16 พฤษภาคม 2548 10:11 น.
หมอกจาง
ที่บ้านผมจัดได้ว่าป็นบ้านที่รักหมาเลยก็ว่าได้
ตั้งแต่จำความได้ จวบกระทั่งบัดนี้ บ้านผมไม่เคยขาดหมาประจำบ้านเลย มากบ้างน้อยบ้างตามแต่วาระ อย่างน้อยที่สุดที่เคยมีก็หนึ่งตัว ซึ่งไม่นานก็มีมาเพิ่ม ส่วนช่วงมากๆนี่นับได้ร่วมสิบ หน้าตาส่วนใหญ่จะออกไปทางแนวพื้นบ้าน นึกอยู่เหมือนกันว่าอาจจะทำให้ใครที่ผ่านไปผ่านมาเข้าใจผิดเอาว่าที่นี่เป็นสถานเลี้ยงหมาจรจัด..
ถ้าจะให้เล่าเรื่องบรรดาตัวแสบทั้งหลายนี่คงเล่ากันไม่หวาดไม่ไหว เพราะหลายเรื่องหลายตัวเหลือเกิน แต่ก็นึกๆว่าอยากจะบันทึกเรื่องเจ้าพวกนี้เก็บไว้เสียหน่อย ก่อนจะหลงจะลืมไป ตอนนี้ก็เลยแคะคุ้ยเอามาเล่าให้ฟังสักหนึ่งตัวก่อน
มันชื่อไอ้บ๊อก..
ว่าไปไอ้ เจ้าบ๊อกนี่ไม่ใช่ตัวโปรดของผมสักทีเดียวหรอกนะ.. แต่มันมีเรื่องที่ทำให้คนจำมันได้เยอะมาก คุยกันในบ้านว่ามันเป็นหนึ่งในหมาสมองทึบที่สุดเท่าที่ที่บ้านเคยเลี้ยงมาทีเดียวเชียวแหละ..
เจ้าบ๊อกมีพี่น้องร่วมครอกตัวนึงชื่อเจ้าแบ๊ก เกิดมาสองตัว ขาวตัวดำตัว เห่ากันบ๊อกแบ๊กลั่นบ้าน พี่สาวเลยตั้งชื่อรวมๆว่าไอ้บ๊อกแบ๊ก โตมาเลยชื่อบ๊อกตัวนึง ชื่อแบ๊กตัวนึง..
เรื่องของเจ้าแบ๊กนี่ฝากไว้ก่อน เจ้านี่ก็แสบดีเหมือนกัน ไว้มีเวลาค่อยเล่าให้ฟัง..
เจ้าบ๊อกเจ้าแบ๊กนี่เป็นหมาที่ส่ออาการไอคิวน้อยตั้งแต่ครั้งยังเป็นลูกหมา กลางวันวันนึง..เจ้าสองตัวนี้แอบมาลากผ้าขี้ริ้วไปกัดเล่น กัดทึ้งแย่งกันไปมาจนเหนื่อยแล้วก็เลิก ทีนี้พอตกกลางคืนเจ้าสองตัวนี้เห่าขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เห่ากรรโชกเหมือนมีคนแปลกหน้าหรืออะไรน่ากลัวเข้ามาในบ้าน เห่าแล้วร้อง เห่าแล้วร้อง พี่ชายผมก็เลยถือไฟฉายลงมาดู
มีอะไร ไอ้บ๊อกแบ๊ก
เจ้าสองตัวนี้รีบรี่กระดิกหางประจบมาหาพี่ชายผมทันที แล้วก็เห่าต่อ..หันหน้าตรงไปทางลานบ้านด้วยนะ
สักพักพี่ชายผมก็กลับเข้าบ้าน..
มีอะไรรึเปล่าพี่ ผมถาม พี่ผมส่ายหัวถอนใจ แล้วชูผ้าขี้ริ้วในมือ
มันเห็นผ้าขี้ริ้วที่มันเล่นอยู่เมื่อกลางวันกองตะคุ่มๆตรงกลางลาน คงตกใจนึกว่าตัวอะไรหมอบอยู่ เห่ากันใหญ่
.. โถ กลัวผ้าขี้ริ้ว อนาคตรุ่งแน่หมากู..ผมได้แต่นึกในใจ
ยิ่งโต เจ้าบ๊อกมันก็ยิ่งดูสวย ขนขาวสลับจุดใหญ่ๆสีน้ำตาล หางขาวเป็นพวงทำให้ใครต่อใครที่ผ่านมามองดูมันด้วยความชื่นชม แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันโตแต่ตัว สมองไม่พัฒนาตาม..
ตอนนั้นที่บ้านมีหมาเยอะ หลายตัว นอนกันให้เกลื่อน เวลาพ่อหรือใครจะเล่นกับหมาตัวไหนก็เรียกชื่อ บางตัวก็จะกระดิกหางรับ บางตัวพอได้ยินชื่อก็จะลุกเข้ามาหา เป็นเกมส์การเล่นอย่างหนึ่งของที่บ้าน ลองดูว่าเจ้าหมาๆทั้งหลายเนี่ยจะรู้ชื่อตัวเองไหม .. วันนึงพ่อผมนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านก็ลองเรียกมันเล่นๆ
บ๊อก
อ๊ะ.. เริ่มที่เจ้านี่เลย ผมว่ามันคงไม่รู้จักชื่อมันหรอก แต่ปรากฏว่าผมคิดผิดแฮะ เจ้าบ๊อกกระดิกหางวิ่งหูรี่มาทันที ตัวอื่นมองด้วยอาการอิจฉาเป็นแถว
นึกว่ามันจะไม่รู้ชื่ออีกนะเนี่ย ผมพูดกับพ่อ พ่อแกก็ไม่ได้ว่าอะไร ลูบหัวลูบหลังเล่นกับเจ้าบ๊อกด้วยความชื่นชม พอพ่อละมือสักพัก เจ้าบ๊อกเห็นพ่อเลิกเล่นด้วยก็เดินกลับจะไปนอน
เออ..ใครว่ามันโง่กันนะ
แบ๊ก คราวนี้พ่อเปลี่ยนตัวเรียก ผมว่าเจ้าแบ๊กที่ดูฉลาดกว่าน่าจะรู้ชื่อ ขนาดเจ้าบ๊อกมันยังรู้เลย
เป็นดังคาดเจ้าแบ๊กวิ่งกระดิกหางมาตามคำเรียกทันทีออกอาการดีใจนอกหน้า แต่ที่ไม่ได้คาดคือไอ้เจ้าบ๊อกที่กำลังจะล้มตัวลงนอนทะลึ่งวิ่งหน้าเริดมากะเค้าด้วย
อ้าว ไอ้บ๊อกมาทำไม เรียกไอ้แบ๊กมัน พ่อดุ แต่ไอ้บ๊อกก็ทำไม่รู้ (ผมว่ามันคงไม่รู้จริงๆนั่นแหละ) กระดิกหางกระโดดโลดเต้นยั่งกะไอ้ที่เขาเรียกน่ะชื่อมัน เล่นเอาไอ้แบ๊กที่วิ่งมาด้วยเสียความมั่นใจไปพอสมควรทีเดียว
.. แล้วคราวนี้ความจริงก็เลยปรากฏ ไม่ว่าพ่อจะเรียกชื่อตัวไหน เจ้าของชื่อจะมาหรือไม่มา ไอ้บ๊อกมันก็วิ่งดีใจโมเมเอาว่าเป็นชื่อมันทุกครั้งไป จนสุดท้ายคนเรียกก็อ่อนใจ
ตอนแรกก็หลงนึกว่ามันฉลาด รู้ชื่อ
พ่อบ่นพึมพำก่อนเดินเข้าบ้าน..
มีอยู่วันไม่รู้พี่ชายผมไปได้เต่ามาจากไหนตัวนึง ขนาดเขื่องพอใช้ พอพี่ชายถือมาบรรดาลูกสมุนที่บ้านก็โดดดมโดดเห่ากันหน้าสลอน บางตัวทำห้าวจะกัดเต่าเอาด้วยซ้ำจนพี่ชายต้องยกหนี
ฮึ่ย..ไอ้พวกนี้นี่ ไปไกลๆเลย มือที่ว่างอีกข้างยกไล่หมา แถมขายังตวัดไล่ ขาโจ๋ทั้งหลายก็เลยต้องถอยไปตั้งหลักกันห่างๆ พอตัวแสบทั้งหลายกระเจิงไป พี่ชายผมก็เอาเต่าไปใส่ลงในบ่อเลี้ยงปลาหางนกยูงเล็กๆในสวนหย่อม ที่ร้างปลาหางนกยูงไปนานแล้ว..
พอหย่อนเต่าไว้เสร็จ เจ้าหมาทั้งหลายก็กลับมาวนๆดมๆรอบปากบ่อกันสักพักแล้วก็แยกย้ายกันไป มีก็แต่เจ้าบ๊อกที่ทำท่าดมๆอยู่ได้เดี๋ยวเดียวก็กระโจนผลุงลงไปในบ่อโครมเข้าให้
อ้าว ไอ้บ๊อก ผมโวยวายขึ้นมากลัวมันจะไปกัดเต่า
ปล่อยมันซิ ลองดูมัน พี่ชายว่า
ด้วยความที่บ่อมันเล็ก ตัวไอ้เจ้าบ๊อกลำพังก็เต็มบ่อแล้ว ก่อนโดดมันก็คงมั่นใจอยู่ ว่าบ่อแค่นี้ควานพักเดียวก็คงเจอ..
มันเริ่มเอาจมูกดมๆเลาะไปตามขอบบ่อ ไปแถวๆน้ำตรงเท้ามันแล้วก็เริ่มคุ้ย..
จมูกก็ดมขาก็คุ้ยไปไปอย่างขมีขมัน ไอ้ความที่เต่ามันตกใจ ตามสัญชาตญาณ ก็เลยหดหัวไว้ในกระดอง
บ๊อกมันดมไปจนเจอตัวเต่าในเวลาแป๊บเดียว เพราะบ่อมันเล็ก แต่พอไปถึงตัวเต่ามันก็ตื่นเต้นว่าจะได้ตัวแล้วแน่ๆ..
..ต้องอยู่ใต้ก้อนหินนี้แน่ๆ..
ว่าแล้วมันก็เขี่ยไอ้สิ่งที่มันคิดว่าก้อนหินกระเด็นควับไปพ้นทาง แล้วพุ่งเข้าใส่โคลนชุ่มน้ำตรงข้างใต้ทันที..
ซึ่งก็แน่นอน มีแต่ความว่างเปล่า..
บ๊อกมันยังไม่ยอมแพ้ ดมใหม่ๆ
แล้วก็ดมไปเจอหินก้อนเดิม..
ทำไมเต่ามันชอบแอบอยู่ใต้ก้อนหินก้อนนี้จังฟะ.. บ๊อกมันคงคิดอย่างนี้
..ว่าแล้วมันก็เขี่ยเต่ากระเด็นไปอีกทางเหมือนเดิม..
บ่อเล็กนิดเดียว บ๊อกมันหาเต่าอยู่ครึ่งค่อนวันก็หาไม่เจอ จนที่สุดก็ยอมแพ้ขึ้นมาเอง..
ส่วนพวกเราที่ดูอยู่ข้างบนก็ได้แต่หัวร่อกันท้องคัดท้องแข็ง
สิ่งที่มันจะหาอยู่ตรงจมูกมันแท้ๆ มันกลับหาไม่เจอ..
สิ่งที่ดีที่สุดของหมาไม่ใช่สายตา หากแต่เป็นจมูก.. แต่เจ้าบ๊อกมันกลับเลือกที่จะเชื่อสายตามากกว่าจมูกของมัน..
แล้วสิ่งที่ดีที่สุดที่คนเราควรเชื่อล่ะ..
เพื่อนเคยถามผมด้วยคำถามนี้ ผมตอบว่า สมอง.. เพื่อนบอกผมเป็นไอ้บ๊อก แต่มันก็ไม่ยอมเฉลย
.. บางทีคำตอบที่ถูกอาจเป็น หัวใจ ก็ได้มั้ง..
พ่อผมนิยามเจ้าบ๊อกไว้ว่า
..เซ่อ..
ผมฟังที่พ่อนิยามแล้วก็เห็นด้วย
เซ่อ..นี่ต่างจากโง่นะ
โง่คือไม่มีปัญญาคิด แต่เซ่อคืออาการที่ไม่รู้จักคิด
เจ้าบ๊อกมันออกแนวขี้เกียจคิดมากกว่า..
ช่วงนั้นกิจกรรมที่คนในบ้านชอบทำแต่หมาเกลียดที่สุด คือการจับหมาอาบน้ำ
จะว่าชอบก็ไม่เชิง แต่เนื่องจากแต่ละนายและนาง (และนางสาว)ตัวเหม็นๆกันทั้งนั้น วันหยุดขึ้นมาทีก็เลยต้องมีการไล่จับเอามาอาบน้ำกันยกใหญ่
คนก็ไล่จับกันไป หมาก็วิ่งหนีกันกระเจิงไป ทำเหมือนเจ้าของเป็นเทศกิจ
ตอนหลังๆนี่แค่หยิบสายยางปุ๊บ ทุกตัวก็ลุกจากที่ครึ่งเดินครึ่งวิ่งออกไปหาที่ซ่อนกันแล้ว พอหันควับมามองประมาณว่าจับอาบแน่ๆ.. ก็วิ่งกันกระจาย
ให้ทาย ว่าหมาที่เซ่อที่สุดในบ้านอย่างเจ้าบ๊อกถูกอาบน้ำเป็นตัวที่เท่าไร..
ที่สองครับ..
บ๊อกจะถูกอาบเป็นตัวที่สองเสมอ
ทำไมไม่ใช่ตัวแรกล่ะ..
เรื่องคือพอจะจับอาบน้ำปั๊บ ทุกตัววิ่ง บ๊อกมันก็วิ่งด้วย (ไม่รู้มันรู้ไหมว่าเขาวิ่งกันทำไม) แล้วก็จะมีตัวที่อยู่ใกล้มือที่สุดที่หนีไม่ทัน ถูกลากมาอาบเป็นตัวแรก ตัวอื่นๆก็จะกระจายไปหาที่ซ่อนเงียบๆตามมุมต่างๆ
..แต่นั่นไม่ใช้วิสัยของเจ้าบ๊อก
พอเห็นเพื่อนโดนอาบน้ำ บ๊อกมันจะรี่เข้ามาดูทันที..
ตอนแรกก็ดูห่างๆ เริ่มเห่าล้อเลียน
จากนั้นค่อยๆกระเถิบตีวงเข้ามาใกล้ ทีละนิด ทีละนิด.. ยั่วโมโหเพื่อน แอ๊ะ..โดนอาบน้ำ
สุดท้ายเหิมเกริมขนาดเดินมาเดินมาถึงตัว ยกเท้าขวาด้านหน้าวางปั๊บไปบนหัวเพื่อน ทำนองนักเลงโต
..เหยื่อมาถึงตัวขนาดนี้ ใครจะปล่อยล่ะครับ..
พอโดนคนคว้าขาไว้เตรียมที่จะอาบน้ำ
เจ้าบ๊อกมันจะมองหน้า ด้วยสายตาครึ่งกังวลครึ่งสงสัย
..เอ พี่มาจับขาหน้าผมไว้ทำไมน่ะ..
พอเหลือบไปดูเพื่อนที่โดนอาบน้ำอยู่ มันก็เริ่มสำนึกได้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับมัน
คราวนี้เจ้าบ๊อกทั้งดิ้นทั้งตะกายหูตาเหลือก แต่ก็ไม่รอด จำยอมต้องเป็นตัวต่อไปที่โดนอาบน้ำ..
แปลก ที่มันไม่เคยจำ
อาทิตย์ถัดมา จับหมาอาบน้ำใหม่ มันก็ทำซ้ำแบบเดิม แล้วก็ดิ้นรนแบบนีกไม่ถึงว่าจะโดนจับอาบน้ำเหมือนเดิม..
..หากประสบการณ์คือการเรียนรู้จากอดีต บ๊อกมันก็คงเป็นเป็นหมาที่ความคิดบริสุทธิ์ ปราศจากประสบการณ์ใดๆมาแผ้วพานทั้งสิ้น..
เฮ้อ..
แต่อย่างน้อยการมองดูมัน ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้..
ว่าความผิดพลาดใดก็ตาม ที่เกิดกับคุณเป็นคนแรก.. คุณอาจแค่ดวงซวย
ถ้าความผิดพลาดนั้น เกิดกับคุณเป็นคนที่สอง.. คุณก็คงเป็นคนเซ่อ ที่ไม่รู้จักเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
แต่ถ้าเกิดกับคนอื่นก็แล้ว เกิดกับตัวเองก็แล้ว ก็ยังผิดพลาดซ้ำอยู่นั่นแหละ..
..นั่นคุณคงเป็นไอ้บ๊อกแล้วหละ..
ปิดท้ายเรื่องเจ้าบ๊อก ที่ตรงบ้านข้างๆ..
บ้านใหญ่ข้างๆเขาปรับปรุงบ้าน มีกองอิฐสีเทาๆสำหรับก่อสร้างกองอยู่สูงเกือบพ้นกำแพงบ้าน
เวลาตอนเขาเปิดประตู บรรดาลูกสมุนบบ้านผมชอบแวบเข้าไปวิ่งเล่นในนั้น ไม่รู้ทำไม..
เช้าวันหนึ่ง เขาเปิดประตูบ้าน แล้วก็ออกไปทำงาน ปิดประตูไว้เหมือนเดิม
เจ้าบ๊อกมันแอบแวบเข้าไปเมื่อไรก็ไม่รู้..
ทั้งวัน ไม่มีใครเห็นเจ้าบ๊อก
ตกเย็นเวลากินข้าว มันที่มักจะมาเสนอหน้าเป็นตัวแรก ก็ยังไม่มา
ทุกคนเริ่มกังวล ออกไปเดินเรียกหานอกบ้าน เอ..หรือจะโดนรถชนไปแล้วก็ไม่รู้
สักพักก็ได้ยินเสียงเจ้าบ๊อก
อู๊วววววว์ ไม่เชิงหอนแต่เหมือนเรียกขอความช่วยเหลือ
เรียกชื่อมันที มันก็ อู๊ววว์ ที
หาตั้งนาน ปรากฏว่ามันไปนั่งอยู่บนยอดกองหินที่ข้างบ้าน ส่งสายตาละห้อยมาทางบ้านตัวเอง ..ออกไม่ได้ ทำไงดี.
อ้าว ไอ้บ๊อก ไปทำอะไรในบ้านเขาน่ะ พี่สาวผมถามไปหัวเราะไปกับท่าทางของมัน
ไอ้บ๊อกไม่ตอบ
พอเห็นคนหัวเราะหนักเข้ามันคงงอน หันหน้าไปอีกทาง ไม่มองมาทางบ้าน
แล้วก็ถอนใจส่งเสียง อู๊วววววว์ อีกครั้งอย่างอับจนปัญญา
....................................................................................................................
8 เมษายน 2548 13:44 น.
หมอกจาง
วันนี้จริงๆไม่ใช่วันที่เหมาะจะมานั่งเขียนเรื่องสั้น บทความอะไรเลย..
วันนี้มันเป็นวันที่น่าเบื่อและน่าหงุดหงิดที่สุดในโลกสำหรับผมต่างหาก..
แต่ก็เพราะเหตุนี้นั่นแหละ ผมจึงมานั่งตรงนี้ พิมพ์อะไรก๊อกๆแก๊กๆ..
อย่างน้อยใจมันก็สบายขึ้น เวลาที่ได้เขียนอะไรออกมา
...............................................
ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ผมบวชพระ..
ตอนแรกก็คิดจะบวชไปงั้นๆแหละ บวช 8 วัน 10 วัน จะไปได้อะไรนักหนา..
ชีวิตในวัดของผมเลยมีแต่นั่งๆนอนๆ..
ก็พยายามที่จะเป็นพระที่ดีด้วยการเอาหนังสือธรรมะมาอ่านเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ลงอีหรอบเดิม.
ฟุบหลับมันที่หน้าหนังสือนั่นแหละ
บวชแค่ 8 วัน 10 วัน อาจไม่พอที่จะเรียนรู้ธรรมะอะไรให้ลึกซึ้ง แต่ก็เข้าไปเห็นอะไรต่อมิอะไรในมุมมองของ "พระ" บางอย่างเราไม่เคยฉุกใจคิดเมื่อยู่ในฐานะของฆราวาส
เรื่องง่ายๆอย่างนึงก็เรื่องข้าวที่ใส่บาตรนี่แหละ..
เวลาไปบิณฑบาตร ญาติโยมหลายคนหวังให้ข้าวที่ใส่ให้พระนั้นจะหอมน่ากิน บางครั้งด้วยความที่บ้านตัวเองไม่ได้กินข้าวหอมมะลิ เพราะว่ามันเกินฐานะ เวลาใส่บาตรจึงเอาดอกมะลิใส่ลงไปในข้าวด้วย เพื่อที่จะได้หอมๆ..
หารู้ไม่ว่า เจ้าดอกมะลิหอมๆนั้น สร้างปัญหาให้กับพระเวลาจะฉันนัก ฉันกันไปก็ต้องคอยเขี่ยดอกมะลิกันไป บางทีผลุบเข้าปากก็ต้องคายออกก็มี..
ดอกมะลิเหมาะแต่เพียงแค่ดม ไม่เหมาะที่จะเอามากิน..
ประโยคข้างบนนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากวัด..
เวลาออกไปบิณฑบาตร ต้องตื่นแต่ตีสี่ตีห้า ออกมาทำวัตรเช้า แล้วก็ตั้งแถว แบ่งสายเพื่ออกไปบิณฑบาตร ตอนที่บวชอากาศก็หนาวเอาเรื่อง ตั้งแถวไปก็สั่นไป..
พระอาวุโสอยู่หัวแถว ไล่เรียงลำดับไปถึงพระใหม่ที่ท้ายแถว..
บวชใหม่ จีวร สบงอะไรก็นุ่งไม่ถนัดนัก เดินบิณฑบาตรไป ก็ห่วงไปว่าสบงจะหลุด ต้องคอยดึงคอยรั้งกันอยู่เรื่อยๆ เจอบ้านไหนที่มีหมาดุก็มักจะโดนเห่าโดนไล่เพราะว่าอยู่ท้ายสุด จะหนีก็ไม่ได้ต้องสำรวม จะไล่ก็ไม่ได้ ต้องสำรวมอีก ก็ได้แต่นึกว่าไอ้เจ้าหมาพวกนี้นี่มันไม่กลัวเกรงบาปกันเสียนี่กระไร เห่าพระกัดพระนี่หมาจะตกนรกไหมนะ.. เดินไปก็สงสัยไป
บิณฑบาตร ต้องเดินไปกลับราว 6 กิโลเมตร ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่ใกล้ถ้าคิดว่าต้องย่ำเท้าเปล่าไปบนทางลูกรัง หินสีเทาๆก้อนๆที่ปูถนนนั่นแหละตัวดี เหยียบไปก็โหย่งไป เจ็บจนแหยง..
บางครั้งเจอโยมแก่ๆใจดีตั้งแต่ต้นทาง ออกจากวัดได้นิดนึงแกก็มาใส่บาตร เห็นเป็นพระใหม่แกก็ยิ่งใจดี ใส่เรื่อยมาทุกองค์จนครบ พอปิดท้ายที่พระใหม่แกมีกล้วยน้ำว้าหวีงามๆใส่ให้บนฝาบาตรอีกหนึ่งหวี..
ตกลงวันนั้นเลยต้องแบกกล้วยหวีนั้นเดินต่ออีกร่วม 5 กิโล ..
มีอยู่วัน เดินๆเลาะอยู่กันบนริมถนนใหญ่ มีรถกะบะคันนึง แซงปร๊าดผ่านหน้าไปแล้วปาดหน้าแถวพระที่เดินบิณฑบาตรอยู่ทันทีพร้อมเหยียบเบรคฝุ่นตลบ คนขับท่าทางนักเลงใส่เชิ๊ตแบะอก สร้อยทองเส้นใหญ่ ใส่แว่นตาดำ เดินลงมา พระในแถวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก..
แกมาถึงปุ๊บแกก็ควักเงินออกมา เจียดถวายรูปละ 20 บอกว่าเห็นพระแล้วอยากทำบุญ แต่ไม่มีกับข้าว ไม่มีกระทั่งซองใส่เงิน เลยหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าทำบุญกันบ้างถนนใหญ่นั่นแหละ..
นี่แหละนะหัวใจคนไทย เรื่องบาป-บุญ-พระ-เจ้าที่ฝังแน่นในวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง อย่างที่ชาติอื่นยากจะเข้าใจ..
..วันนั้นพอกลับถึงวัด คุยกันถึงเรื่องนี้ หลวงพี่องค์หนึ่งแกหันมาทางผมแล้วบอกยิ้มๆ..
"พอเห็นรถปาดหน้า ผมก็นึกว่าท่านไปมีเรื่องเอากับใครไว้ก่อนบวชเสียอีก" ..เป็นงั้นไป
เด็กวัดก็เป็นอีกสีสันหนึ่งในวัด..
ที่วัดมีเด็กวัดหลายคน แต่ที่ผมจำได้แม่นสุดคือไอ้มุ้ย..
ไอ้มุ้ยอายุราวๆ 6 ขวบได้ เด็กกว่าเขา แต่แสบไม่แพ้ใคร มีอยู่วัน ตอนเย็น มันเข้ามาขอให้ผมต้มน้ำให้เพื่อจะกินมาม่า ผมก็ต้มให้
"ยืมชามกับช้อนด้วย หลวงพี่" เอ้า ขอยืมก็ให้
พอมันต้มมันลวกมาม่าเสร็จมันก็นั่งกินในกุฏินั่นแหละ..
"อื้อฮือ หอมจัง" กินไม่กินเปล่ายังทำหน้าทำตาประกอบเหมือนยั่ว เพราะรู้ว่าพระใหม่ยังไงก็ยังอดหิวมื้อเย็นไม่ได้..
"มุ้ย ออกไปกินข้างนอก".. ก็ยังเฉย สักพักมีเสียงซี๊ดซ๊าดท่าทางว่าอร่อย แถมยังลามปามยกชามมาให้ดมตรงหน้า..
"หลวงพี่ หอมไหม"
"ไอ้มุ้ย" เสียงเริ่มเข้ม "ออกไปกินข้างนอก" มันก็ยังงอแงไม่ออก สักพักก็เอาใหม่
"หลวงพี่ ฉันไหม ผมไม่บอกใครก็ได้" ยังมาทำหน้าทะเล้นใส่ แล้วหลวงพี่ก็เลยฟิวส์ขาด
"ไอ้มุ้ย จะออกไปดีๆ หรือจะโดนพระเตะ"
คราวนี้มันยกชามออกไปแต่โดยดี สงบเสงี่ยม กินเสร็จก็เดินจ๋องเอาชามที่ล้างแล้วมาคืน..
..ส่วนผมก็ต้องไปปลงอาบัติ..
นึกๆย้อนไปแล้ว มีเรื่องราวโน้นนี้ให้จำมากมาย แม้จะบวชไม่กี่วัน แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้อะไรในทางศาสนาเพิ่มขึ้นกว่าตอนก่อนบวชแม้แต่นิด..
แล้วนี่เราจะบวชทำไมนะ..
บวชให้เป็นประเพณีแค่นั้นเองหรือ..
จะดีไหม ถ้าเปลี่ยนให้คนที่บวชต้องบวชนานๆ บวชเพราะรักที่จะบวช จะศึกษาจริงๆ ไม่ใช่บวชแค่ฉาบฉวย พอให้เรียกได้ว่าบวชเรียนมาแล้ว แต่ถ้าอย่างนั้นจะมีสักกี่คนล่ะที่จะบวช ในสังคมอย่างปัจจุบันนี้..
หรือว่าทางที่เป็นอยู่นี้มันก็ดีอยู่แล้ว..
คิดไปต่างๆนาๆ แต่ก็หาคำตอบที่เหมาะใจให้ตัวเองไม่ได้..
จนวันนึง ได้ไปคุยกับเพื่อนสนิทที่บวชทีหลังปีนึง มันก็บวชสั้นๆเหมือนกัน ราว 10 กว่าวัน ถามขณะที่เพื่อนยังครองผ้าเหลือง ว่าบวชแล้วรู้สึกได้อะไรบ้างไหมจากการบวช คุ้มไหมกับการเสียเวลางาน เสียเงินเสียทอง เพื่อมาบวชตามประเพณี..
เพื่อนนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วค่อยตอบช้าๆ
"ไม่รู้สินะ แต่วันที่บวช เห็นโยมแม่ร้องไห้ปลื้มใจที่เห็นชายผ้าเหลืองลูก แค่นั้นก็พอแล้วหละ"
.......................................................
22 กุมภาพันธ์ 2548 23:19 น.
หมอกจาง
เมื่อกี๊เพิ่งอ่านบทความในเวบข่าวผู้จัดการ..
คลิ๊กไปคลิ๊กมาไปสะดุดเข้ากับข่าวภาวะเรือนกระจกของโลกที่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้นๆทุกวัน..
และก็ไปสะดุดโครมเข้าให้กับสาเหตุหนึ่งที่นักวิจัยพากันวิตกกังวล..
..ตดวัว..
ครับ.. ตดวัว
มันอะไรกันนักหนาล่ะเนี่ย..
ตามรายงานข่าว (และรวมไปถึงที่ค้นหาเพิ่มเติมเองอีกเล็กน้อย) เขาบอกไว้ว่า ก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกเนี่ย มีอยู่หลายชนิด ก๊าซมีเทนจากตดวัวก็เป็นหนึ่งในนั้น
..เทียบเป็นสัดส่วนแล้วก๊าซมีเทนเนี่ยมีอยู่ราว 13 เปอร์เซนต์ของก๊าซทั้งหมดที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก ที่เหลือจะหนักไปทางคาร์บอนไดออกไซด์เสีย 76 เปอร์เซนต์ ฟลูออโรคาร์บอน 5 เปอร์เซนต์ และ ไนตรัสออกไซด์ 6 เปอร์เซนต์
ซึ่งพอมาไล่เรียงกันจริงๆแล้วเนี่ย ดูเหมือนว่าสาเหตุส่วนใหญ่ที่โลกร้อนขึ้นมันก็มาจากคนเกือบจะทั้งหมด
คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก นี่มาจาก รถยนต์ทั้งหลายแหล่ แล้วก็จากโรงงานและบ้านเรือนของประชาชนเสียเป็นส่วนใหญ่..
ฟลูออโรคาร์บอนนี่รั่วมาจากตู้เย็น แอร์ กระป๋องสเปรย์
ส่วนไอ้เจ้าไนตรัสออกไซด์เนี่ย มาจากการที่มนุษย์ใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบใส่ลงในดิน..
สำหรับเจ้ามีเทนจากวัว มีคนคำนาณเอาไว้ว่า วัวนมหนึ่งตัวจะปล่อยก๊าซมีเทนออกมาปีละ 114.6 กิโลกรัม หรือถ้าคิดเป็นสัดส่วนระหว่างก๊าซมีเทนกับนมที่ผลิต จะได้ออกมาเป็นก๊าซมีเทน 17 กรัมต่อนมวัวที่รีดได้ 1 กิโลกรัม..
คือวัวน่ะ มันก็ต้องตดตามธรรมชาติของมัน ในกระเพาะต้องมีแบคทีเรียสำหรับไว้ช่วยย่อย ย่อยเสร็จก็ต้องมีก๊าซมีเทนเป็นของเหลือ มันก็ต้องตด แต่ทีนี้นักวิจัยหลายคนกำลังทำว่ามันเป็นเรื่องใหญ่..
ได้ข่าวว่าที่ออสเตรเลียถึงขนาดว่าจะมีการฉีดวัคซีนให้วัวเพื่อลดก๊าซมีเทนลง..
อ่านๆแล้วก็อ่อนใจเลยเอามาบ่น..
ไม่รู้เหมือนกันนะว่ามนุษย์เอาอะไรคิด โทษไปนั่นว่าโลกร้อนน่ะเป็นเพราะตดวัว ทั้งๆที่วัวมันก็ตดของมันมายังงี้ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปีแล้ว..
โลกมันมาร้อนเพราะสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่า"ความพัฒนา" ต่างหากล่ะ.. โรงงานเอย รถยนต์เอย ตู้เย็นเอย สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายแหล่นั่นแหละ..
แต่ก็ดูเหมือนว่ามนุษย์ไม่ได้สำนึกอะไรกันอย่างจริงจังเลย ทำอย่างที่เคยทำ เอาสะดวกตัวเป็นที่ตั้ง แล้วไปโบ้ยใบ้ หาทางกำจัดตดวัว..
วัวมันจะตดไปห้ามมันได้ที่ไหน..
นึกๆ น่าจะจับพวกทีมนักวิจัยตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้ ไปขังรวมกันแล้วห้ามไม่ให้ตดสักอาทิตย์นึง ดูซิจะรู้สึกยังไง..
มนุษย์คุ้นเคยกับคำว่า "โลกมนุษย์" คิดเอาเองว่าโลกนี้เป็นโลกของตัว จะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ใช้สเปรย์แต่งผมทำสวยทำหล่อได้ เปิดแอร์ให้เย็นชุ่มฉ่ำได้ มีตังค์จ่ายค่าไฟเสียอย่าง เผาผลาญน้ำมันเป็นว่าเล่น โดยไม่ห่วงกระไรกับโลก แต่ทีกับเพื่อนร่วมโลกอย่างวัวกลับถูก "ห้ามตด" เพราะมันทำให้โลกร้อน
..บ้าหรือเปล่า..
โลกที่เราพากันโมเมเรียกว่าโลกมนุษย์นั้น ในภาษาวัวมันอาจถูกเรียกว่า "โลกวัว" ในภาษาไก่อาจเป็น "โลกไก่" และก็เป็น "โลกจิงโจ้" ในภาษาจิงโจ้ก็ได้
เพราะจริงๆแล้วโลกนี้มันไม่ใช่โลกของใครหรอก โลกมันก็คือ"โลก" เท่านั้นแหละ โลกที่มนุษย์ พืช สัตว์ อาศัยอยู่ร่วมกัน พึ่งพากัน ไม่ใช่โลกซึ่งมนุษย์เป็นเจ้าของ โดยที่พืช สัตว์และทุกสิ่งทุกอย่างมีหน้าที่รับใช้ความต้องการมนุษย์
ไม่ใช่เลย..
เคยคิดอยู่ ว่าบางทีถ้าเราพากันเรียกโลกว่า "โลก" เฉยๆ แล้วลบคำว่า"โลกมนุษย์"ออกจากพจนานุกรมไปเสีย ความรู้สึกถึงความจริงที่ว่า มนุษย์กับ สัตว์และพืชนั้น ต่างก็ล้วนเป็นเจ้าของ เป็นเพื่อนร่วมโลกกันนั้นอาจจะดูเด่นชัดขึ้น..
อืมม..แต่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก มนุษย์มักจะบอดใบ้ในเรื่องที่เขาเสียประโยชน์อยู่เสมอ..
นึกไปถึงโฆษณาอันหนึ่งที่ฉายเมื่อหลายปีก่อน รู้สึกจะเป็นโฆษณาปุ๋ยตราม้าบิน ที่มนุษย์ต่างดาวลงมากลางทุ่งแล้วเจอควายเข้า มนุษย์ต่างดาวก็เลยทักปั๊บ.. สวัสดีชาวโลก.. คนดูฮากันกลิ้ง
..มานึกย้อนๆไป เอ มันตลกตรงไหนนะ มนุษย์ต่างดาวมันก็พูดถูกนี่หว่า..
-----------------------------------------------------------------
24 พฤศจิกายน 2547 08:58 น.
หมอกจาง
เช้านี้ลมหนาวพัดมาแต่เช้า..
พ่อเฒ่าตื่นตั้งแต่ยังไม่รุ่ง ง่วงงุนอยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อคืนแกนอนไม่ค่อยจะหลับนัก พลิกไปพลิกมาตลอดทั้งคืน แกนึกๆอยู่ว่าแกคงจะแก่เกินกว่าที่จะนอนนานๆได้ เหมือนคำโบราณที่เขาว่าคนแก่นั้นมักจะนอนน้อย เพราะรู้ตัวว่าเหลือเวลาใช้ชีวิตอีกไม่มากนัก
ปีนี้แกก็ย่างเข้าหกสิบแล้ว..
ตั้งแต่แกตื่นมา แกก็หุงหาข้าวไว้กินตามประสา เมียแกตายไปเมื่อห้าปีก่อน ไอ้ลูกหมา ลูกชายคนเดียวของแกก็ทำงานอยู่กรุงเทพ บ้านหลังนี้จึงเงียบ แรกๆแกก็เหงาอยู่ ด้วยเคยพร้อมหน้าทั้งลูกทั้งเมีย แต่พอนานเข้าแกก็ชิน แม้ว่าวันๆนึงจะผ่านไปเหมือนกับวันก่อนๆ แกก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร ความสุขของแกอยู่กับวันวานและวันพรุ่งต่างหาก..
แกใช้เวลาหมดไปวันๆกับการจักสาน สานเข่ง สานตะกร้า กระบุง ได้พอสมควรก็เอาขึ้นรถประจำทางเข้าไปส่งร้านในเมืองเสียทีหนึ่ง บางทีก็มีเพื่อนบ้านมาขอให้สานโน่นสานนี่ให้ แกก็มักทำให้เขาเปล่าๆไม่คิดเงิน ยามที่ลูกชายแกรู้และทักท้วงแกก็มักเตือนลูกยิ้มๆ
เอ็งก็อย่าตีอะไรเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมดสิ คนกันเองทั้งนั้น
จริงๆแกก็รู้ ว่าไอ้ลูกหมาของแกไม่ใช่คนเห็นแก่เงินหรอก มันห่วงพ่อมันต่างหากว่าจะโดนเขาเอาเปรียบ
วันนี้แกก็ลงมาสานตะกร้าอยู่ใต้ถุนบ้านเช่นทุกวัน แม่ไก่พาลูกไก่สี่ห้าตัวคุ้ยหาโน่นนี่กินอยู่ตามโคนเสาเรือน ไอ้บิ๊กหมาสีกระดำกระด่างโดดลงมาจากแคร่ ส่งเสียงงื้ดง๊าดดีใจ
ไอ้บิ๊กนี่ลูกชายแกเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่กลับจากเกณฑ์ทหารนั่นแหละ ตอนนั้นไอ้บิ๊กยังเป็นลูกหมาอยู่เลย
หมาที่กองพันมันออกลูกน่ะพ่อ ผมเลยเอามาตัวนึง เผื่อเอาไว้เฝ้าบ้าน
ลูกของแกห่วงบ้าน ห่วงพ่อ ห่วงแม่มันเสมอ
ตั้งแต่มันยังเล็กๆครั้งแกกับเมียยังรับจ้างเขาทำไร่อยู่ เวลาวันไหนงานยุ่งๆ แกกลับเย็นกลับค่ำ ไอ้ลูกหมามันจะไปนั่งรอแกที่ไร่ จนเพื่อนคนงานด้วยกันแซว
อ้าว รีบเข้าน้าลอง ลูกมารอแล้ว
หิวข้าวหรือยังลูก ถ้าเมียแกตระโกนถามอย่างนี้ไอ้ลูกหมามันมักส่ายหัวว่าไม่หิว บอกให้มันกลับบ้านไปกินก่อน มันก็ยืนกรานว่า
ไม่หิว
แกรู้ว่ามันหิว เพราะทุกครั้งที่กลับถึงบ้านมันแทบจะกระโจนเข้าใส่ชามข้าว แต่มันจะต้องรอกินข้าวกับพ่อกับแม่มัน ทุกครั้ง ทุกมื้อ
ครั้งแรกๆที่มันไปรอแกกับเมียทำงาน พอเมียแกถามว่าหิวข้าวไหม ไอ้ลูกหมามันบอกว่าหิว แกกับเมียก็เร่งมือ จนเกิดพลั้ง มีดตัดอ้อยบาดมือแกเป็นแผลยาว
.. ตั้งแต่วันนั้น ไอ้ลูกหมามันไม่เคยหิวอีกเลย..
มือแกสานตะกร้าไป ใจแกก็คิดถึงลูกแกไป เรื่องโน้น เรื่องนี้ เป็นอย่างนี้ทุกวัน..
