29 ธันวาคม 2553 16:12 น.

ที่นี่และที่ไหน

หมอกจาง

ที่รัก
ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ และฉันไม่ได้อยู่ที่ไหน
หน้าสิงโตหินตัวใหญ่หน้าอาคาร ใต้ร่มดอกไม้สีขาว
ท่ามกลางแสงแห่งดวงดาวอันพราวพราย
ฉันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แม้ว่าเธออาจจะมองเห็นฉันอย่างเลือนรางก็ตามที

ที่รัก
ในอณูของความทรงจำอันละเอียดอ่อนนั้น ฉันท่องเดิน
เดินไปบนทางอันมืดมิด - เธอยังจำลมหนาวพัดกระหน่ำนั้นได้ไหม
เรายิ้มให้กันด้วยการเบือนหน้าไปคนละทาง
จับมือกันแม้สองมือเราต่างซุกแนบแน่นอยู่ในกระเป๋า
เอ่ยคำรักนับร้อยโดยไม่เคยพูดมันออกมา

ที่รัก 
ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ และฉันไม่ได้อยู่ที่ไหน
บนถนนสายว่างเปล่าที่ชื่อการรอคอย และฉันไม่รู้ว่ามันจะนำไปสู่ที่แห่งใด
ความทรงจำฉันเหือดแห้งลงเรื่อยๆ และฉันอาจหลงลืมใบหน้าเธอ
และเมื่อนั้น ฉันจะกลายเป็นเศษอณูอันล่องลอย ปราศจากจุดอ้างอิงใดบนโลก

ที่รัก
ฉันมองหา เฝ้ามองหา แต่ไม่อาจมองเห็น
ตัวตนของฉันนั้นแหว่งวิ่น เลื่อนลอยหลุดมือเมื่อพยายามจะไขว่คว้า
ฉันไม่อาจอยู่ตรงนั้น และฉันก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้
ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริง กระทั่งยังไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งของความฝัน

ที่รัก
ดังนั้น ฉันจึงเขียน จึงเขียน และเขียน
เรื่องราวของเรา สลักเสลาเอาไว้ ราวช่างแกะสลักหิน
อ่านและทบทวนมัน ทบทวนเรื่องราวของเรา ทุกครั้งที่ฉันจะหลุดเลือนหายไปในความทรงจำ ในจินตนาการ
เป็นเพียงอย่างเดียวที่ยึดโยงฉันไว้กับโลก โลกใบนี้
โลกที่แม้ว่าฉันเองจะไม่ได้อยู่ที่นี่และกระทั่งไม่อาจอยู่ที่ไหนเลยก็ตามที				
23 ธันวาคม 2553 20:49 น.

ในบทกวี

หมอกจาง

เวลาที่คิดถึงบทกวี ผมคิดถึงอะไร?

มานั่งตรงดูแล้ว ทุกครั้งที่พูดถึงบทกวี คิดถึงบทกวี ผมมักจะนึกถึงบทกวีเล่มแรกในชีวิตเสมอ

ไม่ใช่ว่าบทกวีที่ได้อ่านเล่มแรกในชีวิต หากแต่เป็นเล่มแรก ที่ทำให้รู้สึประทับใจในบทกวีอย่างลึกซึ้ง

หนังสือเล่มนั้นคือ "คำหยาด" ของ อาจารย์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

เป็นหนังสือบทกวีเล่มแรกที่อ่านอย่างตื่นตาตื่นใจ อ่านอย่างซาบซึ้งในตัวอักษร และหวนท่องทวนไปมาซ้ำๆในหลายๆบทที่ชอบ

และเป็นหนังสือเล่มที่ทำให้ต้องเสาะหาหนังสือกวีเล่มต่อๆไปมาอ่าน เพื่อที่จะพบว่าไม่มีหนังสือเล่มไหนที่เขียนเหมือนเข้าไปอยู่ในใจ เข้าไปอยู่ในความรู้สึกได้เหมือนคำหยาด

ไม่ใช่ว่าหนังสือเหล่านั้นเขียนไม่ดี เพียงแต่รู้สึกว่ามันไม่ตรงกับความรู้สึกที่ตัวรู้สึก เหมือนเมื่อได้อ่านคำหยาด

จนกระทั่งเหน็ดเหนื่อยพอสมควรกับการเสาะหา ก็เลยมาคิดว่า แล้วทำไเราไม่เขียนกลอน เขียนบทกวีเองเสียเลยล่ะ?

แน่นอนว่า มันอาจจะกะโดกกะเดก ไม่ได้ดีได้งามเหมือนอย่างใครเขา แต่เราก็ย่อมรู้สึกถึงความรู้สึกของตัวเองชัดเจนที่สุดไม่ใช่หรือ ว่าเป็นแบบไหน อย่างไร

ถึงมันจะไม่ดี ไม่ทำให้ใครชอบใครรัก แต่สิ่งที่เขียนออกมา มันก็น่าจะตรงใจเราที่สุด ตราบเท่าที่เราซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองในยามลงปากกาเขียน

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเขียนกลอนและบทกวีของผมจนมาถึงทุกวันนี้

......................................................

ทำไมคนเศร้าถึงชอบฟังเพลงเศร้า ?

