22 กรกฎาคม 2546 13:08 น.
หมอกจาง
บนเตียงเล็กๆ ในบ้านอบอุ่นหลังหนึ่งที่มีแดดยามเย็นทอบางๆผ่านหน้าต่าง หญิงชราอายุราวๆ 70 นอนซมอยู่บนเตียง เธอรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของเธอแล้ว แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ เธอพอใจกับชีวิตทั้งหมดที่เธอได้ผ่านมา เธอได้แต่งงาน มีครอบครัวที่อบอุ่น แม้จะไม่มีลูกก็ตาม มีเพื่อนที่ดี ผ่านชีวิตการงานที่ดี ถึงแม้วันนี้สามีของเธอจะตายไปได้ร่วมสิบปี แต่ในวันสุดท้ายของชีวิต เพื่อนที่เธอรักที่สุดก็มานั่งเคียงข้างเธออยู่ตรงนี้ มาส่งเธอ.. เหมือนๆทุกครั้งทุกคราว
หมอบอกว่าฉันคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าหรอก เธอเอ่ยบอกกับเขา เพื่อนชราที่รู้จักกับเธอมาแต่ครั้งยังเด็ก
ฉันรู้
เธอมาส่งฉันเหมือนทุกทีสินะ
ใช่..ก็ฉันส่งเธอมาตลอดทั้งชีวิตนี่นา ขาดไปอย่างคงไม่ครบ ชายชราตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ
ตอนเด็กๆบ้านเราอยู่ทางเดียวกัน เธอรำลึกความหลัง เรากลับบ้านด้วยกันทุกเย็น บ้านฉันอยู่เลยบ้านเธอไปมาก..
แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวัน
ใช่..เธอทำอยู่อย่างนั้นตลอดชั้นประถมและมัธยมที่เราเรียนด้วยกัน จนเพื่อนๆล้อว่าเราเป็นแฟนกัน
สุดท้ายก็ต้องเลิกล้อกันไป เพื่อนชราของเธอต่อคำ
ตั้งแต่เธอคบกับแฟนคนแรกของเธอนั่นแหละ เธอเย้ายิ้มๆ
แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวันอยู่อย่างเดิม จนต้องเลิกกับแฟนไม่ใช่รึ เธอจำได้ว่าเธอบอกเขาอยู่บ่อยๆว่าไม่ต้องเดินมาส่งเธอแล้ว เดี๋ยวแฟนเขาจะโกรธเอา แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะมาส่งเธอ
โกรธก็โกรธไป ฉันรู้จักเธอมาก่อนตั้งนาน ยังไงเธอก็ต้องมาก่อน นั่นเป็นคำพูดที่เธอจำได้ไม่ลืม แม้ว่ามันจะผ่านมาเกือบหกสิบปีแล้วก็ตาม..
เธอยังจำวันที่เขาต้องขึ้นรถไฟเพื่อไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ วันนั้นเธอไปส่งเขาที่สถานี ร้องไห้จะเป็นจะตาย เขาวุ่นกับการปลอบเธอจนไม่เป็นอันได้ร่ำลากับพ่อแม่ พอเธอสงบลงและขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ พ่อแม่เขาไปเช็คเที่ยวรถไฟ เธอกลับมาพบเขานั่งร้องไห้คนเดียวกับกองกระเป๋า เงยหน้าขึ้นบอกกับเธอทั้งน้ำตา
กลับบ้านเองเดินดีๆนะ
และนั่นทำให้เธอต้องเสียน้ำตาอีกรอบ...
เธอจำได้ว่าวันที่เขาปิดภาคเรียนและกลับมาบ้าน เธอแนะนำเขาให้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเธอ ตอนแรกทั้งสองเหมือนจะเข้ากันได้ดี แต่หลังจากนั้นสองสามวัน มีคนมาบอกว่าแฟนเธอกับเพื่อนเธอต่อยกัน
มันนอกใจเธอ เขาบอกเรียบๆ.. แต่เธอไม่เชื่อ วันนั้นเธอเชื่อแฟนมากกว่าว่าเขาอิจฉาแฟนเธอจึงหาเรื่องชกต่อย เธอว่าเขาไปหลายคำ อาทิตย์นึงให้หลังเธอจึงรู้ว่าเขาเป็นคนถูก เมื่อเธอไปหาเขาที่บ้าน ก็เจอแต่พ่อของเขา
มันกลับไปแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว เห็นว่ามีธุระด่วน ไม่รู้อะไร เธอส่งจดหมายไปขอโทษ เขาบอกไม่เป็นไร..เขาไม่เคยโกรธเธอ..แค่น้อยใจเล็กๆ ในจดหมายลงท้ายด้วยคำๆเก่า
..กลับบ้านเองเดินดีๆนะ..
เธอรู้ว่าในคำที่เหมือนสั้นๆนั้น เขาพูดอะไรออกมามากมายขนาดไหน..
เธอจำได้ถึงวันที่เธอบอกเขาว่าเธอจะแต่งงาน.. เขามองหน้าเธอ เธออ่านไม่ออกว่ามันเป็นความรู้สึกอะไร ดีใจ? เสียใจ? และเมื่อเธอถามเขาตรงๆ เขาก็ตอบว่า
..เราใจหาย..
แต่ก่อนหน้านั้น ก็เขานี่แหละที่เป็นคนช่วยเธอเลือก ช่วยเธอดูว่าผู้ชายคนนี้นิสัยดี และรักเธอจริง
เราผู้ชายด้วยกันเราดูออก
ซี่งเขาก็ดูไม่ผิด สามีของเธอดีเหมือนอย่างที่เขาบอก วันแต่งงานเธอบอกเขาว่า
ความเป็นเพื่อนเรายังเหมือนเดิมนะ ไม่ต้องห่วง เขามองเธอนิ่งๆ พยักหน้าน้อยๆ ไม่ตอบคำ ถึงเวลารดน้ำสังข์ เขาอวยพรเธอมากมาย แต่พูดกับสามีเธอเพียงสั้นๆ
ฝากด้วยนะ..
เขาแต่งงานมีครอบครัวของเขา เธอก็มีครอบครัวของเธอ มีบางช่วงของชีวิตที่ห่างกันไป แต่ก็ไม่เคยลืมกัน เธอส่งการ์ดอวยพรวันเกิดให้เขาทุกๆปี ตอนนี้เขาน่าจะเก็บมันไว้ได้ 59 ใบแล้วหละ เพราะเธอนับของเธอแล้วมันได้ 58 ใบ น้อยกว่าอยู่ใบนึง เพราะเธอเกิดทีหลังเขา 5 เดือน.. บางที เธอรู้สึกสนิทกับเขามากกว่าคนรักของเธอเสียอีก หลายเรื่องที่เขารับรู้ แต่คนรักเธอไม่แม้แต่ระแคะระคาย และก็เช่นกันหลายความลับที่เขาระบาย ที่เขาฝากไว้ที่เธอ เธอก็รับและเก็บงำมันไว้ด้วยความเต็มใจ..
คิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ
เรากำลังนึกแปลกใจ เธอเอ่ยด้วยท่าทีครุ่นคิด ทำไมเราถึงไม่เป็นคนรักกันนะ
เขานิ่งไปเหมือนกำลังคิดเช่นกัน เราสนิทกันมากมั้ง
นั่นไม่น่าใช่เหตุผลนี่ เธอว่า
เธอถามยากไปนะ เขาตอบหลังจากนิ่งคิดอีกอยู่ครู่ใหญ่
ไม่ยากหรอก ลองคิดเล่นๆซิว่าทำไมเราถึงไม่รักกันนะ แววตาเธอมีแววขี้เล่นซุกซน เหมือนเด็กหญิงครั้งกระโน้น
อืมม..อันนี้ค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย เธอมองหน้าเขา แปลกใจ เธอว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนคำถามนี่นะ..
ฉันไม่รู้หรอก ว่าทำไมเราถึงไม่ได้เป็นคนรักกัน เขามองหน้าเธอ สายตาอ่อนโยน
แต่ถ้าเธอถามว่าทำไมเราถึงไม่รักกันน่ะ เขาเว้นช่วง
บางทีนะ ฉันว่าเราไม่ได้ไม่รักกันเสียหน่อย..
เธอหลับตาลง คำถามที่ถูกซ่อนไว้หลายสิบปี กลับตอบออกมาง่ายๆอย่างนี้เอง
นั่นสินะ เราไม่ได้ไม่รักกันเสียหน่อย เธอตอบทั้งๆที่หลับตา ตอนนี้เธอพร้อมที่จะไปจากโลกใบนี้อย่างมีความสุขแล้ว
ในความรู้สึกที่เริ่มพร่าและเลือน เธอสัมผัสได้ถึงมือเขาที่เอื้อมมากุมมือเธอไว้
กลับบ้านเองเดินดีๆนะ..
และนั่นคือคำสุดท้ายที่เธอได้ยิน
7 กรกฎาคม 2546 09:12 น.
หมอกจาง
วันนั้นเป็นวันแดดใส สายลมพัดแรงจิมมี่ร้องเพลงด้วยเสียงเด็กๆของเขาคลอไปกับเสียงกีตาร์ของบรอห์ม เจ้าขวานพยายามร้องคลอตามด้วยเสียงทุ้มๆต่ำๆของมัน แต่ก็มักที่จะไล่ตามเนื้อไม่ค่อยทันอยู่เสมอ ส่วนนานีกับวาร์เลือกที่จะฟังอย่างเงียบๆ วันนี้นานีนั่งอยู่บนหลังวาร์ สีของวาร์เลยกลายเป็นสีเดียวกับสีของนานี
เยี่ยมไปเลย นานีส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ยกขาหน้าทั้งสองขึ้นปรบ เมื่อโน้ตสุดท้ายของบรอห์มจบลง วาร์แหงนหน้าโห่ชมเชย เจ้าขวานได้ทีเลยเหน็บเข้าให้
นั่นนายหอนใช่ไหม วาร์ วาร์หันขวับมาทันที
เขาเรียกโห่
ฟังเหมือนหอนเลย
ก็ฟังดูดีกว่าเวลานายพยายามร้องเพลงละกัน ได้เรื่องเจ้าขวานโกรธหนวดกระดิกเลย (ถ้ามันมีนะ)
นี่.. ไม่มีคำพูดสักคำหลุดตามออกมาจากปากเจ้าขวาน และก็เช่นเดียวกันกับเจ้าวาร์ที่พยายามจะแหย่ซ้ำ
.
ทะเลาะกันอยู่ได้ น่ารำคาญ นั่นเป็นเสียงของนานี จิมมี่กับบรอห์มอมยิ้ม ทั้งสองรู้ว่าที่สองคนนั้นพูดไม่ได้เพราะนานีใช้พลังจิตบังคับไว้นั่นเอง
วันนี้พลังจิตของนานีใช้ได้ผลแฮะ จิมมี่หันไปพูดยิ้มๆกับบรอห์ม
ปล่อยทั้งสองคนนั่นได้แล้วหละนานี บรอห์มว่า อุดปากไว้อย่างนั้นอึดอัดตาย
นานีหันไปมองเจ้าขวานกับวาร์ที่ทำหน้าปูเลี่ยนๆอยู่แล้วก็หัวเราะกิ๊ก..
คลายก็ได้ แต่ถ้าทะเลาะกันอีกจะอุดปากไว้ทั้งวันเลย
ทั้งสองที่เพิ่งถูกคลายให้พูดได้ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น บางทีมันอาจกลัวที่จะต้องถูกอุดปากอีกรอบ.. ขบวนเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆไม่เร่งร้อน พักใหญ่ๆ จิมมี่ก็ร้องเอะอะขึ้น
นี่พวกเราดูอะไรข้างหน้านั่นสิ และเมื่อทุกคนหันไปดู ต่างก็ต้องอ้าปากค้าง..
ฝุ่นทรายก้อนมหึมา ม้วนตลบเข้าหากลุ่มของห้าสหายอย่างรวดเร็ว ไม่น่าจะถูกพัดมาโดยลมเพราะมันมาคนละทิศกับทางลม ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร ฝุ่นทรายกลุ่มนั้นก็พรึ่บ ม้วนเข้าคลุมทั้งห้าสหายไว้จนหมดสิ้น..
..
แค้กๆๆ.. นั่นเป็นเสียงไอของจิมมี่ เขาลุกขึ้นจากกองฝุ่นทรายที่ทับหนาอยู่รอบตัวได้ก่อนคนอื่น จิมมี่ดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆก็จริง แต่ในสถานการณ์อย่างนี้เขามักจะเป็นคนแรกที่ยืนขึ้นได้เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าทำไม.. เจ้าขวานยังเหน็บอยู่ที่เอว แต่ท่าทางยังคงลืมตาไม่ขึ้นเพราะเม็ดทรายเข้าตา บรอห์มยักแย่ยักยันยืนขึ้นมาได้แล้ว มือข้างหนึ่งรัดนานีไว้แน่นกับอก เพราะพอพายุทรายพัดมาบรอห์มก็รีบคว้าตัวนานีไว้ก่อนด้วยกลัวว่านานีจะปลิวไปกับลม ส่วนวาร์ล่ะ ทั้งหมดมองหาวาร์ แต่ไม่มีใครหาเจอ..
ฉันอยู่นี่ เสียงนั้นดังไม่ไกลจากบรอห์มนัก เล่นเอานานีที่กำลังขวัญอ่อนอยู่สะดุ้งโหยง เมื่อทุกคนหันไปมองก็เห็นเจ้าม้าเปลี่ยนสีได้ลุกขึ้นมาสะบัดทรายออกจากเนื้อตัว ตอนนี้วาร์มันเปลี่ยนเป็นสีทรายไม่มีผิดเพี้ยน นั่นคือสาเหตุที่ใครก็ต่างมองหามันไม่เจอ
มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย วาร์เอ่ยถามขึ้น มันเห็นว่าเพื่อนๆยังอยู่กันครบมันก็โล่งใจ..
ฉันว่าเราทุกคนกำลังสงสัยเหมือนกันนั่นแหละจิมมี่ว่าดังนั้น ทางที่ดีเราควรหาใครสักคนที่ไม่ใช่พวกเราตอบปัญหานี้
แล้วทั้งห้าสหายก็ไม่ต้องรอนานเมื่อเห็นร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากกองทรายที่ทับถมอยู่ทั่วบริเวณ ร่างนั้นเป็นร่างผู้ชาย อ้วน เตี้ย ใส่หมวกปีกกว้างเหมือนหมวกโจรสลัด ข้างพุงคาดไว้ด้วยดาบเล่มโต มีหนวดเฟิ้มอยู่รอบปาก แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดของชายผู้นี้คือตลอดร่างของเขาเป็นสีทรายทั้งสิ้น.. เหมือนสร้างขึ้นมาจากทราย
โจรสลัดทราย นานีหลุดปากอุทานออกมาด้วยความตกใจ คนอื่นต่างใจหายวาบกันทั้งสิ้น ทุกคนเคยได้ยินชื่อเสียงความโหดร้ายของโจรสลัดทรายกันมาแล้วทั้งนั้น จอมโจรผู้ไม่เคยปล่อยให้เหยื่อที่ตนจะปล้นรอดชีวิต จอมโจรที่ปล้นเพื่อทรัพย์หากแต่ฆ่าเพื่อความสนุก จอมโจรที่คนเดินทางต่างพากันกลัวหนักหนาในยามที่พายุทรายพัดมา จอมโจรที่ถูกเรียกกันขานกันมานานว่า..โจรสลัดทราย
ใช่แล้ว แม่หนูน้อย โจรสลัดทรายพูดขึ้นพลางค้อมหัว เราคือโจรสลัดทรายคนนั้นเอง
เจ้าจะปล้นอะไรเราน่ะ เราไม่มีของมีค่าอะไรให้ปล้นหรอกนะ วาร์พูดปากคอสั่น มันไม่ใช่ม้าที่กล้าหาญเท่าไหร่นักหรอก..
หือ!! โจรสลัดทรายสะดุ้งนิดหนึ่งเห็นสีของวาร์เป็นสีทรายเหมือนตนเอง แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้โดยเร็วจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น ยกเว้นจิมมี่นะ..
ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าม้าสีทราย เสียงนั้นฟังดูหยิ่งยโสเราจะปล้นในทุกๆอย่างที่เจ้ามี สิ่งใดที่มีค่าสำหรับเจ้า ก็มีค่าสำหรับเราเฉกเช่นกัน
เรามีแต่ของที่เจ้าเอาไปทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นนะ จิมมี่พูดขึ้นเจ้าช่วงชิงมันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก
เราช่วงชิงเพียงเพราะเราต้องการช่วงชิง เมื่อเราสามารถช่วงชิงจากเจ้ามาได้ เราก็มีความสุข และนั่นคือประโยชน์ที่เพียงพอแล้วหละ
ท่าจะไม่ฟังเหตุผลเลยแฮะ เจ้าขวานบ่น
เรามีห้าคน แต่เจ้ามีแค่หนึ่ง บางทีเจ้าอาจช่วงชิงได้ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่หวังก็ได้นะ บรอห์มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทุกคนเห็นพ้องด้วย ต่างขยับตัวในลักษณะที่พร้อมจะสู้ตาย..
เรามีแค่หนึ่งอย่างนั้นรึ เจ้าโจรสลัดหัวเราะฮิๆฮะๆบางทีเจ้าอาจพูดถูก แต่บางทีเจ้าอาจพูดผิดก็ได้
ทันใดนั้นกองทรายรอบๆตัวของทั้งห้าสหายก็เริ่มเคลื่อนไหว ค่อยๆมีร่างโจรสลัดทรายนับร้อยผุดขึ้นมา บ้างหนุ่ม บ้างแก่ บ้างต่ำเตี้ย บ้างสูงโย่ง ทุกตัวต่างมีอาวุธครบมือทั้งสิ้น..
ขอร้องเรา วิงวอนเรา กราบกรานขอชีวิต เจ้าทำได้ทุกอย่างที่เจ้าอยากทำ เจ้าหัวหน้าโจรว่า แต่สิ่งที่เราทำจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เราต้องการทุกอย่างที่เจ้ามี แม้กระทั่งชีวิต มันยกมือขึ้นสูงและโบก
ฆ่า!!
ทุกร่างที่ก่อรูปขึ้นจากทรายถาโถมเข้าใส่ทั้งห้าสหายทันที จิมมี่ดึงเจ้าขวานขึ้นจากเอวฟาดฟันใส่พวกโจรสลัดอย่างไม่เลือก หลายร่างที่โดนฟันเข้าจังๆก็ร่วงหล่นกลายเป็นกองทรายเหมือนอย่างเดิม บรอห์มดีดกีตาร์ด้วยเสียงที่ประหลาดและรัวเร็ว ทำให้ร่างจากทรายที่ล้อมเข้ามาใกล้แตกกระจายออกเป็นเม็ดทรายไปทุกครั้ง นานีซึ่งวันนี้ใช้พลังจิต เพ่งสายตาใส่โจรทรายเหล่านั้น มีเสียงเพียะดังขึ้นมาเมื่อใด ก็จะมีร่างร่างหนึ่งแหลกลงเป็นทรายไปทุกที วาร์ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเตะและถีบ แต่โจรสลัดทรายเหล่านั้นมักจะมองข้ามมันเสมอด้วยนึกว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงไม่มีโจรคนไหนทำร้ายเจ้าวาร์..
ทั้งห้าสหายอาจเหนือกว่าด้วยฝีมือ แต่เหล่าโจรสลัดทรายเหนือกว่าที่จำนวน ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่รู้จักหมดสิ้น จิมมี่ฟันขวานจนแขนล้า เจ้าขวานก็รู้สึกชาไปทั้งตัวด้วยถูกับเม็ดทราย บรอห์มดีดกีตาร์จนปิ๊กกระเด็นหล่นหาย ต้องใช้นิ้วดีดแทน ซึ่งก็ทำให้เสียงเพลงช้าลงไปมาก นานีเพ่งพลังจิตจนมึนหัวและรู้สึกอ่อนล้าไปหมด ขณะวาร์ยังโดดถีบไปมาอย่างคึกคะนอง
ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ จิมมี่พูดพลางฟันขวานพลาง เจ้าขวานพูดไม่ได้เพราะมันจมอยู่ในร่างที่ก่อจากทรายร่างหนึ่ง
ทนหน่อยจิมมี่ ทางฉันก็แย่เหมือนกัน บรอห์มตะโกนบอก นิ้วยังรัวสายกีตาร์ไม่หยุด ตอนนี้ทั้งห้าสหายต่างกระจายอยู่ห่างๆกัน ต่างถูกล้อมรอบด้วยเหล่าโจรสลัดทราย การต่อสู้ดำเนินไปอย่างยืดเยื้อ ทรายก่อูปขึ้นมาเป็นโจรสลัดไม่หยุดหย่อน แต่ทั้งห้าสหายก็ยังอดทนต้านไว้อย่างเหนียวแน่น
จิมมี่ มารวมกันตรงนี้ดีกว่าจะได้ช่วยกันสู้ เสียงบรอห์มตะโกนบอก จิมมี่หันไปดู พบว่าบรอห์มหันไปอีกด้านหนึ่งที่ไม่ใช่ด้านที่เขายืนอยู่ เรียกคนๆหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเขายังกับแกะผิดแต่ร่างนั้นเป็นสีทราย.. ร่างนั้นเคลื่อนเข้าหาบรอห์มอย่างรวดเร็ว
นายยืนระวังหลังให้ฉันทีจิมมี่ เหมือนบรอห์มไม่ทันสังเกตสีที่ผิดเพี้ยนไปของร่างนั้น บางทีบรอห์มอาจคิดว่าจิมมี่คงเปื้อนทรายไปทั้งตัวก็ได้..
ระวังข้างหลังบรอห์ม จิมมี่ตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นร่างนั้นเงื้อขวานขึ้น ที่บริเวณด้านหลังเยื้องไปทางขวา ซึ่งเป็นจุดอับของเสียงเพลงของบรอห์ม..
คว้าก เสียงผ้าขาด เลือดของบรอห์มไหลออกมาทันตา โชคยังดีที่บรอห์มเบี่ยงตัวหลบทันทีที่ได้ยินเสียงของจิมมี่ แต่บรอห์มก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ดี
นั่นไม่ใช่ฉัน บรอห์ม มันปลอมตัว จิมมี่ตะโกนลั่น
ทางด้านนานี ก็มีเสียงร้องลั่นมาเช่นกัน..
วาร์ นายมาถีบฉันทำไม
ฉันอยู่ตรงนี้นานี เกิดอะไรขึ้น วาร์ร้องมาจากอีกฝั่งหนึ่ง
ทุกคนระวังตัวไว้มันใช้วิธีปลอมตัวเป็นพวกเรา บรอห์มรัวกีตาร์จัดการกับจิมมี่ร่างปลอม ปากก็ตะโกนบอกเพื่อนๆทุกคน..
หลังจากทุกคนรู้ตัว ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะแยกแยะว่าตัวไหนคือตัวปลอมและตัวไหนคือตัวจริง เพราะแม้จะปลอมได้เหมือนมากเพียงใด สีของตัวปลอมเหล่านั้นก็ยังเป็นสีทรายอยู่ดี แต่ปัญหาอยู่ตรงที่เจ้าวาร์นี่เอง..
วาร์ นายอยู่ตรงไหนน่ะ นานีถามดังๆอย่างร้อนใจ
ฉันอยู่นี่ ม้าสีทรายไม่ต่ำกว่าหกเจ็ดตัวรอบๆขานรับขึ้นมาพร้อมๆกัน
ท่าทางจะปัญหาใหญ่แล้วหละบรอห์ม เราทำร้ายม้าสีทรายไม่ได้เลยสักตัว จิมมี่พูดขึ้น
ตอนนี้เหล่าโจรสลัดทรายไม่ปลอมเป็นคนอื่นแล้ว พวกมันเลือกที่จะซ่อนใบหน้าที่แท้จริงภายใตู้ปลักษณ์ของวาร์เพียงอย่างเดียว นานี บรอห์ม จิมมี่และเจ้าขวานตอนนี้มายืนรวมกันเป็นกลุ่ม ล้อมรอบด้วยม้าสีทรายที่คึกคะนองนับร้อยตัว..
นี่ฉันเองวาร์ไง อย่าทำอะไรฉัน พวกม้าเหล่านั้นพากันร้องเซ็งแซ่ ตอนนี้พวกของจิมมี่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว..
เอาไงดีบรอห์ม จิมมี่ถามขึ้นด้วยใบหน้าที่แทบสิ้นหวัง..
เท่าที่ฉันสังเกตดู ดูเหมือนว่าพวกนี้มันมีแค่ชีวิตเดียว หากแต่ปรากฏออกมาในหลายรูปร่างเท่านั้น
แล้วเราจะทำยังไงล่ะ บอกฉันที จิมมี่แกว่งขวานไปมาป้องกันตัวพลางถาม ตอนนี้ทุกคนทำได้เพียงแต่ป้องกันตัวเท่านั้น ไม่มีใครอยากพลั้งมือทำร้ายเจ้าวาร์ ทั้งๆที่รู้ว่าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ทั้งหมดคงต้องถูกฆ่าในไม่ช้า..
จัดการกับตัวที่เป็นตัวจริงของมัน ตัวที่คอยบัญชาการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ตัวที่ตัวมันเองไม่เคยเปลี่ยนรูป
นายหมายถึงเจ้าโจรสลัดที่มีเคราที่เราเจอกันครั้งแรกเลยใช่ไหม?
ใช่ จิมมี่ ตัวนั้นแหละ ทุกคนต่างสังเกตได้เหมือนกันว่ามีแต่เจ้าสลัดเคราเฟิ้มคนนั้นที่ไม่เคยเปลี่ยนรูปไปเลย ตอนนี้มันยืนหัวเราะอยู่ที่ด้านหลังฝูงม้าทราย ไกลออกไป..
ลำพังฉันกับเจ้าขวานจัดการมันได้ จิมมี่พูดอย่างมั่นใจปัญหาคือเราจะเข้าถึงตัวมันได้อย่างไรเท่านั้นแหละ
ฉันสามารถใช้พลังจิตทั้งหมดที่เหลืออยู่ ระเบิดม้าทรายทั้งหมดนี่เป็นผุยผงได้ แต่ถ้ามันก่อรูปกันขึ้นมาใหม่ ฉันก็จะไม่มีพลังเหลือแม้แต่จะโดดหลบแล้วหละ ตอนนี้นานีได้แต่ใช้พลังทำให้ม้าทรายเหล่านั้นหยุดการเคลื่อนไหวเท่านั้น ซึ่งเหล่าม้าทรายก็แก้โดยการสลายตัวเองลงเป็นทรายแล้วก่อตัวขึ้นมาใหม่.. สถานการณ์ตอนนี้คับขันและจวนเจียนเต็มที
ถ้างั้นเอาอย่างนี้ ฉันจะดีดกีตาร์เป็นกำแพงเสียงกั้นให้มันเข้ามาไม่ได้ นานี เธอรวบรวมพลังจิตเพื่อระเบิดม้าทรายเหล่านี้ให้หมด จิมมี่ หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของนายกับเจ้าขวานนะบรอห์มนัดแนะกับเพื่อน
แล้ววาร์ล่ะ จิมมี่ถาม ไม่มีคำตอบจากบรอห์ม มันไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องนี้เหมือนกัน
วาร์นานีตะโกนเข้าไปในฝูงม้า ซึ่งก็มีเสียงขานรับออกมาอย่างพร้อมเพียง
นายช่วยเราคิดทีว่าจะทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าเป็นนาย
ตอนนี้เจ้าวาร์อยู่กลางฝูงม้าทราย มันทั้งเตะทั้งถีบเท่าที่ทำได้ ซึ่งไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรได้มากมายนัก แต่ก็ไม่มีม้าทรายตัวไหนทำร้ายมัน เพราะม้าทรายก็แยกไม่ออกเช่นกันว่าตัวไหนคือเจ้าวาร์ จริงๆแล้วพวกมันไม่ได้สนใจจะมองหาเจ้าวาร์เลยด้วยซ้ำ
วาร์คิดแล้วก็คิด มันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เห็นว่าเพื่อนๆย่ำแย่จวนเจียนเข้าไปทุกที เห็มม้าทรายเหล่านั้นถีบถูกจิมมี่ เห็นนานีถูกกระทืบลงที่หางจนร้องลั่น มันไม่รู้จะทำอย่างไร
ถ้าฉันเปลี่ยนสีเป็นสีอื่นที่แตกต่างวาร์คิดพวกจิมมี่ก็จะสามารถแยกแยะออกได้ เพราะม้าทรายไม่สามารถเปลี่ยนสีได้
แต่เราจะเปลี่ยนสีได้อย่างไรล่ะ รอบตัวเรามีแต่สีทรายเท่านั้น
ตอนนี้วาร์คิดถึงสีที่แท้จริงของมัน ถ้ามันสามารถกลับคืนสู่สีที่แท้จริงของมันได้ เพื่อนของมันก็จะพ้นอันตราย แต่มันไม่รู้วิธีนี่นา..
ปัญหาสำคัญอีกอย่างคือเมื่อมันกลับคืนสีที่แท้จริงแล้ว พวกโจรสลัดทรายก็จะรู้เช่นกัน ว่าตัวไหนที่ไม่ใช่พวกดียวกัน และถ้าม้าทรายเหล่านั้นเปลี่ยนร่าง ถือดาบเข้ากลุ้มรุมมัน มันจะไม่มีทางสู้ได้เลย บางทีอาจถึงตายได้ มันไม่ใช่นักสู้ที่เก่งกาจนักหรอก ที่มันเอาตัวรอดได้อยู่ถึงตอนนี้ก็เพราะสีที่กลมกลืนของมันนั่นเอง..
วาร์สับสน มันไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรดี ทั้งความห่วงเพื่อน ทั้งความรักชีวิต ทำให้มันสับสน..
มันมองเห็นวงล้อมม้าทรายที่บีบรัดเข้าไป เห็นบรอห์มโดนย่ำกลางหลังด้วยม้าที่หน้าเหมือนมันตัวนึง นานีกับจิมมี่ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ากัน เพื่อนมันกำลังจะตาย..วาร์หลับตาลง น้ำตาคลอด้วยความกลัว มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพที่ทั้งสี่สหายที่เหลือจะไม่มีวันลืม ม้าสีทรายหม่นๆตัวหนึ่ง ค่อยๆเจิดจ้าขึ้น เปลี่ยนสีไปร้อยพันอย่าง ฟ้า ม่วง ชมพู ส้ม แดง ดำ บางสีก็เป็นสีที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ทุกคนจ้องที่วาร์เป็นตาเดียว รวมทั้งเหล่าโจรสลัดทรายก็เผลอหยุดการโจมตีลงเช่นกัน..
หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ทุกคนได้เห็นม้าสีน้ำเงินตัวหนึ่ง น้ำเงินที่ดูลึกแต่ใส น้ำเงินที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน น้ำเงินที่สวยกว่าทุกสีน้ำเงินในโลก น้ำเงิน..ที่เป็นสีของวาร์
วาร์ ทั้งสี่สหายทุกคนร้องขึ้นมาอย่างยินดี และนั่นทำให้โจรสลัดทรายรู้ตัวเช่นกัน พวกหนึ่งขยับเข้าใส่สี่สหาย อีกพวกหนึ่งขยับเข้ากลุ้มรุมวาร์ม้าสีน้ำเงิน
เอาเลย นานี รวมพลังเร็วจิมมี่ร้อง
บรอห์มดีดกีตาร์ต้านโจรสลัดไว้ จิมมี่ฟาดขวานไปมาด้ายท่าทีฮึกเหิมขึ้นทันตาเห็น แต่ในแววตาของบรอห์มดูกังวล ม้าสีน้ำเงินโดนฟันไปสองแผลแล้ว เลือดแดงเข้มไหลออกมาจากร่างตัดกับสีน้ำเงิน..
ได้หรือยังนานี
เกือบแล้ว
วาร์แย่แล้วนะ
เอาเลย นานีตะโกนเมื่อรวบรวมพลังเสร็จ ตาของนานีดูเหมือนโตขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ใหญ่จนดูเหมือนไม่มีใครจะหลบพ้นดวงตาคู่นั้นได้ เหมือนกับดวงตาคู่ที่มองลงมาจากฟ้าเบื้องบน..
ตูมมมม ร่างที่ทำจากทรายกระเด็ยหายไปคนละทิศละทาง จิมมี่พรวดเข้าถึงตัวเจ้าหัวหน้าโจรด้วยความรวดเร็ว เจ้าขวานทำหน้าที่ของมัน เพียงพริบตาหัวหน้าโจรก็ล้มลงก่อนที่มันจะมีโอกาสได้ก่อร่างอื่นๆขึ้นใหม่ พายุทรายกรรโชกมาอีกครั้งอย่างกระชั้นสั้น..
ครืนน
ระวังทุกคน บรอห์มตะโกน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พายุหยุดลงในเวลาอันรวดเร็ว ทรายทั้งหมดหายไป เหลือเพียงร่างบอบช้ำของทั้งห้าสหาย
..
วาร์ นายเจ็บมากไหม นานีถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นบาดแผลของวาร์
วาร์ นายกล้าหาญมาก จิมมี่เดินเข้ามาโอบรอบคอเพื่อนด้วยความชื่นชมและยกย่อง
กล้าที่ไหน จิมมี่ วาร์แย้งเสียงอ่อย ฉันกลัวจะตายว่าถ้าฉันเปลี่ยนสี ฉันต้องถูกฆ่าแน่ๆ
แต่นายก็ทำนี่ จิมมี่ยิ้มให้กำลังใจ
วาร์ คราวนี้เป็นบรอห์มฉันจะบอกอะไรให้นะ น้ำเสียงนั้นดูจริงจัง
นายเป็นม้าที่กล้าหาญที่สุดที่ฉันเคยเห็น
โธ่ บรอห์ม ฉันบอกแล้วว่าฉันกลัวจะตาย
ทั้งที่นายกลัวแทบตาย แต่นายยังทำสิ่งนั้นเพื่อพวกฉัน การที่นายตัดสินใจทำในสิ่งที่นายคิดว่าสมควรทำ ทั้งๆที่กลัวจนตัวสั่นน่ะ นั่นคือความกล้าหาญที่แท้จริงวาร์ ถ้านายทำมันโดยไม่มีความกลัวเลยอย่างมากนายก็เป็นได้แค่ม้าที่บ้าระห่ำเท่านั้น ความกล้าหาญที่แท้จริงคือการชนะความกลัวของนายนั่นเอง
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย วาร์ดูเขิน แต่ก็ดูมันภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
วันนั้นนายหาสีนายเจอได้ยังไงน่ะวาร์ นานีถามขึ้นในวันหนึ่ง
ไม่รู้เหมือนกันแฮะ เหมือนมันมีอยู่แล้ว แล้วมีใครเอาไปซ่อนไว้ เหมือนฉันรู้อยู่แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ฉันพยายามทำเป็นไม่รู้ ประมาณนั้นน่ะ
แล้วใครที่เอาไปซ่อนไว้ล่ะ
วาร์นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยตอบ
ฉันว่าฉันเองแหละ
ขณะที่อีกด้านหนึ่งจิมมี่ก็คุยกับบรอห์ม เจ้าขวานหลับมาแล้วสามวันสามคืนหลังจากศึกครั้งนั้น มันเหนื่อยมาก
วาร์โชคดีมากนะที่หาสีของตัวเองเจอ มีใครต่อใครหลายคนที่ไม่อาจหาสีของตัวเองเจอ แม้จะใช้เวลาตลอดชีวิตของตนเอง บรอห์มบอก
หมายความว่ามีม้าเปลี่ยนสีได้อย่างวาร์อยู่มากมายในโลกอย่างนั้นรึ
ใช่ แต่บางครั้งนายมองไม่เห็นหรอกจิมมี่ พวกเขากลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมเกินไป พวกเขากลัวเกินไปที่จะแตกต่างจากสิ่งรอบตัว และนั่นทำให้เขาไม่ซื่อสัตย์กับสีที่แท้จริงของตัวเอง และเมื่อเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เขาเป็น เขาจะไม่มีวันหามันเจอ
.
ห้าสหายยังคงผจญภัยกันต่อไป แต่เรามาพักเรื่องของเขาไว้แค่ตรงนี้ก่อนดีกว่า วันหน้าถ้ามีโอกาส เราค่อยมาพูดถึงพวกเขากันอีกที.
..
23 มิถุนายน 2546 10:52 น.
หมอกจาง
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงแจ่มฟ้า เด็กหญิงตัวเล็กๆนั่งมองดวงจันทร์อยู่ที่ประตูหลังบ้าน ใกล้ๆสระน้ำเล็กๆสำหรับเลี้ยงปลาหางนกยูงของพ่อ ใกล้พุ่มดอกเข็มของแม่ และใกล้ๆลานดินเล็กที่เธอติ๊ต่างว่าเป็นของเธอ ... ก็มันสมควรมีอะไรบางอย่างที่เป็นของเธอบ้างนี่นา
คืนนี้เธอออกมานั่งเล่นที่นี่เหมือนทุกคืน แม่ดูละคร พ่อทำงานอยู่ในห้อง เธอจะถูกเรียกให้เข้าไปนอนก็ต่อเมื่อละครที่แม่ดูจบลงนั่นแหละ แม่เคยชวนให้นั่งดูละครด้วยกันเหมือนกัน แต่เธอดูไม่รู้เรื่อง ก็ทำไมพี่ผู้หญิงในละครเวลาถูกคนอื่นแกล้งต้องมาร้องไห้กระซิกๆด้วยนะ นี่ถ้าเป็นเพื่อนที่โรงเรียนมาแกล้งเธอละก้อ.. ได้พกรอยฟันกลับบ้านไปอวดแม่ทุกคนไปสิน่า
เธอนั่งมองดวงจันทร์ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นิทานเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่คุณครูเล่า เรื่องกระต่ายในดวงจันทร์ที่เคยฟังจากแม่ตอนเด็กๆ พ่อก็เคยเล่าเรื่องตากับยายบนดวงจันทร์ให้ฟังเหมือนกัน แต่เธอสับสนว่าเรื่องตากับยายนี่จริงๆแล้วมันเป็นยังไงกันแน่ เพราะพ่อเล่นเปลี่ยนเนื้อเรื่องมันเสียทุกๆครั้งที่เล่า บางทีอาจมีตากับยายอยู่หลายคนอยู่บนนั้นก็ได้ ดูท่าทางดวงจันทร์ก็ไม่เล็กนักหรอก
ตอนนี้เด็กหญิงกำลังนั่งคิดถึงเรื่องนิทานเรื่องล่าสุดที่ครูเล่าค้างไว้อยู่ เป็นเรื่องของแม่มดใจร้ายที่คอยรังควาญเจ้าชายเจ้าหญิงอะไรนี่แหละ กำลังเล่าถึงตอนสนุก เจ้าเพื่อนตัวดีที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอก็ชิงอ้วกเอาข้าวกลางวันออกมาเสียก่อน ครูก็เลยต้องเลิกเล่าแล้วหันไปวุ่นกับการเช็ดอ้วกโดยปริยาย นึกๆจะมาถามพ่ออยู่เหมือนกันว่าจริงๆตอนจบของนิทานเรื่องนี้มันเป็นยังไง แต่คิดอีกทีก็ไม่ดีกว่า เพราะขืนให้พ่อเล่า แม่มดคงจะถูกลากไปอยู่กับตายายบนดวงจันทร์เป็นแน่
กำลังเพลินกับนิทานในความคิด อะไรบางอย่างก็ลอยผ่านดวงจันทร์ช้าๆ ไม่เล็กนักแต่ก็ไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับดวงจันทร์ เหมือนคน นั่งอยู่บนอะไรบางอย่าง ชายผ้ายาวรุ่ยร่าย บนหัวมีอะไรเป็นก้อนๆยับย่นอยู่ เหมือนหมวกแหลม.. หมวกแหลม เธอนึกถึงแม่มด..ถ้าเป็นแม่มด ที่นั่งอยู่ก็ต้องเป็นไม้กวาด ใช่แล้วไม้กวาด ถ้างั้นนั่นก็แม่มดน่ะซี..
แม่มด!! แม่มด!!
เธอตะโกนโหวกเหวก ไม่มีใครในบ้านสนใจ ด้วยความที่เธอเป็นเด็กช่างฝัน นั่งคุยกับตัวเองบ่อยๆจนทุกคนในบ้านชาชินกันหมด
แม่มด!!แม่มด!! เดี๋ยวก่อน! กลับมาก่อน!
เด็กหญิงรีบเรียกเมื่อเห็นร่างนั้นกำลังจะลับหายจากขอบดวงจันทร์ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกมาทำไม แต่โอกาสได้เจอแม่มดนี่คงไม่มีกันบ่อยๆ เธอไม่รู้สึกกลัวแม่มดหรอก คิดมาตั้งแต่ตอนฟังนิทานเมื่อกลางวัน ว่าถ้าแม่มดจะมาทำอะไรเธอก็คงต้องกัดกันสักตั้ง เรื่องกัดนี่เพื่อนๆในห้องกลัวเธอกันหมดทุกคน
ร่างนั้นเลี้ยวโค้งวาบแล้วทิ้งดิ่งลงมาทันที เร็วมากกว่าที่เธอคิดว่าแม่มดควรจะเป็น ยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งเห็นว่ามันเร็วมากขนาดไหน เร็วเสียจนเธอไม่คิดว่าจะหยุดได้ทันก่อนถึงดิน ซึ่งก็ไม่ทันจริงๆ
พลั่ก!! โครม!! ขลุก!ขลุก! ขลุก!
สองเสียงแรกเป็นเสียงของการตกกระทบกับดิน ที่เหลือเป็นเสียงจากการที่แม่มดกลิ้งไปทาง ไม้กวาดกระเด็นไปทาง ไม้กวาดตกลงบนลานดินของเธอ ส่วนแม่มดหายเข้าไปในพุ่มดอกเข็มของแม่ ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง
นี่..
เธอด้อมๆชะโงกหน้าเข้าไปดู
เป็นไงบ้างอ้ะ
อูย
เธอได้ยินเสียงครางลอดออกมาก่อน จากนั้นร่างทึบๆทึมๆก็ค่อยๆคลานออกมา ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะเธอไม่คิดว่าแม่เธอจะชอบ ที่จะให้มีแม่มดมาตายอยู่ในพุ่มดอกเข็มพุ่มโปรด
เป็นไงบ้างอ้ะ เธอถามซ้ำคำเดิม
อูย แม่มดก็ยังไม่ตอบ ยังคงอูยอยู่เหมือนเดิม
กระดูกกระเดี้ยวหักโม้ด.. ไอ้ไม้กวาดบ้า
แกพึมพำเป็นคนแก่ ซึ่งแกก็แก่จริงๆนั่นแหละ หน้าแกยับเหมือนเอากระดาษมาขยำๆแล้วคลี่ออก จมูกงุ้มสวยดีเหมือนกัน ฟันเกๆเหลืองๆ ส่วนตา..อือ..ตาแกดูแปลกๆ ใช่แล้ว.. เด็กหญิงสังเกตเห็นว่าตาข้างหนึ่งของแกเป็นสีดำสนิท ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นสีน้ำตาลอ่อน เด็กหญิงจ้อง จ้อง แล้วก็จ้อง ก็เธอไม่เคยเห็นแม่มดนี่นา จ้องจนแม่มดเริ่มเขิน
จะจ้องอะไรกันนักหนานะ หน้าแกดูแดงๆ ..ก็แดงเท่าที่อายุแกจะอำนวยให้แดงได้ละนะ
จ้องแม่มด
ไม่เคยเห็นหรือไง
ก็ไม่เคยน่ะสิ โธ่.. แม่มดหากันดูได้ง่ายๆที่ไหน วันก่อนพ่อพาไปสวนสัตว์ก็ไม่เห็นมี เธอมองไล่เรื่อยลงมาผ่านชุดผ้าคลุมสีดำรุ่ยร่าย มันดูดำๆมอมๆ เธอไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเดิมมันเป็นสีดำอยู่แล้ว หรือมันดำเพราะแม่มดไม่ซักกันแน่ ผ่านชายผ้าขาดๆเธอก็เห็นเท้าทั้งสองข้างของแม่มด นก..แม่มดมีเท้าเป็นเล็บแหลมๆเหมือนเท้านก ไม่เห็นมีนิทานเรื่องไหนเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนี่นา
ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าแม่มดมีตี..เอ่อ..เท้าเป็นนก ยั้งคำว่าตีนไว้ทัน คุณครูบอกว่าไม่สุภาพ
ไม่มีใครบอกก็เพราะไม่มีใครเคยเห็นน่ะสิ
ทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็นล่ะ
อยากรู้จริงๆเหรอ แม่มดทำหน้าซ่อนเลศนัย แกไม่อยากเล่าเรื่องของแกให้เด็กน้อยนี่ฟังเท่าไหร่หรอก แต่แกมีจุดประสงค์บางอย่าง.. อย่างประเภทจับเด็กกินอะไรอย่างนี้ นี่นานเท่าไหร่แล้วนะที่แกไม่ได้กินเนื้อเด็กน่ะ สองร้อยปี สามร้อยปี ช่างมันเถอะ เพราะพรุ่งนี้แกก็จะพูดได้เต็มปากว่า..ฉันเพิ่งกินเนื้อเด็กไปเมื่อวานนี้เอง..
อยากรู้สิ เด็กหญิงจ้องตาแป๋ว ..ตกหลุมฉันละ.. แม่มดคิด
แฮ่ม!.. อะแฮ่ม!! พอแกกระแอมเตรียมเล่า เด็กหญิงก็เอ่ยขัด
เหมือนพ่อเลย เธอว่า พอพ่อจะเล่าอะไรต้องกระแอมก่อนทุกที
นี่มีพ่อด้วยรึ บางทีแม่มดก็อาจถามอะไรโง่ๆได้เหมือนกันนะ
มีสิ พ่อตัวใหญ่กว่าลุงอาร์ทอีก ..ฉันไม่ได้อยากรู้ว่าพ่อแกตัวใหญ่แค่ไหนเสียหน่อย ว่าแต่ว่าลุงอาร์ทนี่ใครกันล่ะ..
พ่ออยู่ไหน แกทำหน้าหลอกถามเต็มที่
ในบ้าน แม่ก็อยู่ เออ..รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวหนูไปตามพ่อกับแม่ออกมาดูแม่มดดีกว่า ว่าแล้วเธอก็ทำท่าจะวิ่งเข้าบ้าน
ยู้ดดด แม่มดโดดคว้าตัวเด็กหญิงไว้ทัน กลิ่นหอมๆของเนื้อเด็กโชยเข้าจมูก นี่ถ้าไม่ติดกฎละก็ แกคงจะหม่ำมันเสียเดี๋ยวนี้แหละ
ไม่ต้องไปตามหรอก พ่อแม่เธอเขาไม่อยากเจอแม่มดหรอก.. นี่แม่ก็อยู่ด้วยรึนี่..
ทำไมล่ะ
เออ.. แม่มดหาเหตุผลไม่ออก เอาเป็นว่าเขาไม่อยากเจอก็แล้วกันน่ะ ไปข้างๆคูๆมันอย่างนั้นแหละ แสบสีข้างอยู่เหมือนกัน
ถ้าเธอตามพ่อแม่ออกมาฉันก็จะไม่อยู่
ได้ผลเด็กหญิงหันมานั่งสงบอยู่ตรงประตูหลังเหมือนเดิม แถมยังงับประตูเสียด้วย เพราะเดี๋ยวเกิดพ่อแม่เธอได้ยินเสียงคุยกันแล้วเดินออกมา แม่มดก็จะหนีไปเสีย ..นานๆจะเจอแม่มดที ไม่ปล่อยให้หนีไปหรอก.. ซึ่งก็ต้องตรงกันกับทางยายแม่มด ที่คิดว่ายังไงวันนี้ก็ไม่ปล่อยเด็กนี่หลุดมือไปเป็นอันขาด บางทีคงมีใครคนใดคนหนึ่งที่คิดผิด.. เพียงแต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าใครเท่านั้น
พอยายแม่มดเห็นเด็กหญิงสงบนิ่ง แกก็ขยับจะเริ่มต้นเล่า..ครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าฉันถ่วงเวลาได้ครึ่งชั่วโมง ฉันก็จะได้กินยายเด็กนี่.. แกคิดของแก วนไปวนมา
ยาย..น้ำลายไหลอ้ะ เด็กหญิงนับญาติเสร็จสรรพ
อุ้ย !! ..ออกอาการมากไม่ได้ เดี๋ยวมันจะรู้ตัวเสียก่อน.. ต้องเริ่มเล่าแล้ว
พวกที่มีเท้าเป็นนกอย่างฉันเนี่ย เขาเรียกพวกแม่มดบิน ส่วนพวกที่มนุษย์เคยเห็นส่วนใหญ่จะเป็นแม่มดบก
อ๋า..ความรู้ใหม่นะเนี่ย
จริงๆแล้วเมื่อก่อนนี้น่ะ มันมีแม่มดอยู่ประเภทเดียวนั่นแหละ..เราอยู่บนพื้นดิน กิน..เอ้อ..เนื้อเป็นอาหาร เกือบหลุดว่ากินเด็กแล้วไหมล่ะ แต่แล้วก็เกิดสงครามระหว่างแม่มดขึ้น แม่มดฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ของโลกยกพวกเข้ารบกันเป็นที่ชุลมุน เป็นสงครามครั้งใหญ่ทีเดียว ตอนนั้นฉันยังสาวๆอยู่เลย เด็กหญิงแปลกใจเล็กน้อย เธอคิดไม่ออกว่าแม่มดหน้าเหี่ยวๆคนนี้จะเคยเป็นสาวมาก่อนได้ยังไง.. แต่เธอก็ไม่พูดอะไร
ฉันไม่แน่ใจนักว่าตอนนั้นเรารบกันเพราะเรื่องอะไรกันแน่ บางคนบอกว่าทางแม่มดฝ่ายใต้เตรียมตัวจะกวาดล้างพวกเรา ดังนั้นเราจึงต้องชิงลงมือก่อน บางคนบอกว่ามันเป็นเรื่องของการชิงตำแหน่งผู้นำของโลกแม่มด แต่บางคนบอกว่าเป็นเพราะการยุแหย่ของพวกมนุษย์ แต่ไม่มีใครสักคนที่มั่นใจว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริง ถึงอย่างไรก็ตามการรบครั้งนั้นกินเวลาร่วมสี่ปี มีแม่มดล้มตายไปมากมาย สุดท้ายเราเลยต้องจับมือทำสัญญากัน.. แกหยุด เล่าๆไปชักคอแห้ง ไม่ได้พูดได้คุยกับใครมานาน แก่แล้วด้วย คอเลยแห้งเร็ว นี่ได้น้ำซักแก้วคงดี แต่อย่าดีกว่า เดี๋ยวพ่อแม่มันจะรู้ตัว
สัญญาที่ว่าคือเราจะแบ่งเขตกันอยู่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน แต่ขนาดธรรมดาเราก็แบ่งเขตกันอยู่เหนือใต้ของโลกอยู่แล้ว และอย่างที่เห็น มันก็ยังเกิดสงครามขึ้นอยู่ดี ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าต่อไปนี้พวกหนึ่งให้ขึ้นไปอยู่บนฟ้า ห้ามลงมาเด็ดขาด ส่วนอีกพวกหนึ่งให้อยู่แต่บนดินห้ามบินขึ้นไปบนฟ้า เมื่อตกลงกันได้อย่างนี้แม่มดที่แก่ที่สุดของแต่ละฝ่ายจึงลงมือสาปด้วยคาถาต้องห้ามในคัมภีร์อูลูบาบาบีบา อันนี้แกมั่วเอา เพราะแกจำชื่อคัมภีร์ไม่ได้หรอก ก็มันตั้งนานแล้วนี่นา..
เมื่อสาปเสร็จแม่มดฝ่ายเหนือที่ขึ้นไปอยู่บนฟ้าจะลืมวิธีลงมาสู่ดิน และขณะเดียวกัน แม่มดฝ่ายใต้ที่อยู่บนดินก็จะลืมวิธีบินขึ้นไปบนฟ้า..
แล้ววันนี้ยายลงมาได้ไงอ่ะ .. บ๊ะ นังเด็กนี่ฉลาดไม่เบา.. แม่มดคิดในใจ
ในคำสาปมีข้อยกเว้นอยู่ว่าเราจะลงมาได้เมื่อมีคนบนดินเชิญให้ลงมาเท่านั้น และนี่เป็นหนแรกที่แกได้รับเชิญให้ลงมา จงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าไม้กวาดคู่ชีพจะออกอาการดี๊ด๊าจนแกต้องหล่นพลั่กลงมาอย่างที่เห็น สิ่งหนึ่งที่แม่มดไม่ได้เล่าคือทุกครั้งที่ลงมาบนดิน เหล่าแม่มดบินจะมีเวลาอยู่บนพื้นดินได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นและไม่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้คาถาใดๆทั้งสิ้นในครึ่งชั่วโมงนี้ รวมไปถึงการถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำร้ายผู้ที่เรียกลงมาด้วย แต่สิ่งที่พวกแม่มดบินส่วนใหญ่ทำกันก็คือช่วงเวลาที่ครบครึ่งชั่วโมงแล้วต้องกลับขึ้นไปบนฟ้านั้นเป็นเวลาที่เป็นช่องโหว่ของคำสาบ เวลาเล็กน้อยนั่นแหละที่พวกแม่มดจะโฉบเอาเด็กติดไม้ติดมือขึ้นไปบนฟ้าด้วย มีแม่มดเคยทำสำเร็จอยู่สองสามคนและเป็นที่เล่าขานกันเรื่อยมา นับวันนี้ทุกคนจะได้เล่าขานถึงการจับเด็กของแกมั่งละ อูย..น้ำลายไหลอีกแล้ว
ยาย..น้ำลาย
เออ..รู้แล้ว ..ตาเร็วจริงนังเด็กนี่..
แล้วยายอยู่บนฟ้าตลอดน่ะ ยายกินอะไรได้ล่ะ
นกน่ะสิ นกอะไรก็ไดที่พวกแม่มดบินอย่างเราพอจะจับได้น่ะ พูดแล้วแกก็ทำตารื้นๆ โถ..เป็นแม่มดทั้งทีต้องมาไล่กินนก
ทำยังไงอ่ะคะ เล่าให้ฟังหน่อยสิคะ เด็กหญิงอ้อน และก็ดูท่าว่าจะได้ผล
เราก็ขี่ไม้กวาดของเราโฉบไปใกล้ๆนกที่หมายตาไว้ ต้องตัวขนาดพอดีนะ เล็กไปก็ไม่อิ่ม ใหญ่ไปก็ไม่จับกันหรอกเพราะเดี๋ยวมันสู้ขึ้นมาก็จะลำบาก จริงๆแกเคยไล่จับนกอินทรีตัวย่อมๆอยู่เหมือนกัน แต่โดนมันไล่จิกพัลวันจนแทบตกไม้กวาด แต่เรื่องอย่างนี้น่ะ เล่าให้ใครฟังได้ที่ไหนกันล่ะ
พอนกมันเผลอๆเราก็โฉบเข้าไปใกล้ๆ สองมือจับปลายไม้กวาดกดไว้ให้แน่น กางเล็บเท้าออก ตะปบคว้าบ แกเผลอออกท่าทางประกอบ กำมือแน่น เหยียดตีนนกของแกออกแผ่ไปด้วยท่าทางมุ่งมั่น เด็กหญิงหัวร่อกิ๊ก..
จากนั้นเราก็ใช้เท้าที่สวยงามของเราส่งนกเข้าปาก สองมือยังกำไม้กวาดแน่นอยู่ คราวนี้แกไม่ยอมทำท่าประกอบ
ลองนึกภาพดูสิ ว่าพวกเราสง่างามขนาดไหน แน่ะ..อวดอีก
ก็กระโปรงเปิดน่ะสิ
หือ..อะไรนะ
ก็ถ้ายายนั่งบนไม้กวาดแล้วเอาตี..เอ่อ เท้าส่งนกเข้าปาก เกือบหลุดตีนอีกละ ก็กระโปรงเปิดน่ะสิ
เออนะ..ไอ้เรื่องนี้แม่มดก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน กระโปรงมันก็เปิดน่ะสิ..
ไม่หรอกมั้ง ท่าทางแกก็ไม่ค่อยแน่ใจ
เปิดแน่ๆ ย้ำอีกแน่ะ
ฮื้อ..!! เถียงไม่ได้แกก็เริ่มหงุดหงิด เปิดก็ช่างมัน แก่แล้ว อ้างแก่ไว้ก่อน แต่คราวต่อไปถ้าแกจะส่งนกเข้าปากแกคงจะกระมิดกระเมี้ยนขึ้นมากกว่านี้เป็นแน่
ยายไม่แก่หรอก เด็กหญิงฉอเลาะ คนในบ้านบอกว่านอกจากเรื่องกินกับกัดแล้ว ปากเธอช่างปะเหลาะที่หนึ่งทีเดียว จมูกยายยังสวยอยู่เลย ก็มีอย่างเดียวเท่านั้นนี่นะ ที่เด็กหญิงจะพอหยิบมาชมได้
จริงเหรอ คราวนี้แกเผลอยกมือขึ้นลูบจมูก
ตาก็แปลกดี สีไม่เหมือนกัน ดำข้าง น้ำตาลข้าง เธอก็ไม่ได้โกหกนี่นะ บอกแปลก ไม่ได้ชมว่าสวยเสียหน่อย แต่ไปโดนใจแม่มดพอดี
อ้ะ..นี่เห็นด้วยรึนี่ แกทำเหมือนไม่สลักสำคัญ แต่หน้าตาดี๊ด๊าเสียจนเด็กห้าขวบก็คงดูออกว่าแกภูมิใจกับมันขนาดไหน อย่าว่าแต่แม่หนูนี่หกขวบแล้วเลย..
อีกอย่างยายก็ใจดีด้วย นั่งเล่านิทานให้หนูฟังตั้งนานแน่ะ ..เจอหมัดชุดหนึ่ง สอง สาม เข้าไป ยายแม่มดก็อ่อนระทวย
นี่เราดีขนาดนั้นเลยรึ แกพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง ตั้งแต่แกเกิดมา อยู่ร่วมปะปนกับหมู่มนุษย์ แกมีแต่ถูกรังเกียจอยู่ตลอดเวลา เพิ่งมีคราวนี้แหละที่มีคนชมว่าแกสวย เพิ่งมีวันนี้ที่มีคนชมว่าแกใจดี ทุกครั้งที่แกพบเด็กๆ ทุกคนจะมองแกด้วยสายตาที่หวาดกลัว.. บางที ที่แกนั่งเล่าเรื่องราวให้เด็กหญิงฟังอยู่เป็นนานสองนาน ก็เพราะแววตาอยากรู้ที่ใสแป๋วคู่นั้น แกไม่เคยถูกมองด้วยแววตาอย่างนี้มาก่อน
ในนิทานที่คุณครูเล่าให้ฟังนะ มีแต่พวกแม่มดใจร้ายทั้งนั้น หนูเลยนึกว่าแม่มดจะใจร้ายทุกคนเสียอีก อันนี้แม่หนูน้อยแกพูดจากใจจริง
พวกในนิทานน่ะมันพวกแม่มดบกน่ะสิ แน่ะ..ได้ทีแขวะแม่มดคู่อริเสียหน่อย
พวกแม่มดบกน่ะน่ารังเกียจจะตาย พวกนี้กินอะไรรู้ไหม พวกนี้กินงูเป็นอาหาร งูน่ะเคยเห็นไหม แกทำหน้าทำตาขยับนิ้วไปๆมาๆประกอบเต็มที่ ได้ผล แม่หนูนี่ท่าทางแสยงๆแม่มดบกอยู่ เอ..หรือว่าจะแสยงแกก็ไม่รู้นะ..
อื๋อ..
เรามีเพลงร้องถึงพวกแม่มดบกด้วยนะ แกขยับกระโปรง หยิบไม้กวาดคู่ใจมาประกอบท่าเต้น และแกก็เริ่มโก่งคอร้องประกอบการเต้น นี่คงเพราะลูกยอชุดใหญ่เมื่อครู่นั่นแหละที่ทำให้แกกล้าทำถึงขนาดนี้
แม่มดบิน แม่มดบก แม่มดบินกินนก แม่มดบกกินงู เนื้อมีอยู่แค่นี้แหละวนไปวนมา แต่ท่าทางแกเหมือนจะมันมาก ร้องไปเต้นไป ยิ่งหลายรอบเข้ายิ่งมัน มีควงไม้กวาดโชว์ต่างหาก เล่นเอาแม่หนูอ้าปากค้างไป..
ยายเต้นเก่งจัง อ๊ะ..โชว์ใหญ่สิทีนี้ มีท่าอะไรเด็ดๆงัดมาโชว์หมด จนดูท่าว่าจะลืมสังขาร..
กร๊อบ นั่น..กระดูกเอวเคลื่อนแล้วมั้ยล่ะ
เล่นอะไรน่ะลูก เสียงดังเชียว เสียงแม่เด็กหญิงตะโกนมาจากข้างในบ้าน นี่แกเผลอส่งเสียงดังเกินไปแล้ว ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากบอกแม่หนูว่าอย่าบอก แต่ช้าไปแฮะ..
เล่นกะแม่มดค่าาา เธอตะโกนตอบด้วยเสียงร่าเริงเต็มที่ แต่แม่มดใจหายวาบ กุมเอววิ่งแย็กๆพรวดเข้าไปในพุ่มดอกเข็มอีกรอบ ยัยเด็กปากสว่างเอ้ย..
มาเข้าบ้านได้แล้วลูก นี่ดีนะที่แม่เธอไม่เชื่อเรื่องแม่มด
ยาย หนูต้องเข้าบ้านแล้วนะ อ๊ะ..เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้กินเลย แกเหลือบตาดูนาฬิการุ่นโบราณที่แขวนอยู่ปลายไม้กวาดแก เอ๋..นี่มันครึ่งชั่วโมงพอดีนี่นา..หวาน
ฉันก็ต้องไปแล้วเหมือนกันแหละ แกพูดหน้าตามีลับลมคมนัย มายืนส่งฉันตรงกลางลานหน่อยสิ จะได้เห็นเวลาฉันเหาะขึ้นไปด้วย จริงๆกะว่าจะได้โฉบถนัดๆหน่อย
เด็กหญิงออกมายืนตาแป๋วหน้าลาน แม่มดออกมาจากพุ่มดอกเข็ม ขยับกระดูกให้เข้าที่เข้าทาง ขึ้นคล่อมไม้กวาด เตรียมสร้างวีรกรรมให้เหล่าแม่มดเล่าขาน..
ยาย.. อะไรอีกล่ะ
ยายจะกลับลงมาอีกไหม
ก็จนกว่าจะมีคนเรียกอีกน่ะแหละ
งั้นหนูจะเรียกทุกวันเลย
เสียใจนะ คนนึงเรียกแม่มดได้แค่ครั้งเดียวแค่นั้น เธอคงไม่ได้เจอฉันอีกแล้วหละ เพราะเธอจะไปอยู่ในท้องฉันไง
เด็กหญิงหน้าสลด แม่มดเตรียมบิน ขยับตีนนกยึกๆ
ยาย เอ้าเรียกเข้าไป..
หนูจะบอกคุณครู บอกเพื่อนๆ บอกทุกๆคนเลยว่าแม่มดบินน่ะใจดีจะตาย เสียงเครือๆ..
หนูจะบอกว่าทุกคนเข้าใจผิดทั้งนั้นแหละ ถ้าหนูโตขึ้นนะ หนูก็จะเล่าเรื่องยายให้เด็กๆฟัง บอกว่าจริงๆพวกแม่มดน่ะใจดีแค่ไหน
.
เข้าบ้านได้แล้วลูก เสียงแม่ตะโกนซ้ำมาอีกรอบ
ฉันจะบินละนะ แกบอกไม่มองหน้าเด็กหญิง
ยาย แน่ะมีอีก ระวังกระโปรงเปิดนะ
แกค้อนให้หนึ่งที วิ่งสามสี่ก้าวกระโดดพรวดลอยขึ้นฟ้า ลอยพ้นกำแพง ก่อนโฉบวาบมาอีกหน เข้ามาหาเด็กหญิงที่ยืนตาโตมองอยู่..
วูบบบ ลมเฉียดผ่านข้างๆตัวเธอ เธอเห็นมือที่มีเล็บยาวงุ้มของแม่มดโฉบมาข้างๆ อะไรบางอย่างโอบพันรอบคอจนเธอรู้สึกหน่วง..
เก็บไว้นะ เสียงแว่วๆ มาลอยๆ ขณะร่างนั้นจะลอยวาบสูงขึ้นไป ไกลออกไป
เอาไว้เผื่อคนอื่นเขาไม่เชื่อเธอ
เด็กหญิงคลำที่คอมันเป็นนาฬิกาเก่าๆ มีภาษาแปลกๆอยู่บนหน้าปัด มันไม่สวยหรอกแต่มันเป็นของที่ระลึกจากคุณยายใจดีนี่นะ เธอกุมมันไว้แน่น
แม่มดลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมแกถึงได้เปลี่ยนใจเอาง่ายๆ แถมยังยกสมบัติชิ้นรักของแกไปให้อีกแน่ะ.. นี่ถ้าแม่มดคนอื่นรู้คงหัวเราะกันฟันหัก
ช่างเถอะ แกพูดกับตัวเอง หัวเราะได้ก็หัวเราะไป
อย่างน้อยฉันก็บอกได้ว่า นี่ถ้าวันหลังเธอลงไปบนดินแล้วได้ยินคนพูดถึงแม่มดที่แสนใจดีละก็ นั่นฉันเองแหละ
ยิ่งคิดแกก็ยิ่งครึ้ม โก่งคอร้องเพลงแม่มดบินแม่มดบกของแกลั่นฟ้า ดูท่าทางวันนี้แกมีความสุขจริงๆแฮะ
.
อ้อ..เกือบลืมไป ว่ายังมีต่ออีกนิด
บางทีอาจเป็นเพราะทุกคนบอกเธอว่า ทั้งหมดเกี่ยวกับแม่มดที่เธอเห็นนั้นเป็นเพียงแค่จินตนาการ บางทีอาจเพราะเธอเผลอทำนาฬิกาที่มีสายสร้อยเรือนนั้นหายไปเสียแล้ว หรือบางทีอาจเพราะเรื่องราวสนุกสนานอื่นๆที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม เด็กหญิงตัวน้อยลืมเลือนเรื่องแม่มดที่เธอพบไปจนหมดสิ้น..
แต่ทุกครั้งที่เธอได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับแม่มด เธอจะรู้สึกดีและอบอุ่นอย่างประหลาด สำหรับเธอแม่มดไม่เคยใจร้ายเหมือนอย่างที่ใครๆคิด เมื่อเธอเติบโตขึ้น ด้วยความที่มีนิสัยช่างฝัน รักการขีดๆเขียนๆ เธอก็มักจะเขียนเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ใครต่อใครได้อ่านกันอยู่เสมอ และแน่นอนว่าในนามปากกาของเธอก็ต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับแม่มดอยู่เช่นกัน แต่อย่าพยายามเดาเลยนะว่านามปากกาของเธอคืออะไร
..เพราะมันเป็นเรื่องที่เดายากจะตาย..:) ..ใช่ไหม?
9 มิถุนายน 2546 09:05 น.
หมอกจาง
เอาล่ะวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องราวการผจญภัยของห้าสหายกัน แต่ก่อนอื่นคงต้องเริ่มแนะนำตัวก่อนละมั้ง ว่าทั้งห้าสหายนี่มีใครกันบ้าง..
เราจะมาเริ่มกันที่จิมมี่ จิมมี่ดูเหมือนเด็กชายอายุห้าหกขวบ แก้มแดงใส ผมหยิกสีทอง ไม่เคยมีใครรู้อายุจริงของจิมมี่ บางคนบอกจิมมี่อายุ 20 บางคนบอก 50 บางคนก็บอกเกิน 100 ปีแล้วหละ แต่บางคนก็บอกว่าเขาก็อายุห้าหกขวบเหมือนที่เห็นนั่นแหละ..ซี่งเราคงไม่อาจรู้ได้แน่ว่าอายุจริงจิมมี่เป็นเท่าไหร่ ดังนั้นเราควรมองข้ามมันไปเสีย นอกจากเรื่องอายุแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนถกเถียงกันเกี่ยวกับจิมมี่คือสมองของเขา บางคนบอกว่าเขาฉลาดและลึกซึ้งอย่างมาก แต่บางคนบอกว่าเขาโง่บรม ..อันนี้เราน่าจะค่อยๆดูกันไป
สหายที่สองที่ควรพูดถึงคือยายแก่เล่นกีตาร์ที่ชื่อว่า บรอห์ม แกแก่มาก หน้าเหี่ยวๆเหมือนส้มตากแห้ง แกถือกีตาร์เก่าๆตัวหนึ่งที่มีสายกีตาร์อยู่เพียงแค่สามสาย ทุกครั้งที่มีคนถามว่าทำไมกีตาร์แกถึงมีแค่สามสาย แกจะอธิบายอย่างภาคภูมิใจว่าแกเริ่มต้นที่หกสายเหมือนคนอื่นนั่นแหละ จากนั้นแกก็ค่อยลดมาเหลือห้าสาย สี่สาย และสามสาย แกบอกว่าสักวันแกจะเล่นกีตาร์ที่ไม่มีสายให้ได้ แต่แกก็ไม่กล้าหวังอะไรมากนัก เพราะจากสี่สายลดลงมาเป็นสามสาย แกบอกว่าแกใช้เวลาร่วมครึ่งชีวิตทีเดียว ซึ่งถ้าใครได้เห็นหน้าแกก็จะเข้าใจได้ว่ามันนานขนาดไหน..อ้อ..ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งของแกคือการร้องเพลง แกสามารถทำเสียงได้ทุกแบบที่มีบนโลกเมื่อแกร้องเพลง ทั้งเสียงคนแก่ เด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย บางครั้งแกก็ทำเหมือนคนสัก 20 คนมาร้องประสานกันทีเดียว ..
รายที่สามนี่เป็นขวาน มันไม่มีชื่อหรอก เราเรียกว่าเจ้าขวานแล้วกัน เจ้าขวานจะเหน็บอยู่ที่เอวของจิมมี่ตลอดเวลา ช่างพูดที่หนึ่งทีเดียว จิมมี่บอกว่าเจ้าขวานมันสามารถตัดได้ทุกอย่างในโลกถ้ามันอยากตัด ซึ่งเจ้าขวานก็ไม่เคยพิสูจน์ตัวเองให้สมคำของจิมมี่เสียที แต่เราก็ควรเชื่อไว้ก่อน เพราะจิมมี่ไม่ใช่คนชอบโกหกนี่นะ..
ถัดมานี่เป็นม้า เจ้าม้านี่ตรงข้ามกับเจ้าขวานในเรื่องการพูด บทมันนึกจะเงียบมันสามารถเงียบได้เป็นเดือนๆโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะเริ่มพูดอีกครั้ง แต่บทมันจะพูดขึ้นมาก็ไม่มีใครมีปัญญาไปห้ามมันไม่ให้พูดเหมือนกัน มันเป็นม้าที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม จนเจ้าขวานถากถางว่าสมควรไปเกิดเป็นกิ้งก่ามากกว่า นั่นเป็นชนวนให้ทั้งคู่เถียงกันถึงแปดวันแปดคืน บราห์มถึงกับแต่งเพลงที่เล่าขานถึงการเถียงกันครั้งนี้ทีเดียว.. อ้อ เกือบลืม เจ้าม้านี่มีชื่อนะ มันชื่อ วาร์
รายสุดท้ายนี่เป็นแมว แมวสีน้ำตาลอ่อนมีหูและหางสีดำ ชื่อว่านานี นานีเป็นแมวพันธ์พิเศษ มีพลังจิตอยู่ในตัว แต่มันไม่เคยควบคุมพลังจิตของมันได้ บทจะมีก็มี บทจะไม่มีก็ไม่มี เลยไม่ค่อยมีใครหวังอะไรกับพลังจิตของมันนัก
ส่วนเรื่องราวที่ว่าทั้งห้าสหายมาพบมาเจอกันได้อย่างไรนั้น มันเป็นเรื่องที่ยืดยาวมาก เราจะไม่พูดถึงมันในตอนนี้ บางทีวันข้างหน้าถ้ามีเวลา.. ถ้ามีเวลานะ เราค่อยย้อนกลับมาพูดถึงมันกันอีกที..
ตอนนี้ทั้งห้าสหายกำลังล้อมวงคุยกันที่กองไฟหน้ากระโจมหลังหนึ่ง เป็นเวลาหลังจากอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว เราควรย่องเข้าไปฟังกันดีกว่าว่าเขาคุยอะไรกัน.. ชู่ว์..ตามมา..แล้วอย่าทำเสียงดังไปล่ะ
ฉันเริ่มเบื่อกับการเดินทางไปๆมาๆแบบไร้จุดหมายของพวกเราแล้วหละ นั่นเป็นเสียงเด็กๆของจิมมี่ เราขึ้นเหนือ แล้ววกลงมาใต้ ไปทางตะวันออกสามเดือน เดินทางมาทางตะวันตกอีกสามเดือน สุดท้ายเราก็มาอยู่ที่เดิมที่เราเริ่มต้น เราน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างกันบ้างนะ
เปลี่ยนอะไรล่ะ เดินทางไปเดินทางมาสนุกดีออก เสียงทุ้มๆของเจ้าขวานดังขึ้นมา มันช่างพูด แต่มันพูดช้า บ่อยครั้งที่คนอื่นเขาเถียงกันไปถึงไหนต่อไหน มันยังพูดประโยคยาวๆของมันไม่จบเลย
เราควรมีจุดหมายในการเดินทาง จิมมี่ว่า
เช่น.. วาร์เจ้าม้าหลากสี ซึ่งตอนนี้มีสีน้ำตาลตุ่นๆเหมือนสีกระโจมที่มันพิงอยู่เอ่ยขึ้นมาคำเดียวแล้วก็เงียบไป
เช่นหาสมบัติโบราณที่ซ่อนอยู่ ช่วยเจ้าหญิงสักองค์จากปิศาจร้าย หรือไม่ก็ออกตามหาดาบที่หายสาบสูญ อะไรประเภทนี้น่ะ จิมมี่ขยายความ
ฉันได้ยินมาว่ามีสมบัติอยู่ที่เกาะสีมุกที่ทะเลเหนือนะ นานีเอ่ยขึ้น
นั่นถูกโจรสลัดแจ็คขุดไปได้ตั้งนานแล้วหละ เจ้าขวานว่า
งั้นก็ไปช่วยเจ้าหญิงเอลลี่ที่ถูกยักษ์จับไปกันดีกว่า เรื่องนี้ดังมากเลยเมื่อห้าปีก่อน นานีเสนอใหม่
ตอนนี้เขารักกันไปแล้วหละ ได้ข่าวว่าเจ้าหญิงมีลูกกับยักษ์สองคนแล้ว คราวนี้ขัดโดยเจ้าวาร์ ม้าที่มีสีตุ่นๆในตอนนี้ นานีที่โดนขัดคอถึงสองทีก็เลยงอนกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังคากระโจม พยายามเพ่งพลังจิตให้ดาวตกลงมาสักดวง ซึ่งก็เหลวเหมือนทุกที..
งั้นเราควรออกตามหาอะไรดีล่ะ จิมมี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กลัดกลุ้ม ทุกคนเงียบกันไป แล้วเสียงของบรอห์มที่เพิ่งเสร็จจากการตั้งสายกีตาร์ก็เอ่ยขึ้นมา
ฉันว่าเราควรเริ่มการค้นหาจากสิ่งที่เราอยากหานะ ทุกคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจ
หมายความว่าไงบรอห์ม จิมมี่ถามขึ้นมาพร้อมกับเจ้าขวาน แต่ตอนจิมมี่จบคำว่า..บรอห์ม เจ้าขวานยังเพิ่งขึ้นต้นคำว่า ..ว่า..อยู่เลย
ก็ลองคิดดูสิว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากค้นหามากที่สุด แล้วเราก็ออกเดินทางเพื่อค้นหาสิ่งนั้น ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรสำหรับคนอื่น แต่ถ้าเราอยากที่จะค้นมันจริงๆ มันก็มีค่าที่จะออกตามหาใช่ไหมล่ะ
เข้าที.. วาร์พูดแล้วก็เงียบไปอีก ทุกคนดูเหมือนกำลังครุ่นคิดและครุ่นคิด
สำหรับฉันแล้ว บรอห์มเอ่ยขึ้น ถ้าจะออกเดินทางเพื่อค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่งละกัน ฉันอยากจะออกเดินทางหาเสียงของกีตาร์ที่ไม่มีสาย นั่นเป็นความใฝ่ฝันของบรอห์ม
แล้วเราจะหามันได้จากไหนล่ะ เจ้าขวานงง มันเป็นตำราอยู่ในปราสาท หรือสลักลงหินซ่อนไว้ใต้ทะเลแล้วมีมังกรเฝ้าอย่างนี้หรือเปล่า
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บรอห์มว่า นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อให้รู้
ถ้าอย่างนั้นนะ คราวนี้เป็นเจ้าวาร์ที่เอ่ยปาก ฉันก็อยากออกเดินทางตามหาสีของตัวเอง ทุกคนมองหน้าเจ้าวาร์ เจ้าขวานเช่นเดิมที่หยุดปากไว้ไม่ได้
นายก็มีทุกสีที่มีอยู่ในโลกแล้วนี่นา มันท้วง นายใกล้ต้นไม้นายก็เป็นสีเขียว นายใกล้ก้อนหินก็เป็นสีน้ำตาล ถ้านายนอนอยู่ในดงดอกไม้ นายก็มีสีเหลืองสีแดงสีชมพูเต็มไปหมด
นั่นไม่ใช่สีของฉันนี่
ฉันสามารถเป็นได้ทุกสี แต่ทุกสีก็เป็นสีของสิ่งอื่นทั้งสิ้น ไม่เคยมีสักสีที่เป็นสีของฉันเอง ฉันอยากออกตามหาสีที่แท้จริงของฉัน ที่ไม่ใช่สีจากสิ่งรอบตัว จิมมี่กับบรอห์มพยักหน้าหงึกๆ เจ้าขวานยังดูงงงง ส่วนนานีไม่สนใจใคร ยังมองดาวอยู่เหมือนเดิม
จิมมี่ล่ะ บรอห์มหันมาถามจิมมี่
อืมม.. ไม่รู้สินะ จิมมี่ยกมือเกาหัวหยิกๆสีทองของเขา ฉันแค่อยากรู้ว่าไกลที่สุดที่ไหนที่ฉันไปได้ สูงสุดแค่ไหนที่ฉันจะขึ้นไปถึง แล้วก็.. เขายังคงเกาหัวแกรกๆ ความเหนื่อยยากที่สุดที่ฉันจะอดทนได้มันแค่ไหนกัน
มันดูไม่เป็นเป้าหมายเท่าไหร่เลยใช่ไหม จิมมี่หันมาถามบรอห์ม
ฉันว่ามันก็ใช้ได้นะบรอห์มตอบ อย่างน้อยนายก็รู้ว่านายกำลังมองหาอะไร.. นั่นทำให้จิมมี่ยิ้มหน้าบาน
นายล่ะเจ้าขวาน คราวนี้วาร์หันมาถามขวานที่ข้างเอวจิมมี่
จิมมี่บอกว่าฉันตัดได้ทุกอย่างในโลก ถ้าฉันอยากตัด มันพูดช้าๆทุ้มๆ แต่พ่อฉันเคยบอกไว้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ไม่สามารถตัดได้ มันนิ่งไป นี่ถ้ามีมือมันคงกำลังเกาหัวอยู่เหมือนกัน ฉันอยากรู้ว่าอันไหนกันแน่นี่ถูก
นั่นก็นับเป็นจุดหมายนะ บรอห์มบอก
งั้นเราก็มีจุดหมายกันหมดทุกคนแล้วสิ วาร์สรุป
ยัง.. จิมมี่ท้วง นานี..ลงมานี่ก่อน นานีกระโดดแผลวลงมาจากหลังคากระโจม
อะไรจิมมี่
จิมมี่เล่าเรื่องที่ทุกคนคุยกันให้นานีฟัง นานีนั่งฟังเงียบๆ
ดังนั้นพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางเพื่อค้นหาสมบัติจากจุดหมายของแต่ละคน เธอมีล่ะมีจุดหมายอะไร
ฉันไม่มีจุดหมายอะไรนี่ อยู่อย่างนี้ก็สบายดี มันพูดอย่างไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเบื่อๆบ้างนิดหน่อย แต่ไม่นานก็หาย
ถ้าอย่างนั้น บรอห์มพูดขึ้น พรุ่งนี้เราสี่คนจะออกเดินทางหาคำตอบของแต่ละคนร่วมกัน และคงต้องทิ้งเธอให้อยู่ที่นี่
คราวนี้นานีตกใจ มันไม่อยากแยกจากเพื่อนของมัน
ให้ฉันออกไปค้นหาด้วยสิ
เธอไม่สามารถหาคำตอบโดยไม่มีคำถามได้หรอก บรอห์มว่า
ฉันต้องมีคำถามเป็นจุดหมายในการเดินทางใช่ไหม จิมมี่พยักหน้าหงึก นานีนิ่งคิด ทุกคนเอาใจช่วย ไม่มีใครอยากแยกจากนานี นานทีเดียวที่นานีนิ่งคิดอยู่..มันคิดไม่ออก
ฉันคิดไม่ออก
เสียใจนะนานี พวกเราไม่อยากแยกจากเธอ แต่การเดินทางที่ไม่มีจุดหมายจะไม่มีวันไปถึงที่ไหนได้ ดังนั้นเราคงต้องทิ้งเธอไว้ที่นี่ จิมมี่พูดเสียงเศร้า เจ้าขวานพูดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แต่มันช้าและทุ้มเกินไปจนไม่มีใครสนใจฟังมัน ทุกคนเข้าไปนอนในกระโจม นานีกระโดดขึ้นบนหลังคา มองดาวเหมือนเดิม แต่คราวนี้มันไม่ได้พยายามให้ดาวตกลงมาหรอก มันกำลังร้องไห้..
รุ่งเช้าทุกคนเก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทาง ไม่มีใครเห็นนานี
คงไปแล้วมั้ง บรอห์มว่า
น่าจะอยู่ลากันสักหน่อย เจ้าขวานบ่นเสียงเศร้าๆ จิมมี่ไม่พูดอะไร เขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขากำลังหวัง.. นานีไม่ได้เข้ามานอนในกระโจมทั้งคืน บางทีนานีอาจใช้เวลาทั้งคืนคิดอะไรออก..
จะไปกันหรือยังล่ะ เสียงใสๆของนานีดังขึ้น มันนั่งอยู่บนกิ่งไม้ท่าทางพร้อมที่จะออกเดินทาง
เธอได้คำถามแล้วใช่ไหม นานี จิมมี่ร้องถามลั่น คนอื่นๆรอฟังคำตอบของนานีด้วยความหวัง
ยัง.. นั่นทำให้ทุกคนรวมทั้ง บรอห์มหน้าสลดลง
ลาก่อนนานี จิมมี่เอ่ยลา เจ้าขวานไม่พูดอะไร มันกลัวว่ามันจะร้องไห้ ส่วนวาร์ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวของดอกหญ้าก็เดินหน้าเศร้า..
ฉันจะไปกับพวกเธอ นานีเอ่ยขึ้น ฉันไปได้ เพราะตอนนี้ฉันมีสิ่งที่จะตามหาแล้ว
แต่เธอบอกเธอไม่มีคำถามนี่ จิมมี่แย้ง หากแต่ใบหน้าเขาเริ่มมีหวังอีกครั้งหนึ่ง
ใช่ ฉันไม่มีคำถาม นีนายืนยัน ดังนั้นฉันจึงต้องออกเดินทางเพื่อหาคำถามของตัวเอง
จิมมี่ยิ้มกว้าง เจ้าขวานกับวาร์ก็ยิ้ม ทุกคนหันมามองหน้าบรอห์ม
จุดหมายอันนี้พอใช้ได้ไหม บรอห์ม จิมมี่ถามบรอห์มที่กำลังอมยิ้มมองนานีอยู่
เกินพอเลยหละ
ทุกคนเฮกันลั่น ขบวนเริ่มเคลื่อนออกไป เสียงเพลงแห่งความสุขดังขึ้นจากกีตาร์สามสายของบรอห์ม การผจญภัยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ทางไหนล่ะที่พวกเขาต้องย่ำไป? เหนื่อยยากหรือลำบากขนาดไหน? แล้วคำตอบที่สุดปลายทางมันคืออะไร? พวกเขาไม่กังวลกับมันหรอก..
เพราะเหล่านี้ก็อยู่ในสิ่งที่ต้องค้นหาเช่นกัน..
..
26 พฤษภาคม 2546 08:21 น.
หมอกจาง
วันนั้นเป็นวันลมแรง เธอจำได้ไหม วันที่สายลมพัดเส้นผมเธอคลอเคลียแก้ม วันที่เธอยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรถเมล์ วันแรกที่เราพบกัน
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะรู้ไหมนะ ว่าวันนั้นฉันต้องใช้ความกล้าขนาดไหน ในการเดินเข้าไปทักเธอ เข้าไปขอทำความรู้จัก ไปพูดคุย ไปขอเบอร์โทร.. ซึ่งเธอก็ไม่ยอมพูดอะไรกับฉันสักคำ
นับแต่วันนั้น ทุกวัน ฉันจะมารอเธอที่ป้ายรถเมล์เดิม ขึ้นรถสายเดิม พูดคุยอยู่กับเธอทุกวัน จนเธอวางใจที่จะยอมรับฉันเป็นเพื่อน จากจุดนั้น ที่เราค่อยๆพัฒนามันขึ้นมาเป็นความรัก กินข้าวด้วยกัน ไปดูหนัง ไปเดินเลือกซื้อของ ไปทะเล..
จำได้ไหม ที่เธอถามฉันในวันหนึ่ง เธอถามว่าความรักของเราจะยั่งยืนแค่ไหนกันนะ เธอถามขึ้นมาลอยๆ แต่ฉันรู้ว่าเธออยากได้คำตอบที่จริงจัง และวันนั้น ฉันไม่ได้ตอบอะไรกับเธอไปสักคำ.. ฉันเพียงแต่คิด นั่งคิด หาคำตอบที่ซื่อตรงที่สุดให้กับเธอ เพราะฉันรักเธอเกินกว่าที่จะให้เพียงคำสัญญาลมๆ หรือคำรักลอยๆ..
และสิ่งที่ฉันได้จากการครุ่นคิดก็คือ.. ฉันคงไม่อาจบอกเธอได้ว่า จะรักเธอไปชั่วนิรันดร์ เพราะฉันไม่เคยเข้าใจว่าชั่วนิรันดร์มันยาวนานขนาดไหน ไม่อาจสัญญากับเธอได้ ว่าจะรักเธอจนกว่าจะตายจาก เพราะบางที หัวใจฉันก็อาจแปรเปลี่ยนไปได้โดยวันเวลา..เหมือนที่มันเคยเป็นมาหลายต่อหลายครั้ง บอกได้แต่เพียงว่า วันนี้ฉันรักเธอมาก และเชื่อว่าคงจะรักไปอีกนาน ส่วนจะนานแค่ไหน ฉันเองก็ตอบไม่ได้ แต่คงจะนานกว่าที่เธอคิด.. เธอเลือกคิดเอาเองแล้วกันนะ ว่าจะให้มันนานขนาดไหน..
และจากวันนี้ ฉันจะเริ่มต้นเขียนบันทึกทุกวัน เขียนมันส่งให้กับเธอ เขียนทุกๆความรัก ความห่วงใย ความหวังดี และแม้กระทั่งความน้อยใจหรือเสียใจ แล้วส่งมันให้กับเธอ.. ฉันจะเขียนมันให้เธออ่านทุกวัน แต่ทุกครั้งที่เธออ่านจบ ฉันอยากให้เธอฉีกมันทิ้งไปเสีย และรอคอยที่จะอ่านบันทึกฉบับใหม่ของฉัน..
เพราะฉันอยากให้เธออ่านความรักที่ฉันมอบให้เธอในวันนี้ ไม่ใช่ความรักที่เคยมอบให้เมื่อวันวาน และฉันคงไม่อาจเขียนบันทึกของความรักในวันพรุ่งนี้ให้เธอได้ ด้วยว่ามันยังมาไม่ถึง..
และเมื่อเธออ่านบันทึกของฉันจบลงในแต่ละวัน หากเธอไม่ชอบใจ เธอสามารถขยำมันทิ้งไปได้ ฉันสัญญา ว่าจะเขียนมันขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้ และถึงแม้ว่าเธอจะชอบมัน ฉันก็ยังอยากให้เธอทิ้งมันไปอยู่ดี.. เพราะยังมีบันทึกที่ดีกว่าของวันนี้อีกมากมายที่ฉันจะเขียนให้เธอ และฉันเชื่อว่าเธอคงไม่มีที่เพียงพอจะเก็บมันไว้ได้ทั้งหมดแน่ๆ แม้ว่ามันจะถูกเขียนลงบนกระดาษแผ่นบางๆก็ตาม..
รัก