15 กรกฎาคม 2547 12:17 น.
หมากเขียบ
วังวนแห่งความมืด ประตูสู่แสงสว่าง....
ฉันเชื่อนะว่าเธอก็เป็นคนหนึ่งที่เกิดมาบนโลกใบนี้ เธอเองก็คงไม่ต่างไปจากคนทั่วๆไป ที่ต้องการจะเจอแต่ความสุข และไม่ต้องการให้มีปัญหาหรือเรื่องราวใดๆให้มากระทบกระเทือนจิตใจของเธอ และมันต้องบั่นทอนลงไป แต่ในความเป็นจริงมันก็เป็นเพียงแค่ความคิดและจินตนาการของเธอแต่เพียงผู้เดียว
ฉันอยากจะบอกกับเธอว่า สรรพสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันเกิดมาเป็นคู่ เธอก็คือคนหนึ่งที่ต้องการไขว่คว้าหาความสุขให้กับตนเอง แต่เธอรู้ไหมว่าในเวลาเดียวกันนั้นเธอก็จะต้องเผชิญกับสิ่งที่มันมาควบคู่กับความสุข นั้นก็คือความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันที่เธอกำลังมีความสุข และความสุขของเธอนั้นมันเริ่มเจือจางลงไป นั้นก็เป็นสัญญาณบอกว่าเธอกำลังจะเข้าสู่ห่วงของความทุกข์ ซึ่งมันคงจะเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากจะเจอะเจอหรือได้สัมผัสกับมันเลย เธอเองก็คงรู้ดีว่า ความทุกข์ถ้ามันไปตกอยู่กับใครไม่ว่าจะเป็นฉันหรือเป็นเธอ มันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ มันอาจจะทำให้เธอค้นหาทางออกไม่พบ หรือมันต้องจบลงอย่างไม่สวยงาม
เนื่องจากวันหนึ่งเธอกำลังเดินเล่นอยู่ในแสงสว่างที่สดใส และเกิดพลัดหลงเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่เธอไม่อยากแม้แต่จะเดินผ่านหรือย่างกรายเข้าไปในนั้น แม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ว่าในนั้นมันมีอะไร แต่เธอก็ไม่รู้สึกที่จะอยากสัมผัสกับมัน เพราะถ้าเธอเลือกได้หรือรู้ล่วงหน้าว่าในนั้นมันมีอะไร ฉันมั่นใจว่าเธอคงจะไม่เลือกเดินเข้าไปในนั้นแต่ในเมื่อเธอเข้าไปแล้ว เธอเองก็จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่ในห้องแคบๆ ที่มีแต่ความมืดสนิท เธอจะไม่สามารถค้นหาประตูทางออก มาสู่แสงสว่างได้ดังเดิมในห้วงเวลานั้น แต่สิ่งที่เธอจะได้รับฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จะสามารถทำให้เธอรับรู้ได้ว่าการที่เธอเดินอยู่ในวังวนแห่งความมืดเพียงลำพังมันเป็นอย่างไร
เมื่อใดที่เธอได้ยินเสียงตะโกนกู่ร้องของฉันที่พยายามตะโกนร้องเรียกเธออยู่ตลอดเวลา เพื่อปรารถนาจะช่วยให้เธอหลุดพ้นออกจากห้องแคบๆและความมืดมิดนั้น เธอก็คงต้องตั้งสติให้ดีและคิดว่าเสียงที่กำลังกู่ร้องอยู่นั้นมันมาจากทางใด แล้วเธอก็เดินตามเสียงนั้นจนกว่าเธอจะพบมัน ทันใดนั้นเองเธอก็จะพบเจอกับประตูทางออกสู่แสงสว่าง ฉันเองที่จะเป็นคนๆหนึ่งที่ยืนรออ้าแขนรอรับเธออยู่หน้าประตูทางออก ที่เธอไม่สามารถมองเห็นและเปิดออกได้ แต่ฉันก็คงทำได้เพียงแค่รอว่าวันใดเธอจะเดินมาตามเสียงร้องตะโกนดังๆของฉันที่เรียกหาเธอ เมื่อเธอก้าวออกมาจากห้องนั้นได้แล้ว ไม่ว่าเธอจะเหนื่อยล้ากับการวิ่งวนเพียงลำพังในห้องนั้นเพียงใด เธอรู้ไหมว่าสิ่งที่เธอเผชิญมามันเปรียบเสมือนภูมิต้านทานให้กับจิตใจของเธอ ซึ่งมันจะทำให้เธอเข้มแข็งและไม่กลัวที่จะเผชิญกับมันอีก แล้วเธอจะมีฉันเป็นคนแรกที่จะคอยปลอบและให้กำลังใจเธอ เมื่อเธอได้พบกับแสงสว่างที่เธอเคยสัมผัสมาอีกครั้ง ซึ่งฉันไม่รู้ว่าเธอจะเจอกับวังวนแบบนี้อีกกี่ครั้ง แต่นั้นไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เธอจะได้รับจากฉันก็คือเธอจะมีฉันคนนี้ ที่เป็นเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างเธอตราบนานเท่านาน........
เมืองหนาวไม้เก่า (saar_nopu@hotmail.com)
13 กรกฎาคม 2547 11:54 น.
หมากเขียบ
...รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง....
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง... อดข้าว ..อดน้ำ ..เพื่อเก็บเงิน..ไว้จ่ายค่าโทรศัพท์..ทั้งเดือน
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง...บอกเลิกนัดกับ ..เพื่อน แล้วไปเที่ยวกับ..แฟน
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง...ซื้อของแพงๆให้ เงิน..ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า..รักจริง
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง...ดูหนัง..ทุกเย็นวันศุกร์ นั่งสบตา..ที่แมคโดนัลด์..ทุกบ่ายวันเสาร์ โทรบอกว่า..คิดถึง ..ทุก 5 นาที..ตลอดเช้าวันอาทิตย์
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง... พยายาม..ลงทุนมากมาย
....แลกเทปกันฟัง .. ตั้งโปรแกรมดูหนัง..สักเดือนละเรื่อง..ก็ได้ พากันไปกิน..เพื่ออิ่ม ..ไม่ใช่กิน..เพื่อให้ดูรวย
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง... ถวายให้..ทั้งตัว อย่าไปกลัวว่า..ถ้าไม่ยอมเปลืองตัว ..แล้วรัก..จะหมดไปหมด เพราะ..ถ้าเขารักจริง ก็ควรให้เกียรติ ..ไม่ใช่จ้องจะ..เอาเปรียบ
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง...เอาดวงชะตา..ไปให้หมอดู จ่ายเป็นร้อย เพียงแค่อยากรู้ว่า..เป็นเนื้อคู่กันหรือเปล่า
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง...ตามติดแจ ผูกขาเขาไว้..กับขาเรา ผูกมือเขาไว้..กับมือเรา
ทำไมต้องทำเหมือน..ขาดเขาไปแล้ว..เราจะตาย จำไว้ว่า..คนทุกคน..มีหัวใจ..คนละดวง
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง...เป็นเงา..ตลอดเวลา
ไม่ต้องทุ่มเท..ทำเพื่อ ความฝัน ของเขา จนชีวิตตัวเอง..ว่างเปล่า หลงลืม..ความฝัน ..ของตัวเอง
รักกัน..ไม่จำเป็นต้อง...มีเวลาเท่าไหร่..ก็ให้ทั้งหมด จนไม่เหลือเวลา..สำหรับทำ สิ่งดีดี ..ให้ครอบครัว
ไม่เหลือเวลา..กลับบ้านเร็วๆ..ให้แม่ชื่นใจ หลับตา..ลืมตา..ก็เห็นแต่หน้า.. แฟน .
13 กรกฎาคม 2547 11:45 น.
หมากเขียบ
ถ้าคนๆหนึ่งเปรียบเหมือนสายฝน
เป็นหยดน้ำที่เย็นฉ่ำสดชื่น..แต่ชั่วประเดี๋ยวอาจหยุด
ชั่วประด๋าวตกมาโครมครืน
คนๆนี้มีถ้อยคำเป็นสายฝน
ที่จะหยดมาแต้มความเย็นชื้นให้หัวใจคุณ
ชั่วประเดี๋ยวก็หยุด ให้คุณค้นหา
ชั่วประด๋าวมาใหม่ ให้คุณอิ่มเอม
เล่นอยู่กับสายฝนที่จริงก้อสนุกดี
แต่อย่าลืมว่า เล่นกับมันมากไปก็จับไข้ได้เหมือนกัน
ถ้าคนๆหนึ่งเปรียบเหมือนอากาศ
เราหายใจกี่ครั้งต่อวันไม่มีใครนับ
และเราก็มักลืมเลือนไปว่าเรากำลังหายใจเอาอากาศเข้าไปอยู่
เพราะการมีอยู่ของอากาศ เรามองไม่เห็น
และมันก้อบางเบาจนคิดไม่ถึง
คิดไม่ถึงว่าที่จริง..อากาศแวดล้อมเราอยู่ใกล้ๆไม่ไกลเลย
คนๆนี้ไม่มีถ้อยคำเป็นเม็ดเป็นหน่วย
ให้คุณจับต้องได้และมองเห็น
แต่เขาจะหยิบยื่นในสิ่งที่คุณฝันได้เสมอ
และเติมเต็มในสิ่งที่คุณขาดหายไป แม้ว่าคุณจะไม่มีใครเลยก็ตาม
ถ้าเป็นคุณจะเลือกใคร???
ระหว่างคนที่บอกว่ารักคุณมาก..แต่เขาไม่ค่อยใส่ใจความเป็นอยู่คุณเลย
กับอีกคนที่ไม่เคยบอกแม้กระทั่งคิดถึง..แต่เขารู้หมดว่าคุณต้องการอะไร
13 กรกฎาคม 2547 11:26 น.
หมากเขียบ
อย่าตีสองหน้าว่ารักกัน
ถ้าความรู้สึกนั้นเธอต้องเสแสร้ง
ไม่อยากให้เธอลำบากใจถ้าต้องแสดง
ความรู้สึกที่ต้องแกล้งว่าผูกพัน
เธอคิดยังไงช่วยพูดออกมา
อย่ากลัวว่าจะทำร้ายความรู้สึกฉัน
หากความจริงใจไม่เหลือแล้วก็จบกัน
จะมีไปทำไมกันความผูกพันเฮงซวย
13 กรกฎาคม 2547 11:06 น.
หมากเขียบ
มีคุณนายคนหนึ่งเป็นคนใจบุญสุนทานทำบุญตักบาตรทุกๆเช้า พอแกตักบาตรเสร็จก็จะจัดแจงเตรียมสำรับกับข้าวอย่างบรรจงประณีต เพื่อนำเอาไปถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จผู้เป็นเจ้าอาวาส ด้วยความเคารพนับถือ ในจริยวัตรของท่านและชอบฟังท่านพูดคุยเล่าเรื่องต่างๆ เรียกได้ว่าพอตักบาตรเสร็จ คุณนายต้องมาวัดทุกวันและเมื่อถวายอาหารเสร็จก็สนทนาธรรมะกับพระสมเด็จ
วันหนึ่ง หลังจากคุณนายกลับแล้ว พระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของสมเด็จ ได้เข้าไปกราบเรียนว่าคุณนายคนนี้ใจบุญสุนทานจริง ๆ แต่เคยได้ยินว่า เป็นคนใจแคบ ขนาดเหลือแม่อยู่เพียงคนเดียวยังปล่อยให้อดๆอยากๆ ไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้แม่ต้องอยู่ห้องแคบๆในห้องหลังบ้าน ส่วนตัวเองและลูก ๆ อยู่ตึกใหญ่โต สะดวกสบาย เวลาพูดจากับแม่ก็ฟังไม่ได้ทั้งหยาบคายทั้งขู่ตะคอกกระแทกกระทั้นตลอดเวลา ผิดกับตอนมาคุยกับสมเด็จที่วัดชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ขนาดแม่จะออกมาเดินเล่นหน้าบ้านก็ยังไม่ได้ ไม่ยอมให้ออกมีแม่แก่หลงๆ ลืม ๆสติไม่สมประกอบก็เลยอายชาวบ้าน
มีคนเขาเล่าให้ฟังหลายรายแล้ว เท็จจริงเป็นอย่างไรผมไม่อาจทราบได้ครับ สมเด็จนั่งฟังเฉยไม่พูดว่าอะไร วันหนึ่งพระสมเด็จมีกิจนิมนต์ไปทำบุญบ้านแถวๆบ้านคุณนาย แต่พอขากลับเดินผ่านหน้าบ้านคุณนาย ท่านก็แวะบ้านคุณนายก่อน คุณนายดีใจมากที่สมเด็จมาเยี่ยมถึงบ้าถือเป็นมงคลอย่างสูงที่พระขั้นสมเด็จมาเยี่ยมบ้านจึงเรียกลูกหลานมากราบเท้าท่านเป็นการใหญ่ แล้วก็คุยกันเรื่องต่างๆ มากมาย
ในตอนหนึ่ง สมเด็จท่านถามคุณนายว่า พระในบ้านมีไหม?
คุณนายจึงตอบว่า มีเจ้าค่ะ พระในบ้านมีหลายองค์เป็นพระเก่า ๆ ทั้งนั้นสมัยสุโขทัยก็มีเชียงแสนก็มี อาราธนาท่านสมเด็จขึ้นไปดูข้างบน
สมเด็จท่านเฉยแล้วถามต่อว่า ทราบข่าวว่าคุณนายมีแม่อีกคนเดี๋ยวนี้อยู่เสียที่ไหน?
คุณนายสะอึก เสียวแปลบเข้าไปในหัวใจจะตอบตามตรงก็กลัวว่าสมเด็จจะเดินไปดูและเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่ แล้วท่านจะติเตียน คุณนายอึกๆ อักๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า..
ตอนนี้ท่านไม่อยู่เจ้าค่ะ ออกไปเยี่ยมญาติอีกนานจึงจะกลับ สมเด็จท่านนั่งนิ่งอยู่สักครู่ แล้วจึงลากลับ
คุณนายก็ยังคงไปวัดตามปกติ วันหนึ่งสมเด็จท่านเห็นว่า วันนี้คุณนายยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาร่าเริง อารมณ์ดีหลังการทำบุญทำทาน สมเด็จจึงถามว่า
พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยแล้วหรือยัง?
เรียบร้อยเจ้าค่ะ ดิฉันจุดธูปเทียน ถวายอาหารบูชาเสร็จแล้ว จึงมาที่วัด ท่านไม่ต้องเป็นห่วง คุณนายตอบ
สมเด็จจึงกล่าวว่า อาตมาไม่ได้หมายถึงพระพุทธรูปพระในบ้าน ที่อาตมาถามถึงนี่ เป็นพระที่ยังมีลมหายใจ คือ แม่พระ ผู้มีพระคุณสูงสุดแก่โยม แม่ให้ชีวิตเรามา โดยเอาชีวิตตัวเองเขาแลก เลี้ยงดูเรามา ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนได้ดิบได้ดีทุกวันนี้ แม่เหน็ดเหนื่อย ทุกข์ทรมานแสนสาหัส แม่ทนหิวฃเพื่อให้ลูกอิ่ม แม่ทนหนาวเพื่อให้ลูกอุ่น แม่ไม่เคยนอน ถ้าลูกของแม่ยังไม่หลับ ยามลูกเจ็บป่วยร้องไห้หัวใจแม่ก็เจ็บปวด และร้องไห้พร้อมกับลูกด้วย แม่อยากเอาความเจ็บปวดทั้งหมดของลูกมาไว้ที่แม่ ถ้าทำได้ แม่ยอมตายเพื่อลูกได้ พระคุณของแม่นี้ใหญ่หลวงเกินกว่าจะคณานับ เราต้องตอบแทนบุญคุณท่านบ้างน่ะโยม เอาตาดู หูใส่ เอาใจใส่ท่านบ้าง ไม่ใช้ปล่อยให้ท่าน อด ๆอยากๆ เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ดูแลท่านบ้าง อาตมาได้ข่าวว่า คุณโยมเหลือแม่อยู่คนเดียว และไม่ค่อยสนใจความเป็นอยู่ของท่านปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ อดๆ อยาก ๆไม่สงสารท่านบ้างหรือ.โยม.?
โยมจัดอาหารมาถวายพระได้ทุกวัน แต่พระในบ้านอีกองค์โยมไม่เคยจัดให้ และตอนที่โยมจัดมาให้อาตมา สังเกตดูโยมจัดมาให้อย่างดี ประณีตบรรจง แต่ก่อนอาตมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ฉันของโยมตามปกติ แต่ตอนนี้บอกตรงๆเลยว่า กลืนไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว อาตมาเป็นพระในวัด ไม่ควรเอาเปรียบพระในบ้านของโยมเกินไป ถ้าพระในบ้านยังอด พระในวัดก็กลืนไม่ลง การทำบุญให้ได้บุญมานะโยม เลี้ยงพ่อแม่ให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน แล้วจึงถวายพระ
คุณนายไม่พูดอะไรนั่งน้ำตาไหล ลูกๆที่รักทุกคนได้ดูแลพระในบ้านของลูกๆแล้วหรือยัง ถึงแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี บางคนกว่าจะรู้ว่าพ่อแม่เป็นพระในบ้านผู้ประเสริฐ ก็สายไปเสียแล้ว คือรู้เมื่อท่านทั้งสอง ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว...