสงสัย
เราข้ามคืนข้ามวันเพียงทันใด
หัวเราะร้องไห้-เป็นไปเอง
ข้าพเจ้าดื่มอย่างหนักหน่วง
เพื่อเติมความกลวงให้เต็มเป่ง
ข้าพเจ้าเฆี่ยนสัตว์ร้ายในตนเอง
ได้โนเสาร์ก้างเก้งก็เปล่งคราง

๕).
เคว้งคว้างและเศร้าอย่างบัดซบ
เมาพลบแล้วสะดุ้งตื่นรุ่งสาง
ท่านคำรามลำคอตลอดทาง
พยักหน้าอ้างว้างอยู่รางเลือน
ท่านทักข้าพเจ้าอย่างเศร้าสร้อย
เผยรอยยิ้มชืดอันจืดเจื่อน
เราขีดฆ่าวันที่เป็นปีเดือน
โดยเลื่อนร่างซากเดินลากมา
กี่ครั้งแล้วที่ทักข้าพเจ้า?
ขณะข้าพเจ้าเมา-ท่านบ่นบ้า
กี่ครั้งแล้วที่พบเราสบตา
ไดโนเสาร์ชราทั้งสองตัว
เราคือสัตว์ไร้สีไม่มีชื่อ
ซึมกระทือโทรมทรุดกันสุดขั้ว
ข้าพเจ้าผ่านค่ำด้วยความกลัว
สะอื้นรัวร่ำไห้อยู่ดายเดียว
ที่สุด-ทั้งท่านแหละทั้งข้าพเจ้า
แค่สัตว์เชื่องเงื่องเหงาผู้เปล่าเปลี่ยว
เราจ้องหน้าเบี้ยวบิดดวงซีดเซียว
นั่นเขี้ยวสัตว์ดุเราผุแล้ว!
......................
....................
รอการสิ้นชีวิตอันซีดเซียว
กาลเวลาย่อยเคี้ยวเราเดี๋ยวใจ!

				
29 เมษายน 2549 22:27 น.

แห่งสิงหาคม

หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก

๑).

ในความอึกทึก - มีความเงียบ

อันราบเรียบเงียบเหงาและเบาแผ่ว

นุ่มนวลอ่อนโยนราวขนแมว

ล่องแล้วลอยอยู่มิรู้ลง

ในความฝันสีดำ - มีความขาว


เป็นจุดดาวพราวพุ่งอยู่สูงส่ง

เพื่อทอความงามงดเป็นกลดทรง

ทอดวงแสงวาดอยู่ดาดฟ้า

แหละในความเติบใหญ่ - มีวัยเยาว์

ผุดเงาร้อยเรียงความเดียงสา

ในดวงใจหนักหน่วง - มีดวงตา

เพรียกหาหัวใจแห่งวัยเยาว์

๒).

คล้ายคล้ายกลิ่นทะเลได้เพพัด

แหละคลื่นซัดสะท้อนวันก่อนเก่า

ลำสนสูงยอดนั้นทอดเงา

ลมเป่าหาดทรายฟุ้งฟายมา

คล้ายคล้ายดอกไม้ขาวกลีบเบาบาง

อวดร่างรูปทรงอยู่ตรงหน้า

ในฤดูเมฆขาวเริ่มเทาทา

รอเวลาแตกเกล็ดเป็นเม็ดน้ำ

แห่งสิงหาคม------

สายลมหมาดชื้นเริ่มชื่นฉ่ำ

เธอมาคืนที่ฝันสีดำ

ฝันซึ่งซากซ้ำประจำมา

ในความเจ็บปวดความรวดร้าว

ความหนาวเหน็บหนักนั้นนักหนา

มือเบาเย็นชื่นเธอยื่นมา

ดวงตารอยยิ้มเธอเยี่ยมเยือน

เสียงสนวู่ไหวในสายลม

สิงหาคม---ดวงตาที่ฝ้าเฝื่อน

จับจ้องใบหน้าเธอไว้เพ้อเตือน

ก่อนการเคลื่อนสติสู่ภวังค์!!

๓).

ไกลโพ้น------

ปุยอันอ่อนโยนอยู่โพ้นฝั่ง

ระเบียงที่ดาวละดวงยัง

ระยับปลั่งเปล่งสุกอยู่ทุกดวง

ห้วงแห่งการหลับใหลตามลำพัง

ฉันเพรียกขานความหลังอันลับล่วง

เพ่งอยู่ในความกว้างที่ว้างกลวง

ทั้งปวง---ที่ไร้ที่ไม่มี

ในความเงียบอันมิรู้ตัว

กับความกลัวการหลับอยู่กับที่

ช่วงแห่งนาฬิกาต่อนาที

ลมหายใจที่ช่างแผ่วเบา

ห้วงแห่งการหลับใหลอันยาวนาน

คืบคลานดิ่งดำสู่ความเศร้า

สูญเสียการหวังคาดและวาดเดา

แห่งเค้าดวงหน้าเมตตานั้น

ไกลโพ้น------

ดั่งลอยโกลนเรือร้างอยู่กลางฝัน

เบื้องเหนือดาวดื่นนับหมื่นพัน

พรางแสงเงียบงันอยู่ระยับ

แล้วดอกไม้ก็ร่วงจากดวงดาว

กลีบขาวแสนงามในยามหลับ

แอมโมเนียฉุนจัดสัมผัสรับ

และดวงตาดำขลับจ้องจับมา

๔).

ฉันมองโลกด้วยตาเพียงข้างเดียว

โน้มเหนี่ยวจักรวาลด้วยควานหา

อธิบายสิ่งสรรพเพียงหลับตา

เยียวยาความบอดใบ้มอดตน

จึงรู้---ในความงามมีความเศร้า

ครึ่งค่อนวัยเยาว์ช่างเหงาหม่น

ผิวทะเลที่แดดได้แผดปน

เสียงลมหวิววู่สนลู่ใบ

ปิดตาข้างหนึ่ง---ข้างหนึ่งเปิด

ดูเถิด - เส้นระที่จะไต่

แนวราบระนาบตลอดที่ทอดไกล

แบ่งน้ำกับฟ้าไว้อย่างชัดเจน

โอวัยเยาว์------

การเติบโตแสนเศร้า---และล้อเล่น

กาลเวลาอัดหนีบซ้ำบีบเค้น

หลอมเป็นชีวิตเบี้ยวบิดทรง

ในความฝันสีขาว---มีเงาดำ

ซ่อนงำรอกาลจะสานส่ง

ค่อยเล็มแสงรอบประกอบองค์

เพื่อถล่มล่มลง ณ ตรงนั้น

ตรงที่ดอกไม้ขาวกลีบเบาบาง

อยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน

ในความมืดที่เงียบอย่างเฉียบพลัน

และการตื่นที่อันตรธานวัย

๕).

ไกลโพ้น------

ปุยอันอ่อนโยนอยู่โพ้นไหน?

สิงหาคม---คลื่นเดิ่งสนเริงใบ

อึกทึกอยู่ในความวังเวง

เอื้อมคว้าดาวสักดวงจักร่วงมา

ดวงตาแม้ข้าง---ก็ยังเปล่ง

มิติราบโล่งอันโคลงเคลง

ยังเขย่งเหยียดเงื้อมยังเอื้อมคว้า

ฉันมองโลกด้วยตาเพียงข้างเดียว

วิ่นแหว่งบิดเบี้ยวมาเชี่ยวกล้า

จึงดวงใจบอบช้ำ---มีน้ำตา

สูญเสียเค้าหน้าเมตตาใด

ในความเงียบมีความอึกทึก

เสียงหัวใจเต้นตึก---รู้สึกได้

ฉันหลับตาอีกดวงดิ่งทรวงใน

เลื่อนไหลสู่การหลับ---มิรับรู้

ในความฝันสีขาว---มีเงาดำ

ล่มซ้ำซากพื้นที่ยืนอยู่

ระเบียงดาวดาดที่หยาดอณู

จึงปูแสงลาด ณ หาดทราย

แหละในความเติบใหญ่---มีวัยเยาว์

เติบโตมาโง่เขลาและสูญหาย

เบื้องหน้าเธอยืนอยู่---คือผู้ชาย

ผู้ทำลายเด็กน้อยลงย่อยยับ!!

๖).

แห่งสิงหาคม------

กระแสลมพัดหวนเพื่อทวนกลับ

ถ่างความฝันความจริงเพียงนิ่งนับ

กี่คราหลับ? กี่วามหยาดน้ำเกลือ?

เธอผู้มีรอยยิ้มในดวงตา

ผ่านมาเพื่อคุณการอุ่นเอื้อ

มิรับรู้หน่วยตาที่พร่าเครือ

ของชายผู้เลือดเนื้อ---มิเหลือใด!!



รพ.รามาธิบดี
สิงหาคม ๒๕๔๔				
24 เมษายน 2549 21:22 น.

เจ้าชายแสงจันทร์

หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก

เจ้าชายแสงจันทร์

๑).
เธอเอย- 
ฟ้ามืดนั้นจักเผยแสงจันทร์จ้า
สูงสุดสูงสุดเงื้อมสุดเอื้อมคว้า
นวลดวงนวลตานวลใย
นานมาแล้ว - กาลครั้งหนึ่ง
ม้ามีปีกเผ่นผึงไปถึงไหน
ตะกุยฟ้าเมฆแตกวิ่งแหวกไป
จากใจกลางจันทร์ - จากแสงจันทร์
เป็นเส้นแสงแทงตรงมาลงโลก
เบื้องหน้าดวงตาโศกคนช่างฝัน
พอฝุ่นเงียบระลอกจากหมอกควัน
หลังม้านั้น - มีเงาของเจ้าชาย
๒).
เธอกอดตุ๊กตาริมหน้าต่าง
ทอดตาฟ้ากว้างคืนข้างหงาย
หอมแก้วกลีบขาวพราวพราย
กรุ่นโผยโชยสายถึงชายคา
ที่ทางช้างเผือกโน้น - มีดวงดาว
ล้านล้านวาววับวิบอยู่พริบพร่า
ฉันผู้มาจากอีกฟากฟ้า
เก็บแก้วกลิ่นกล้ามาแนบทรวง
หอมเอยหอมชื่นในดื่นดึก
สบตาเธอรู้ลึกความแหนหวง
ดาดฟ้าดาดดาวระดะดวง
ดูสิดาวสียวงจะร่วงมา
เป็นหัวแหวนงามวับประดับก้อย
น้ำงามพร่างพร้อยไร้รอยฝ้า
เป็นปิ่นผมมวยหมาดจากหยาดฟ้า
เป็นเงาตาแวมวามอยู่งามดวง
ฉันเก็บแก้วดาดดินทัดปิ่นเธอ
พึมพำพร่ำเพ้อรักและห่วง
สบตาเธอเห็นเงาของดาวยวง
ที่ฉันล่วงล้ำเข้าในเงาตา
๓).
อยากกอดเธอเนิ่นนานอยู่อย่างนี้
กาแลกซี่อื่นไหนไม่ปรารถนา
ฟังเพลงแสงจันทร์พรรณนา
กระชับเธอเข้ามาแนบหาตัว
เด็กสาวช่างฝันดวงตาเศร้า
โลกนี้สีเทาและทึมทั่ว
ดวงหน้าเธอหม่นคล้ำด้วยความกลัว
มองรั้วลานแก้ว - มองแววตา
แววตาแห่งแสงจันทร์ของเจ้าชาย
ชัดฉายความรักจากดวงหน้า
ยิ่งเห็นยิ่งชัดยิ่งศรัทธา
ยิ่งหวั่นเช้าจะมาเร็วกว่าเป็น
คือความหอมหวาน - ความฝันเอย
นานแล้วไม่เคยจะได้เห็น
ฉันเก็บแก้วดมดอมกลีบหอมเย็น
ร้อยเป็นมงกุฎแก้วอยู่แผ่วเบา
สรวมเศียรเธอ - เจ้าหญิงริมหน้าต่าง
กระชับร่างบางแบบเธอแนบเข้า
จูบแรกใต้แสงจันทร์เธอสั่นเทา
จนเช้าพรายพร่างเป็นกลางวัน
เธอกอดตุ๊กตาริมหน้าต่าง
ฟ้ารางชางสางคลี่สาดสีสัน
ม้าโบกปีกพึบพับขึ้นฉับพลัน
ลานแก้วนั้นเปล่าว่างไร้ร่างใคร
๔).
ที่ทางช้างเผือกโน้น - มีดวงดาว
เด็กสาวแก้มป่องอย่าร้องไห้
ม้ามีปีกควบห้อคืนต่อไป
จะร้อยดาวกำไลมาให้เธอ...

๒๗ กันย์ ๒๕๔๘







// ทำไมผมตอบกระทู้ของคนอื่นไม่ได้ล่ะครับ?   มันจะเหมือนมีหน้าต่างขึ้น แล้วก็หายวับไปเลยครับ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
Lovings  หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
Lovings  หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
Lovings  หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก