หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
๑). พอฝนตั้งเค้าขึ้นเงาเมฆ ฟ้าก็เสกแผ่นน้ำขึ้นฉ่ำหาว เต็มแผ่นแน่นพืดอยู่ยืดยาว รอร้าวลมแรงมาแทงเค้า แตกเป็นฝนเม็ดน้อยที่ลอยลิ่ว ร่วงปลิวลงหล้าลงป่าเขา ขณะเมฆดำปลอดยังทอดเงา เหนือลำเนาพฤกษ์พง-เหนือดงไม้ ๒). หนึ่งหยดน้ำค้างใบของไม้เขียว ก็จะเรียวดวงหยดเม็ดสดใส มาซบผืนดินชุ่มให้อุ้มไว้ เพื่อต่อไปภายหน้าเป็นตาน้ำ ให้ดินอันดำและอุดม เจิ่งจมท้องลุ่มจนชุ่มฉ่ำ เป็นซับเย็นเยียบอยู่เงียบงำ ให้รากไม้เลียงลำเป็นน้ำเลี้ยง แล้วจึงเจิ่งเป็นห้วยอันเย็นเยือก จวบเปลือกไม้ปริจนแซะเสี่ยง แทงยอดยืดต่อจนพอเพียง แล้วเรียงวงปี-บอกชีวิต จึงซับน้ำท่วมท้นจนล้นลุ่ม ฟ้าที่คลุ้มขนัดก็ฟาดกฤช น้ำก็เซาะหลากไหลไปทุกทิศ ลึกมิดรางน้ำเป็นลำธาร ย่อมเกิดแต่เม็ดหยดที่รดร่วง หยาดดวงก่อแควกระแสผสาน ชำแรกแทรกสิ้นซึ่งดินดาน เพื่อผ่านกระแสเป็นแม่น้ำ คือหยาดดวงปลายใบอันใสเม็ด ก่องเก็จแวววาวด้วยพราวร่ำ กลั่นมาจากเมฆฝนที่หม่นดำ เมื่อเสียงฟ้างึมงำอยู่คร่ำคราง คือหยาดทิพย์สวรรค์ที่กลั่นดวง แล้วร่วงเม็ดเรืองลงเบื้องล่าง เพื่อโถมสายแม่น้ำ-สายลำราง เป็นความว้างเวิ้งมหาสมุทรที่สุดลึก! ๓). เด็กน้อย.. โลกรอคอยแรงเธอร่วมผนึก เพื่อวงปีไม้ดงของพงพฤกษ์ และเพื่อความอึกทึกของแผ่นฟ้า เด็กน้อย.. เรารอคอยเธอเรียงความเดียงสา เป็นแรงเรี่ยวเชี่ยวกรากเพื่อหลากมา เป็นพลังชะตา-อนาคต! สวัสดีครับทุกท่าน
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
กิ่งกมล ๑). ตรงเส้นที่แยกฟ้าออกจากโลก ลมโยกเมฆขาวจนกราวฟ่อน เป็นเส้นเรียบราบระนาบนอน ตัดซ้อนกลมกลืนเป็นผืนเดียว บรรจบเส้นแบ่งรุ้งแวงพาด เลียดดาดพรายคลื่น - ฟ้าผืนเขียว ปีกบางกางผกเจ้านกเปรียว โฉบเลี้ยวเฉี่ยวเวียนเฉวียนเรือ ๒). กิ่งกมล- มีเหตุผลใดหรือที่ควรเชื่อ? โมกหอมกิ่งสานไขว้ก้านเครือ สวยขาวพราวเพรื่อเต็มเนื้อตา พร้อมบุหรี่มวนแรกในชีวิต ฉันปลิดโมกโยนไปโพ้นหล้า เพียงลมแรงเพียงวูบเพียงวูบมา เพียงพริบตาเพียงพริบเพียงพริบเดียว วัยเช่นนั้นหรือ? - กิ่งกมล เหตุผลใดเล่าให้ยึดเหนี่ยว? พร้อมกับเหล้าแก้วแรกที่ซดเพียว แรงเอี้ยวเหวี่ยงโยกของโลกกลม ฉันล่องลอยเหมือนโมกที่ล่องลอย จนดอกน้อยผล็อยโพลนในโคลนหล่ม กลีบขาวหม่นช้ำสีดำอม นอนซมไข้พิษสิบสิบปี ฉันดื่มเหล้า - ทอดตามองฟ้ากว้าง รางรางม่านฝันควันบุหรี่ ความเชื่อในเรี่ยวแรงที่ฉันมี จนบัดนี้ถูกผิด? - ฉันไม่รู้! ๓). ยังเป็นไดอารี่ที่ค้างส่ง และยังคงเปิดอ่านนานนานอยู่ เด็กหนุ่มเขียนบันทึก - เธอนึกดู น่ารักน่าเอ็นดูสักเพียงไร? มีคำอยู่หนึ่งคำเขียนซ้ำซาก เหงาจนยิ้มมุมปาก - อยากร้องไห้ บางหน้าเขียนค้าง - ปล่อยว่างไว้ กลับเล่าเรื่องราวได้มากมายนัก ว่า- วันนั้นฟ้าเมฆโชน - มีฝนหนัก ทั้งลั่นแลบแปลบย้ายเป็นสายยัก ผ่ากิ่งโมกหักลงเป็นชิ้น! ฉันเก็บเศษดอกโมกมาแนบทรวง ร้องไห้หนักหน่วงในแหลกวิ่น ไม่ฟังใดไม่รู้ไม่ได้ยิน สูญสิ้นความเชื่อใดต่อไปแล้ว! เหมือนดอกโมกที่โยนไปโพ้นฟ้า และวูบมาของวูบลมวูบแผ่ว ฉันเคลื่อนที่ชีวิตไร้ทิศแนว เกร่แกร่วแล้วแต่จะแร่ไป ปกไดอารี่สีฟ้า - กิ่งกมล เถ้าบุหรี่สีหม่นฉันหล่นใส่ อ่านบันทึกให้ตัวเองฟังอย่างตั้งใจ และรูขอบกรอบไหม้ให้รำลึก ๔). ฉันเหนื่อย - ดอกโมกเปื่อยยุ่ยโพลนในโคลนปึก วันคืนนานยาวอันร้าวลึก ยังผ่านดึกผ่านเช้าอีกยาวนาน เธอลูกกี่คนแล้ว? - กิ่งกมล ผ่านพ้นมาอย่างไรหนอวัยหวาน? สายฝน ขนนก ดอกโมกบาน ลำธาร สายรุ้ง และพรุ่งนี้ ตอบฉันหน่อยสิ - กิ่งกมล โมกต้นหนึ่งงอกจนดอกคลี่ การเพิ่มรอยรอบวงของวงปี มันควรมีความเชื่อความเชื่อใด? พร้อมกับบาดแผลแรกในชีวิต ถูกผิดไม่รู้ - แต่ร้องไห้ ฉันดื่มเหล้า - ทอดตามองฟ้าไกล นั่นนกขาวไรไรสุดสายตา ๕). ตรงเส้นที่แยกฟ้าออกจากโลก อาจโมกร่วงกลบนิ่งซบหล้า ตรงที่แวงตัดรุ้งสุดคุ้งฟ้า ในองศาพอดีของชีวิต ฉันโล้ลอยเหมือนเรือที่โล้ลอย นกขาวน้อยร่อนนำ - ฉันตามติด ความเชื่อใดไม่รู้นำสู่ทิศ เพื่อปะต่อปะติดเศษโลกจากโมกนั้น! ๑๗ มิถุน ๒๕๔๘ ทุกท่านครับ ผมไม่สามารถตอบกระทู้กลอนของใครได้เลยนะครับ แม้กระทั่งของผมเองที่จะตอบคนอ่านก็ยังตอบไม่ได้ พอคลิกตรงแสดงความเห็น ป๊อบ - อัพ บล็อคเกอร์ ก็จะพรึบมาทันที และนั่นผมต้องไปสแกนลบป็อบอัพหลังปิดเครื่อง จึงขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ ที่เหมือนๆจะเสียมรรยาทในการตั้ง - ตอบกระทู้
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
๑). ท่านกับข้าพเจ้า- เราต่างสุมความเหงาความเศร้าสร้อย ทุกรอยเท้าก้าวไปล้วนไร้รอย ล่องลอยไปทั่วไร้ตัวตน ท่านกับข้าพเจ้า- เราต่างยิ้มแสนเศร้าแสนเหงาหม่น เศษวิญญาณกระจัดกระจายทุรายทุรน เกลื่อนกล่นว่อนเวี่ยลงเรี่ยราย เรา- ฝุ่นเขม่าปีเดือนที่เปื้อนป้าย ปกปิดความเบี้ยวบุบของรูปกาย และพรางแผลพร่างพรายที่ลายพร้อย ๒). ปีเดือนเคลื่อนลุปัจจุบัน คืนวันงามงดยิ่งถดถอย เราเหลือปฏิทินกี่มากน้อย ที่คอยเวลาขีดฆ่าวัน เวลาอายุที่ลุล่วง เหลือเพียงดวงตาข้นเคยโชนฝัน ท่านกับข้าพเจ้าที่เท่ากัน คือความเหงาเท่าทันเท่านั้นเอง ท่านกับข้าพเจ้า- ไดโนเสาร์ชราผู้ก้างเก้ง โดดเดี่ยว สิ้นหวัง วังเวง แค่นเปล่งคำรามในลำคอ เราเป็นสัตว์บาดเจ็บแห่งยุคสมัย อุกาบาตลูกใหญ่นั้นไล่จ่อ ข้าพเจ้าม้วนหดตัวขดงอ เขานอเขี้ยวเล็บถูกเก็บไว้! ๓). ลึกลงในดวงตาข้าพเจ้า คือองศาแผดเผาที่ผ่าวไหม้ ค่อยค่อยมอดทีละนิดชีวิตวัย กร่อนก้อนเนื้อหัวใจทีละน้อย ท่านเดินสวนทางข้าพเจ้า ดวงตาดวงเหงานั้นเศร้าสร้อย อ้อนวอน ร้องขอ รอคอย เปลี้ยง่อยใบ้บ้าล้าแรง ลึกลงในดวงตาข้าพเจ้า คือหลุมเปล่าลึกลับและอับแสง ไร้เส้นศูนย์สูตรไร้รุ้งแวง แห้งแล้งหนาวมืดอยู่ยืดยาว ลึกลงในตาสองดวงของท่าน ความดิบด้านยิ่งกลบยิ่งทบท่าว จนที่สุด-เสียงเปราะกะเทาะร้าว ก็แตกกราวเม็ดดวงลงร่วงพรู ท่านสบสายตาข้าพเจ้า ความว่างเปล่าพุ่งโถมเข้าโจมจู่ ข้าพเจ้าเขม้นเพ่งเขม็งดู เห็นอยู่ชัดชัดนั้นสัตว์ร้าย! ๔). เราตายไปแล้วสหายรัก วิญญาณอัปลักษณ์เราแหวกว่าย จากต้นทางถนนที่ฝนพราย ยังสุดสายถนนที่ฝนพรำ แล้วเวียนย้อนกลับไปทางสายเก่า จากเช้าไปจบที่พลบค่ำ ด้วยบทเพลงเศร้าเศร้าที่เราฮัม เป็นประจำและแสนธรรมดา เราตายไปแล้วสหายรัก เห็นเพียงซากอัปลักษณ์ของดวงหน้า ลมหายใจเน่าเหม็นนั้นเย็นชา และวอมแห่งแสงตาไร้อารมณ์ เราเป็นสัตว์บาดเจ็บแห่งยุคสมัย ข้าพเจ้าร้องไห้-ท่านร้องห่ม มือที่กางกรงเล็บ-เราเก็บคม เพื่อดิ่งจมความว่างอันว้างไร้ โดยมิเคยกระทำตั้งคำถาม ไร้ความงุนงงความสงสัย เราข้ามคืนข้ามวันเพียงทันใด หัวเราะร้องไห้-เป็นไปเอง ข้าพเจ้าดื่มอย่างหนักหน่วง เพื่อเติมความกลวงให้เต็มเป่ง ข้าพเจ้าเฆี่ยนสัตว์ร้ายในตนเอง ได้โนเสาร์ก้างเก้งก็เปล่งคราง ๕). เคว้งคว้างและเศร้าอย่างบัดซบ เมาพลบแล้วสะดุ้งตื่นรุ่งสาง ท่านคำรามลำคอตลอดทาง พยักหน้าอ้างว้างอยู่รางเลือน ท่านทักข้าพเจ้าอย่างเศร้าสร้อย เผยรอยยิ้มชืดอันจืดเจื่อน เราขีดฆ่าวันที่เป็นปีเดือน โดยเลื่อนร่างซากเดินลากมา กี่ครั้งแล้วที่ทักข้าพเจ้า? ขณะข้าพเจ้าเมา-ท่านบ่นบ้า กี่ครั้งแล้วที่พบเราสบตา ไดโนเสาร์ชราทั้งสองตัว เราคือสัตว์ไร้สีไม่มีชื่อ ซึมกระทือโทรมทรุดกันสุดขั้ว ข้าพเจ้าผ่านค่ำด้วยความกลัว สะอื้นรัวร่ำไห้อยู่ดายเดียว ที่สุด-ทั้งท่านแหละทั้งข้าพเจ้า แค่สัตว์เชื่องเงื่องเหงาผู้เปล่าเปลี่ยว เราจ้องหน้าเบี้ยวบิดดวงซีดเซียว นั่นเขี้ยวสัตว์ดุเราผุแล้ว! ...................... .................... รอการสิ้นชีวิตอันซีดเซียว กาลเวลาย่อยเคี้ยวเราเดี๋ยวใจ!
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
๑). ในความอึกทึก - มีความเงียบ อันราบเรียบเงียบเหงาและเบาแผ่ว นุ่มนวลอ่อนโยนราวขนแมว ล่องแล้วลอยอยู่มิรู้ลง ในความฝันสีดำ - มีความขาว เป็นจุดดาวพราวพุ่งอยู่สูงส่ง เพื่อทอความงามงดเป็นกลดทรง ทอดวงแสงวาดอยู่ดาดฟ้า แหละในความเติบใหญ่ - มีวัยเยาว์ ผุดเงาร้อยเรียงความเดียงสา ในดวงใจหนักหน่วง - มีดวงตา เพรียกหาหัวใจแห่งวัยเยาว์ ๒). คล้ายคล้ายกลิ่นทะเลได้เพพัด แหละคลื่นซัดสะท้อนวันก่อนเก่า ลำสนสูงยอดนั้นทอดเงา ลมเป่าหาดทรายฟุ้งฟายมา คล้ายคล้ายดอกไม้ขาวกลีบเบาบาง อวดร่างรูปทรงอยู่ตรงหน้า ในฤดูเมฆขาวเริ่มเทาทา รอเวลาแตกเกล็ดเป็นเม็ดน้ำ แห่งสิงหาคม------ สายลมหมาดชื้นเริ่มชื่นฉ่ำ เธอมาคืนที่ฝันสีดำ ฝันซึ่งซากซ้ำประจำมา ในความเจ็บปวดความรวดร้าว ความหนาวเหน็บหนักนั้นนักหนา มือเบาเย็นชื่นเธอยื่นมา ดวงตารอยยิ้มเธอเยี่ยมเยือน เสียงสนวู่ไหวในสายลม สิงหาคม---ดวงตาที่ฝ้าเฝื่อน จับจ้องใบหน้าเธอไว้เพ้อเตือน ก่อนการเคลื่อนสติสู่ภวังค์!! ๓). ไกลโพ้น------ ปุยอันอ่อนโยนอยู่โพ้นฝั่ง ระเบียงที่ดาวละดวงยัง ระยับปลั่งเปล่งสุกอยู่ทุกดวง ห้วงแห่งการหลับใหลตามลำพัง ฉันเพรียกขานความหลังอันลับล่วง เพ่งอยู่ในความกว้างที่ว้างกลวง ทั้งปวง---ที่ไร้ที่ไม่มี ในความเงียบอันมิรู้ตัว กับความกลัวการหลับอยู่กับที่ ช่วงแห่งนาฬิกาต่อนาที ลมหายใจที่ช่างแผ่วเบา ห้วงแห่งการหลับใหลอันยาวนาน คืบคลานดิ่งดำสู่ความเศร้า สูญเสียการหวังคาดและวาดเดา แห่งเค้าดวงหน้าเมตตานั้น ไกลโพ้น------ ดั่งลอยโกลนเรือร้างอยู่กลางฝัน เบื้องเหนือดาวดื่นนับหมื่นพัน พรางแสงเงียบงันอยู่ระยับ แล้วดอกไม้ก็ร่วงจากดวงดาว กลีบขาวแสนงามในยามหลับ แอมโมเนียฉุนจัดสัมผัสรับ และดวงตาดำขลับจ้องจับมา ๔). ฉันมองโลกด้วยตาเพียงข้างเดียว โน้มเหนี่ยวจักรวาลด้วยควานหา อธิบายสิ่งสรรพเพียงหลับตา เยียวยาความบอดใบ้มอดตน จึงรู้---ในความงามมีความเศร้า ครึ่งค่อนวัยเยาว์ช่างเหงาหม่น ผิวทะเลที่แดดได้แผดปน เสียงลมหวิววู่สนลู่ใบ ปิดตาข้างหนึ่ง---ข้างหนึ่งเปิด ดูเถิด - เส้นระที่จะไต่ แนวราบระนาบตลอดที่ทอดไกล แบ่งน้ำกับฟ้าไว้อย่างชัดเจน โอวัยเยาว์------ การเติบโตแสนเศร้า---และล้อเล่น กาลเวลาอัดหนีบซ้ำบีบเค้น หลอมเป็นชีวิตเบี้ยวบิดทรง ในความฝันสีขาว---มีเงาดำ ซ่อนงำรอกาลจะสานส่ง ค่อยเล็มแสงรอบประกอบองค์ เพื่อถล่มล่มลง ณ ตรงนั้น ตรงที่ดอกไม้ขาวกลีบเบาบาง อยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน ในความมืดที่เงียบอย่างเฉียบพลัน และการตื่นที่อันตรธานวัย ๕). ไกลโพ้น------ ปุยอันอ่อนโยนอยู่โพ้นไหน? สิงหาคม---คลื่นเดิ่งสนเริงใบ อึกทึกอยู่ในความวังเวง เอื้อมคว้าดาวสักดวงจักร่วงมา ดวงตาแม้ข้าง---ก็ยังเปล่ง มิติราบโล่งอันโคลงเคลง ยังเขย่งเหยียดเงื้อมยังเอื้อมคว้า ฉันมองโลกด้วยตาเพียงข้างเดียว วิ่นแหว่งบิดเบี้ยวมาเชี่ยวกล้า จึงดวงใจบอบช้ำ---มีน้ำตา สูญเสียเค้าหน้าเมตตาใด ในความเงียบมีความอึกทึก เสียงหัวใจเต้นตึก---รู้สึกได้ ฉันหลับตาอีกดวงดิ่งทรวงใน เลื่อนไหลสู่การหลับ---มิรับรู้ ในความฝันสีขาว---มีเงาดำ ล่มซ้ำซากพื้นที่ยืนอยู่ ระเบียงดาวดาดที่หยาดอณู จึงปูแสงลาด ณ หาดทราย แหละในความเติบใหญ่---มีวัยเยาว์ เติบโตมาโง่เขลาและสูญหาย เบื้องหน้าเธอยืนอยู่---คือผู้ชาย ผู้ทำลายเด็กน้อยลงย่อยยับ!! ๖). แห่งสิงหาคม------ กระแสลมพัดหวนเพื่อทวนกลับ ถ่างความฝันความจริงเพียงนิ่งนับ กี่คราหลับ? กี่วามหยาดน้ำเกลือ? เธอผู้มีรอยยิ้มในดวงตา ผ่านมาเพื่อคุณการอุ่นเอื้อ มิรับรู้หน่วยตาที่พร่าเครือ ของชายผู้เลือดเนื้อ---มิเหลือใด!! รพ.รามาธิบดี สิงหาคม ๒๕๔๔
หมี่เป็ด ผู้ชายนัยน์ตาสนิมเหล็ก
เจ้าชายแสงจันทร์ ๑). เธอเอย- ฟ้ามืดนั้นจักเผยแสงจันทร์จ้า สูงสุดสูงสุดเงื้อมสุดเอื้อมคว้า นวลดวงนวลตานวลใย นานมาแล้ว - กาลครั้งหนึ่ง ม้ามีปีกเผ่นผึงไปถึงไหน ตะกุยฟ้าเมฆแตกวิ่งแหวกไป จากใจกลางจันทร์ - จากแสงจันทร์ เป็นเส้นแสงแทงตรงมาลงโลก เบื้องหน้าดวงตาโศกคนช่างฝัน พอฝุ่นเงียบระลอกจากหมอกควัน หลังม้านั้น - มีเงาของเจ้าชาย ๒). เธอกอดตุ๊กตาริมหน้าต่าง ทอดตาฟ้ากว้างคืนข้างหงาย หอมแก้วกลีบขาวพราวพราย กรุ่นโผยโชยสายถึงชายคา ที่ทางช้างเผือกโน้น - มีดวงดาว ล้านล้านวาววับวิบอยู่พริบพร่า ฉันผู้มาจากอีกฟากฟ้า เก็บแก้วกลิ่นกล้ามาแนบทรวง หอมเอยหอมชื่นในดื่นดึก สบตาเธอรู้ลึกความแหนหวง ดาดฟ้าดาดดาวระดะดวง ดูสิดาวสียวงจะร่วงมา เป็นหัวแหวนงามวับประดับก้อย น้ำงามพร่างพร้อยไร้รอยฝ้า เป็นปิ่นผมมวยหมาดจากหยาดฟ้า เป็นเงาตาแวมวามอยู่งามดวง ฉันเก็บแก้วดาดดินทัดปิ่นเธอ พึมพำพร่ำเพ้อรักและห่วง สบตาเธอเห็นเงาของดาวยวง ที่ฉันล่วงล้ำเข้าในเงาตา ๓). อยากกอดเธอเนิ่นนานอยู่อย่างนี้ กาแลกซี่อื่นไหนไม่ปรารถนา ฟังเพลงแสงจันทร์พรรณนา กระชับเธอเข้ามาแนบหาตัว เด็กสาวช่างฝันดวงตาเศร้า โลกนี้สีเทาและทึมทั่ว ดวงหน้าเธอหม่นคล้ำด้วยความกลัว มองรั้วลานแก้ว - มองแววตา แววตาแห่งแสงจันทร์ของเจ้าชาย ชัดฉายความรักจากดวงหน้า ยิ่งเห็นยิ่งชัดยิ่งศรัทธา ยิ่งหวั่นเช้าจะมาเร็วกว่าเป็น คือความหอมหวาน - ความฝันเอย นานแล้วไม่เคยจะได้เห็น ฉันเก็บแก้วดมดอมกลีบหอมเย็น ร้อยเป็นมงกุฎแก้วอยู่แผ่วเบา สรวมเศียรเธอ - เจ้าหญิงริมหน้าต่าง กระชับร่างบางแบบเธอแนบเข้า จูบแรกใต้แสงจันทร์เธอสั่นเทา จนเช้าพรายพร่างเป็นกลางวัน เธอกอดตุ๊กตาริมหน้าต่าง ฟ้ารางชางสางคลี่สาดสีสัน ม้าโบกปีกพึบพับขึ้นฉับพลัน ลานแก้วนั้นเปล่าว่างไร้ร่างใคร ๔). ที่ทางช้างเผือกโน้น - มีดวงดาว เด็กสาวแก้มป่องอย่าร้องไห้ ม้ามีปีกควบห้อคืนต่อไป จะร้อยดาวกำไลมาให้เธอ... ๒๗ กันย์ ๒๕๔๘ // ทำไมผมตอบกระทู้ของคนอื่นไม่ได้ล่ะครับ? มันจะเหมือนมีหน้าต่างขึ้น แล้วก็หายวับไปเลยครับ