บางคนบอกว่าการที่คนเศร้านั้น ถ้ายิ่งมัวจ่อมจมอยู่กับเพลงเศร้า ก็คงมีแต่ดิ่งลึกลงไปทุกที ทำไมไม่ฟังเพลงที่มันมีความสุข ที่มันสนุกสนาน เผื่อว่าชีวิตจะได้ร่าเริงขึ้น

ผมไม่เห็นด้วย

สำหรับผมแล้วเพลงเศร้าคือสิ่งจำเป็นสำหรับคนเศร้า เพราะคนเศร้าไม่ได้ต้องการการปลอบประโลม ไม่ต้องการรอยยิ้ม ไม่ตองการแสงตะวันที่สดใสใดๆ

ที่คนเศร้าต้องการคือความเข้าใจ ใครสักคนที่สามารถเข้าใจได้ในความเศร้าของเขา ใครที่มีหัวอกเดียวกัน เคยปวดร้าวมาแบบเดียวกัน

ทุกครั้งที่เพลงเศร้านั้นดัง มันกำลังบอกคนเศร้าว่า คุณไม่ได้ปวดร้าวอยู่อย่างเดียวดาย

บทกวีก็ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน

.......................................................

ผมใช้บทกวีเหล่านั้นเป็นเพื่อนกับตัวเอง 

ตรวจสอบความรู้สึกของตน เขียนมันออกมาอย่างซื่อตรง แม้มันอาจไม่ได้ไพเราะเพราะพริ้ง แต่มันก็เสมือนหนึ่งเครื่องปลอบประโลม

บางครั้งเหมือนเอามีดกรีดซ้ำลงไปบนแผลที่คั่งหนอง เจ็บปวดจนน้ำตาหยด แต่แผลก็เหมือนพอทุเลาลงไปบ้าง

ส่วนน้ำตานั้น เอามาปั้นเป็นดอกน้ำตาเล็กๆสักดอก ก็พอประโลมใจ

......................................................

"แม้คิดถึงเพียงใดใจจะขาด ก็ไม่อาจไปตามความคิดถึง
ห้ามมาหาแต่อย่าห้ามความคะนึง จะดื้อดึงโดยถ้อยร้อยรำพัน"

เป็นบทหนึ่งในคำหยาดที่ผมจำจนขึ้นใจ สะทกสะท้อนกับตัวเองทุกครั้ง ยามที่มีเหตุการณ์สักเหตุการณ์ชักพาให้กลอนบทนี้วาบขึ้นมาในหัว


"ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง คงชวดดวงบุปชาดสะอาดหอม" เนื้อเพลง สาส์นรัก หากแต่ผมอ่านและจำไว้เป็นเหมือนกลอน บ่นกับตัวเองดังๆในอกแล้วถอนใจ ยามที่ตัวเองไม่ได้ดั่งใจตัวเอง มองดูความรักเหมือนรอเหมือนคอยดอกไม้ให้ร่วง


และก็มีบ่อยครั้งที่จะคิดถึงกลอนบางบทที่ตนเองเขียนเอง ไม่ใช่ว่ามันดีมันงามกว่าคนอื่นแต่อย่างใด แต่เพราะมันตรงใจเราทุกคำเหมือนดังที่เกริ่นไว้ในตอนแรก

"ยิ่งทบทวนหวนนึกยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งคิด ยิ่งคิดถึงจนร้าวราน"

บางทีคนเรา ต้องรอจนกระทั่งบางเรื่องบางราวนั้นได้ผ่านไปแล้ว เราถึงจะได้รู้ว่า ที่ผ่านๆมานั้นเราโง่เพียงใด อะไรบ้างที่เรามองข้ามและละเลย

แต่ความปรารถนาที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไร ก็ยังคงเป็นแค่ฝันอันเลื่อนลอยของมนุษย์ทุกผู้อยู่เช่นเดิม


........................................................

อารมณ์ความรู้สึกของคนเรา ละเอียดและซับซ้อน

คนเศร้าใช่ว่าจะเศร้าเหมือนกัน ในรายละเอียดของความรู้สึกนั้น ผมเชื่อว่าความเศร้าแต่ละแบบก็จะมีรายละเอียดของมันต่างกันไป แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตามที

ความสุขก็เฉกเช่นเดียวกัน มันก็มีแง่มุมของมันที่ต่างกันไป

ดีใจเสมอ ยามที่พบเจอบทเพลงหรือบทกวีของใครสักคนที่อธิบายความรู้สึกของเราที่กำลังเป็นอยู่ได้ตรงใจ

และดีใจเฉกเดียวกัน หากมีใครพบว่าสิ่งที่ผมเขียนออกไปตรงกับใจกับความรู้สึกของเขา

เพราะนั่นแปลว่า เราต่างไม่ได้จมจ่อมอยู่กับความรู้สึกนั้นเพียงลำพัง

ยังมีใครสักคนในโลกใบนี้ที่เข้าอกเข้าใจเรา มีความสุขแบบเดียวกัน มีความเศร้าแบบเดียวกัน มองเห็นโลกเป็นสีเดียวกับที่เรามองเห็น

เป็นเสมือนเพื่อน-แม้ว่าอาจจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลยก็ตามที


นั่นอาจจะเป็นหน้าที่หน้าที่หนึ่งของบทเพลง

และนั่น-อาจจะเป็นหน้าที่หน้าที่หนึ่งของบทกวี

......................................................				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง