8 มกราคม 2546 12:55 น.
หมายเลขสิบสาม
ตกลงได้เล่นละคอนเวทีรึเปล่าเนี๊ยะ.....
อืม.....ไม่รู้จะพูดยังไงนะ ไม่มีอะไรจะพูด
แต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอ
ถ้าวันไหนที่เธอคิดว่า สิ่งที่ทำให้พี่มาทั้งหมด เธอรู้สึกเหนื่อย
รู้สึกท้อ พี่อยากให้บอกตรงๆ
เพราะพี่รู้สึกว่าเมื่อเริ่มที่จะบอกตรงๆ เมื่อจะไป ก็ขอให้บอกตรงๆ
ไม่อยากเห็นน้องคนนี้ทำหน้าตาอมทุกข์หรอกนะ
ถ้าหากสิ่งไหนที่ทำให้ไม่สบายใจ แสดงว่าเราไม่เต็มใจ
พี่ก็อยากให้เลิกทำสิ่งนั้น
อยากให้เธอทำแต่สิ่งที่มีความสุข ทำแล้วเธอสามารถยิ้มได้
อย่าไปคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น
ตอนนี้ เวลานี้ คิดถึงแค่ตัวเองก็พอ
และที่สำคัญ รักตัวเองให้มากๆละ
อย่าคิดทำร้ายตัวเอง พี่จะรู้สึกเสียใจมากนะ ถ้าคนที่พี่รู้จัก
สนิทสนม คุ้นเคย มาทำร้ายตัวเอง
เพราะพี่เคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เค้าชอบทำร้ายตัวเองมาก
พี่จะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เห็นแผลตามร่างกายของเค้า
พี่อาจจะไม่เคยบอกเค้า แต่ให้เชื่อได้เลยว่าพี่รู้สึก
แลดูน้ำเน่านะ แต่มันควรจะเป็นอย่างนั้นแหละ
พอใจที่จะทำสิ่งไหน ก็จงทำแต่สิ่งนั้นแหละ
กาลเวลาจะช่วยคลี่คลายทุกสิ่งให้เป็นไปในทางที่มันควรจะเป็นเอง
พี่สาว
- - - - - - - - - - - - -
อ่า ม่ายรู้ว่าจะได้เล่นอยู่รึเปล่านะ
พี่เค้านัดประชุมอีกทีวันที่ 13 น่ะ
สาธุ ขอให้ได้เล่นทีเท้อะ
ใครบอกว่าเมื่อเริ่มน่ะบอกตรงๆ
อ้อมแอ้มอยู่ตั้งนาน ถ้าเจ๊ไม่บอกว่ารู้แล้วผมก็ไม่บอกเจ๊หรอก
เอ๊ะ หรือยังไง เออ ช่างเหอะ
ผมไม่ได้เหนื่อยหรอกนะ ไม่ได้ท้อด้วย
สิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดมันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน
ไม่ได้อยากให้มันดีกว่าที่ทำไปแล้วหรอก
ในเมื่อทำไปแล้ว ตั้งใจทำไปแล้ว มันเรียกคืนไม่ได้
ถึงจะเรียกคืนได้ ก็จะไม่เรียก
ถ้าเจ๊จะบอกว่าสิ่งที่ผมทำมานั่นน่ะ มันทำให้เจ๊มีความสุขรึเปล่า
มันทำให้เจ๊สนุกรึเปล่า รู้สึกดีๆ บ้างรึเปล่า
หรือว่ารังแต่จะทำให้เจ๊รำคาญ แล้วอยากให้เลิกทำซะ
นี่คือคำถาม ช่วยตอบด้วย
ไอ้ผมมันไม่ไปไหนหรอกเจ๊ มันก็อยู่ของมันหยั่งงี้แหละ
ก็เสือกเอาหัวใจไปผูกกับตีนชาวบ้านชาวช่องเค้าแล้วนี่
เวลาที่เค้าเดินไปไหน มันก็เจ็บหัวใจเสมอแหละ
แต่จะทำไงได้ เสือกชอบเจ็บอีก แน๊ ช่างหัวมันเหอะ
สิ่งที่จะปวดใจแล้วทำให้หน้าตาต้องอมทุกข์อย่างที่เห็น
ก็เป็นเพราะอะไรที่ทำใจมานานแล้ว แต่พอได้ย้ำเตือนอีกทีก็ยังเจ็บ
อะไรที่เราอยากได้ตอบแทนความรัก ก็คือความรัก
ถ้ารักที่ให้ไปเป็นแบบพี่แบบน้อง ผมก็คงสมหวังไปนานแล้ว
เป็นพี่น้องกัน รักกันเปรมไปเลย แต่นี่มันไม่ใช่
แต่ก็ช่างมันเหอะ เมื่อรู้จักรัก ก็ต้องซี้กับความเจ็บปวดด้วย
ของอย่างนึง ถ้าต้องเสียมันไปแล้วได้อีกย่างกลับมา
ก็ต้องคิดว่า มันคุ้มรึเปล่า สองอย่างนี้มีค่าพอที่จะเอาไปแลกกันมั๊ย
สำหรับผม มันมีค่า มากพอ ที่จะเสียใจ และมีความสุข
เข้าใจป่าวเนี่ย หวังว่าคงเข้าใจนะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
เอาเป็นว่าลองอ่านหลายๆ รอบดู คงเข้าใจเองแหละ
ทุกวันนี้ก็ยังยิ้ม ยิ้มได้ ยิ้มจริงๆ เลยด้วย ไม่มีใครมาจ้างให้ยิ้มนะ
จะว่าอะไรมั๊ยล่ะถ้าจะนึกถึงเจ๊แล้วยิ้มน่ะ ถ้าจะนึกถึงสิ่งดีๆ แล้วยิ้ม
บางครั้งบางคราวเจ๊อาจจะมองว่ามันเป็นยิ้มเศร้าๆ ทำไมไม่ลองกลับคำดูล่ะ
จากยิ้มเศร้าๆ เป็นเศร้าแต่ก็ยังยิ้ม เป็นไง นี่แหละยิ้มของผม
เจ๊ก็รู้จักผมดีนี่ ผมไม่ทำอะไรที่มันฝืนใจหรอก ทำไปทำไม
ผมจะทำทุกอย่างไปทำไม ถ้าใจมันไม่อยากทำ
เรื่องของผลที่จะได้ มันก็เหมือนกับการเสี่ยงโชค
จะสุข จะเศร้า จะสมหวัง ก็ทำด้วยใจ ก็รับด้วยใจ ก็เท่านี้
ไม่ได้นึกถึงอะไรหรือนึกถึงใครมากกว่ากันหรอก
มันเป็นการแลกเปลี่ยน (เอ้า วกมาคำเดิมอีกและ)
ถ้ามันคุ้ม หรือใจมันพร้อม ใจมันอยาก มันห้ามไม่ไหว
ก็พนันมันลงไป แล้วรอ รอผลที่ออกมา ถ้าดีก็ดีไป
ถ้าไม่ดี ก็ดีแล้วที่มันไม่ดี พร้อมที่จะเสี่ยง จะเสียดายอะไรอีก
ใช่มั๊ย
เรื่องทำร้ายตัวเอง แลกกับความเจ็บปวดแล้ว เอาเลือดชั่วออกไปบ้าง
พอกลับมานึกถึงอีกที จะรู้ว่าตอนนั้นตัวเองโง่แค่ไหน แล้วควรทำยังไงต่อไป
วันไหนอยากจะทำอีก จะได้รู้ว่ากลับไปโง่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ไม่ได้อยากจะทำอีก แต่สัญญาไม่ได้
อยากจะพูดกันต่อหน้ามากกว่า อยากจะพูด หลายทีแล้ว
แต่ก็อย่างที่เห็น เป็นได้แค่นั้นแหละ พูดอย่างใจนึกไม่ได้
แล้วก็พล่ามอะไรออกไปอย่างที่ใจไม่ได้นึก แน๊ะ
คำต่างๆ ดูเหมือนจะพรั่งพรูออกมาเมื่อไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง
พอได้เจอหน้าเหรอ ก็ดั๊นเปลี่ยนสถานะไป กลายเป็นลมหายใจ
ให้ไอ้กระผมต้องคอยถอนออกเรื่อยๆ เฮ้อ จนเจ๊ทักว่าถอนหายใจบ่อยไป
ถ้าจะว่าน้ำเน่าล่ะ คงพอกัน เอาน่า คนเรามันก็ต้องมีบ้าง
แต่ตอนนี้ ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำอะไรดี ไม่รู้จะทำยังไงดี
อาจจะขอเวลาคิดกับตัวเองซักนิด
แล้วจะโผล่หน้ายียวนกวนประสาทมาหลอกมาหลอนอีกละกัน
รายชื่อน้องๆ เฟรชชี่ปีหน้ามาแล้วล่ะ
รวมๆ แล้วตอนนี้ก็มีซัก 60 คนได้มั๊ง
ชักตื่นเต้นแล้วสิ
น้องเจ๊น่ะแหละ
11 พฤศจิกายน 2545 13:53 น.
หมายเลขสิบสาม
แดดลำสุดท้ายสาดแสงลงมากลางผืนน้ำอย่างแผ่วเบา...
ใบไม้ใบหญ้าโบกมือลาดวงตะวันของวันนี้...
...
แม้ฟ้าจะยังเป็นสีฟ้าใส...
แต่ดวงจันทร์ครึ่งดวงก็ลอยเด่นให้เห็นอยู่กลางฟ้า...
ก้อนเมฆขลิบทองและสายลมพริ้วผ่าน ช่างละมุนละไม...
ผืนดินทอดกายราบเรียบ สงบนิ่ง
และทักทายกับระลอกคลื่นอย่างอ่อนหวาน...
ปลาเล็กปลาใหญ่ว่ายเวียนวน ผลุบโผล่อยู่กลางจักรวาลสีคราม...
ผู้คนเดินผ่านไปมา พูดคุย หัวเราะ คุ้นเคยกัน...
แต่กับฉันที่ไม่รู้จักใคร...
ก็พูดคุยอย่างคุ้นเคย กับดวงจันทร์และท้องฟ้า...
ก็หัวเราะกับผืนดิน กับแผ่นน้ำ และฝูงปลา...
ก็หยอกล้อกับใบไม้ สายลม และก้อนเมฆ...
...
ฉันส่งยิ้มอำลากับแสงตะวัน...
ลาจากกันในวันนี้ เพื่อพบกันในวันต่อไป...
...
สัมผัสอ่อนๆ ของลมหนาว ช่างอบอุ่นดีเหลือเกิน...
สรรพเสียงจากธรรมชาติ กล่าวคำทักทายอย่างเป็นสุข...
ช่างอบอุ่นดีเหลือเกิน...
...
...
...
4 พฤศจิกายน 2545 11:42 น.
หมายเลขสิบสาม
เคยไหม... ตอนเด็กๆ... พูดกับใครซักคนว่าเรารักเขาแค่ไหน...
แล้วแข่งกันว่า... ก้อนรักของใครจะใหญ่กว่ากัน...
รักเท่าหนึ่งฝ่ามือ... ไม่หรอก... มากกว่านั้น... สองฝ่ามือต่างหาก...
ไม่หรอก... รักเท่าช่วงตัวเลย... เท่าสองช่วงตัว...
ยืดแขนออกไป... รักจนสุดแขนเลย... แล้วผายมือไปที่ท้องฟ้า...
รักเท่าฟ้า... รักเท่าจักรวาล... รักมากกว่าอะไรทั้งหมดเลย...
...
ก้อนรักของผมไม่ใหญ่ขนาดนั้นหรอกครับ... มันเล็กนิดเดียว...
ลองเอามือสองข้างมาวางไว้ที่อก... ทำท่าเหมือนประคองลูกตะกร้อซักลูก...
จับมันพลิกไปพลิกมา... หมุนไปหมุนมา...
ก้อนรักของผมก็เล็กเท่านี้แหละครับ...
ก้อนเล็กๆ... ดูแลง่ายๆ... มองได้ทั่วถึง...
ผมกลัวว่าถ้าก้อนรักของผมมันใหญ่เกินไป... ผมจะเห็นมันได้ไม่ทั่ว...
ผมคงจะไม่รู้ว่ามันยังปลอดภัยดีหรือเปล่า... หรือมีรอยหม่นตรงไหน...
หรือจะร้าว... จะผุ... จะแตก...
หรือมีใครมาขโมยส่วนก้อนรักของผมไป... โดยที่ผมมองไม่เห็น...
ก้อนเล็กๆ... พกพาง่าย... ไปไหนก็ไปด้วยกัน...
บางครั้งเลือกวางไว้ข้างหน้า... และพูดคุย...
บางครั้งเลือกวางไว้ข้างๆ... เพื่อเคียงคู่...
บางครั้งเลือกวางไว้ข้างหลัง... เมื่อผิดใจ... หรือเพื่อปกป้อง... คุ้มครอง...
หรือเพื่อแอบอิงกันและกัน... หรือเพื่อปันความรู้สึก... ระหว่างหน้ากับหลัง...
บางครั้งเลือกที่จะอุ้มไว้แนบกาย... เพื่อใกล้ชิด... และอบอุ่น...
ก้อนเล็กๆ... มาอยู่ในอ้อมกอดตระกองของสองมือ...
ให้ความอุ่นของมือค่อยๆ แผ่ไป... ไปจนทั่ว... จนหมดทั้งก้อน...
ก้อนรักจะได้ไม่หนาว... ไม่เหงา... และกรุ่นไอรัก...
...
หากคนดีจะรักผม... ผมขอก้อนรักเพียงเท่านี้... ก้อนรักก้อนเท่ากัน...
ก้อนเล็กๆ... ในอ้อมตระกองของสองมือ...
ให้ความอบอุ่นจากมือคุณ... แผ่มายังก้อนรักเล็กๆ ได้อย่างทั่วถึง...
และเราจะแลกเปลี่ยนก้อนรักกัน...
เพื่อให้เราทั้งสอง... ต่างฝ่ายต่างให้ความอบอุ่น...
แก่ก้อนรักของกันและกัน...
16 กรกฎาคม 2545 11:16 น.
หมายเลขสิบสาม
"หมาใครน่ะแม่" ผมถามเมื่อเห็นหมาไม่คุ้นหน้าอยู่ในบ้าน
"ของน้าเราน่ะแหละ บ้านโน้นเขาไม่ว่างเลี้ยง เลยเอามาให้เรา"...
...ไอ้ซ่าเป็นหมาตัวเมียพันธุ์มินิเอเจอร์ ขนสีน้ำตาลไหม้นัยน์ตาดูเหมือนจะกลืนเป็นสีเดียวกันหมดและมีน้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลา แม่บอกว่าคนบ้านโน้นเขาอาบน้ำให้มันแล้วไม่ระวัง แชมพูเลยไหลเข้าตาทำให้ตามันไม่ค่อยดี ซ่ามีนิสัยลุกลี้ลุกลนอยู่ตลอดเวลาตามประสาหมามินิเอเจอร์ทั่วไป ช่วงแรกๆที่ซ่ามาอยู่บ้านเรามันผอมมาก แต่พออยู่ไปได้สักช่วงหนึ่งมันก็เริ่มอ้วนขึ้น และดูท่าจะอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันก็ทำให้แม่ผมภูมิใจมากในฐานะคนเลี้ยงและให้ข้าวให้น้ำ
ซ่าสนิทสนมกับพี่สาวผมมาก มันจะวิ่งตามพี่ไปทุกที่ เวลาพี่ดูโทรทัศน์มันก็จะนอนอยู่ข้างๆ เวลาพี่เข้านอน พี่ก็จะเอามันเข้านอนด้วย หากวันไหนที่พี่ไม่เอามันไปนอนด้วยก็แสดงว่าพี่ตั้งใจจะตื่นสายกว่าปกติ แต่แม่ก็มักจะจับทางได้ทันเสมอ แม่จึงเอาซ่าไปปล่อยในห้องนอนพี่ตั้งแต่เช้า ซ่าจะกระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วเดินเหยียบ ลงไปบนตัวพี่ เอาเท้าเขี่ยจมูกพี่บ้าง เลียหน้าพี่บ้าง ผมซึ่งนอนอยู่ห้องข้างๆ กันกับพี่ก็จะพลอยโดนไปด้วยทำให้เราสองคนต้องตื่นแต่เช้าทุกวันด้วยฝีมือ ฝีเท้า และฝีลิ้นของซ่า
ซ่ามาอยู่กับเราได้หลายเดือนแล้วตอนที่พ่อเอาหมามินิเอเจอร์มาอีกตัว เราเรียกมันว่าไอ้หลง หลงตัวโตกว่าซ่าและมีดีกรีความซ่ามากกว่าซ่าเสียอีก ทำให้บ้านเราสนุกและวุ่นวายขึ้นกว่าเดิมเยอะ หลังจากนั้นไม่นาน ซ่าก็ตั้งท้อง ตอนแรกๆ เราก็ดูไม่ออกว่ามันท้องหรือว่าอ้วนขึ้นกันแน่ แต่พอนานเข้าก็แน่ใจว่ามันท้องแน่ๆ ซ่ากลายเป็นหมาขี้อ้อน ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆคนในบ้าน มานอนอยู่ข้างๆ และลดดีกรีความซ่าลง ส่วนไอ้หลงดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใยซ่ามากขึ้นพวกเราทุกคนก็อยากจะเห็นลูกหมาตัวน้อยๆออกมาลืมตาดูโลกไวๆ พอใกล้วันที่ซ่าจะคลอด เราก็เอาซ่าไปฝากครรภ์ไว้ที่คลินิกประจำ คนที่นั่นรักหมาและดูแลหมาได้ดีกันทุกคน เราจึงมั่นใจว่าลูกๆและซ่าจะปลอดภัย
เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมอ่านหนังสืออยู่ในห้อง แม่ก็วิ่งเข้ามาบอกว่าซ่ากำลังจะคลอด เราจึงรีบเอารถออกเพื่อพาซ่าไปที่คลินิก ทุกคนดูตื่นเต้น ซึ่งนั่นก็รวมถึงผมด้วย เมื่อไปถึงคลินิก คุณหมอก็รีบพาซ่าเข้าห้องทำคลอดโดยให้พวกเรารออยู่ด้านนอก ผมนั่งรอและคิดถึงลูกหมาตัวน้อยๆ อยากรู้ว่ามันจะมีกันกี่ตัว สีจะเหมือนซ่าหรือว่า เหมือนหลง ลูกหมาพันธุ์นี้จะตัวโตแค่ไหนกันนะ
สักครู่หนึ่งคุณหมอก็ออกมาจากห้องและบอกว่าลูกของซ่าตัวหนึ่งนอนขวางลำตัวซ่าอยู่ทำให้ออกมาไม่ได้ จึงจะขอผ่าท้องเพื่อเอาลูกออกมา แม่รีบตกลงตามที่หมอพูด แล้วก็ส่งพี่สาวผมให้ตามหมอเข้าไปในห้อง
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือความกลัวและความเป็นห่วง ห่วงว่าซ่าจะเป็นอะไรมากไหม จะปลอดภัยหรือเปล่า ผมบอกตัวเองว่าซ่าและลูกๆต้องปลอดภัย ทั้งๆที่มือสั่นและใจคอไม่ค่อยดี ...ซ่าเป็นหมาที่อ่อนแอ... นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะนึกถึง
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตอนที่คุณหมอและพี่สาวผมออกมาจากห้องทำคลอด ผมกำลังจะเข้าไปถามพี่ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม ซ่าปลอดภัยหรือเปล่า แต่ก็เหลือบไปเห็นห่อผ้าที่พี่อุ้มออกมา และเห็นว่าพี่กำลังร้องไห้ ครู่หนึ่งที่ผมรู้สึกว่าทุกอย่างเงียบงัน แม่เดินหลบออกไป คุณหมอหันมาพูดกับผมและพ่อว่าลูกๆของซ่าปลอดภัยดี ตอนนี้ผู้ช่วยกำลังทำความสะอาดอยู่ แต่ตัวซ่าเองทนพิษบาดแผลไม่ไหว เขากล่าวแสดงความเสียใจกับเราด้วยน้ำเสียงที่สั่นน้อยๆ แล้วเดินออกไป...
...ระหว่างทางกลับบ้านไม่มีใครพูดอะไร ที่นัยน์ตามีรอยชื้นน้ำตาปรากฎอยู่ ผมกับพี่นั่งที่เบาะหลัง ในวงแขนพี่มีห่อผ้าที่เปิดให้เห็นร่างไร้ชีวิตของซ่าอยู่ ตาของมันปิดสนิท ไม่มีน้ำตาไหลออกมาให้เราคอยเช็ดเหมือนเดิมอีกแล้ว..
พี่สาวผมพูดออกมาเบาๆ...
"ตอนที่หมอบอกว่ามันคงไม่รอด มันมองหน้าพี่.. เท้าหน้ามันขยับมาหา ..มันจ้องหน้าพี่อยู่ตลอด พี่ลูบหัวมันแล้วบอกว่าเราจะดูแลลูกมันเอง ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น มันกะพริบตา.. ช้าๆ.. แล้วก็หลับตา..." แล้วเสียงพี่ก็ขาดไป
หลับเถอะนะซ่า ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอกนะ
หลับให้สบายเถอะ... น้องรัก...