ไอ้ลูกหมามันไม่ใช่เด็กเรียนเก่งหรอก หัวมันค่อนข้างทึบ ชอบที่จะออกไปหาปูหาปลาตามประสาของมันเสียมากกว่า ถึงมันจะเรียนไม่เก่ง แต่ครูและเพื่อนๆก็รักมันกันทุกคน มันเป็นเด็กมีน้ำใจ ใครใช้ใครวานอะไรไม่เคยเกี่ยง ถ้าจะมีคนนึงที่ไม่ชอบใจไอ้ลูกหมาของแกนัก ก็คงจะเป็นครูใหญ่นั่นแหละ ครูใหญ่ชอบเด็กเรียนเก่ง เขียนหนังสือสวย ไอ้ลูกหมามันเรียนไม่เก่ง เขียนหนังสือไม่สวย เวลาครูใหญ่ให้คัดลายมือไปส่ง ไอ้ลูกหมาจะโดนตีประจำ
เอ็งจะได้เรียนเก่งๆ เขียนหนังสือสวยๆไง แกจะปลอบลูกอย่างนี้เสมอ เวลาที่รู้ว่าลูกถูกครูตีมา
แกเคยแวะไปหาลูกที่โรงเรียนหนหนึ่ง เพราะไอ้ลูกหมามันลืมกล่องข้าวกลางวัน แกไปเห็นตอนที่ครูใหญ่ตีลูกแกพอดี เงื้อไม้เหมือนจะตีให้ตาย เสียงไม้กระทบเนื้อลูกสะท้อนในอก แกไม่เคยนึกเลยว่าการคัดลายมือไม่สวยจะเป็นความผิดร้ายแรงถึงเพียงนี้
.. แกกลับมานั่งร้องไห้สงสารลูกอยู่ที่บ้านพักใหญ่
ไอ้ลูกหมามันเรียนแค่ ป.6 มันก็เลิก ด้วยคงเข็ดไม้เรียวและเห็นว่าเอาดีทางนี้ไม่ได้ ออกจากโรงเรียนมา มันก็ช่วยแกรับจ้างทำไร่ ได้เงินมาเท่าไรมันก็ให้แกกับเมียหมด แกบอกให้มันเก็บไว้มั่ง ไอ้ลูกหมามักจะบอกว่า
เดี๋ยวค่อยขอเวลาจะใช้
แต่มันก็ไม่เคยขอ จนรุ่นหนุ่มนั่นแหละ ที่มันไปชอบพอกับลูกสาวข้างบ้าน มันถึงกระมิดกระเมี้ยนมา
แม่ขอตังค์สักหน่อย
เอาสิ เอาไปทำไมล่ะลูก เมียแกถาม
ไปเที่ยวงานวัด
ไปกับใครหรือ เมียแกถามเรื่อยๆไปอย่างนั้นเอง มือก็หยิบเงินส่งให้ลูก
มาลัย เสียงงุบงิบตอบ
ใครนะ
มาลัย คราวนี้ดังขึ้นมานิด หน้าแดงจรดต้นคอ แกเลยรู้ว่าไอ้ลูกหมามันมีความรัก
ถึงวัยเกณฑ์ทหาร ไอ้ลูกหมามันจับได้ใบแดง มันต้องไปเป็นทหารอยู่สองปี นั่นเป็นครั้งแรกที่แกต้องห่างลูก แกรู้สึกใจหาย แต่ไม่ได้พูด เมียแกก็คงเหมือนกัน ทุกครั้งที่ไอ้ลูกหมากลับมาบ้าน ข้าวปลาอาหารจะพร้อมสรรพ์กว่าทุกวัน เวลาถามว่าอยากกินอะไร ไอ้ลูกหมาในชุดทหารมันมักจะขอให้แม่ตำน้ำพริกให้กิน
คิดถึง มันมักพูดตอนตักข้าวคลุกน้ำพริกเข้าปาก
.. แกรู้ว่ามันไม่ได้คิดถึงน้ำพริกแม่มันหรอก แต่มันคงเก้อที่จะบอกว่า มันคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อคิดถึงแม่..
ทุกครั้งที่แกเห็นลูกในชุดทหารแกจะรู้สึกว่ามันโก้เต็มประดา ทั้งที่ความจริงลูกแกเป็นแค่พลทหารเท่านั้นเอง
ออกจากทหาร ไอ้ลูกหมามันบอกจะเข้ากรุงเทพ
ไม่กลับมาอยู่บ้านล่ะลูก ช่วยกันทำมาหากินนี่แหละ ไปทำไมกรุงเทพ แกถาม
ไอ้ลูกหมาบอกว่าจ่าทหารที่สนิทกับมันจะลาออกไปอยู่บริษัทยาม ชวนมันไปทำด้วย ได้เงินดี มันบอกจำนวนเงินมา แม้จะไม่เยอะนัก แต่ก็มากโขอยู่สำหรับครอบครัวแก
อือ ตามใจ แกบอกสั้นๆ จริงๆแกอยากให้ลูกอยู่ใกล้ๆมากกว่า
ไอ้ลูกหมามันส่งเงินมาให้แกกับเมียใช้ทุกเดือน แกรู้ว่ามันส่งมาเกินครึ่งของเงินเดือนมัน แกบอกให้มันเก็บไว้บ้าง แต่มันยืนยันว่าพอใช้
กินข้าวที่บริษัท นอนที่บริษัท ไม่ต้องใช้เงินหรอก ไอ้ลูกหมามันว่า
มันทำงานสักพัก เมียแกก็ตาย ไอ้ลูกหมามันร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร มันว่ามันยังไม่ได้บวชให้แม่เลย
หลังจากนั้น ไอ้ลูกหมามันขอให้แกเลิกทำงานรับจ้าง อยู่กับบ้านเฉยๆ เดี๋ยวมันจะเลี้ยงเอง เงินที่มันส่งให้ แกอยู่ได้สบายๆไม่ขัดสน แต่ว่างนักแกก็เบื่อ เลยสานโน่นสานนี่ไปตามเรื่องตามราว
ปีๆนึง ไอ้ลูกหมามันได้กลับบ้านไม่กี่ครั้ง ปีใหม่ สงกรานต์มันก็ไม่ได้กลับ มันบอกว่าช่วงนั้นคนทำงานมีน้อย ใครทำช่วงนั้นได้เงินดี มันมักกลับต้นๆธันวาแทนปีใหม่ของทุกปี แรกๆแกก็ไม่ได้สังเกต ตอนหลังแกเพิ่งเอะใจ ว่าไอ้ลูกหมามันกลับมาทุกวันพ่อ
เมื่อไรเอ็งจะเอาเมีย แกเคยถามลูกชาย
ไว้เก็บเงินเก็บทอง ให้แน่ใจว่าพ่ออยู่สบายก่อนค่อยคิด มันว่าอย่างนั้น แกก็ได้แต่ลูบหัวลูก
เอ็งไม่ต้องห่วงพ่อหรอก แกพูดไปทั้งรู้ว่ามันคงไม่ฟัง..
นี่ย่างเข้าปลายพฤศจิกาแล้ว อีกสักสองอาทิตย์ไอ้ลูกหมาคงกลับมาบ้าน แกสานตะกร้าไป ยิ้มไป
ลุงลอง ลุงลอง เสียงเรียก ระคนเสียงเห่าของไอ้บิ๊ก ยายไหมคนข้างบ้านวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
ไอ้ดำลูกลุงมันชื่ออะไร ไอ้ดำเป็นชื่อเล่นที่ใครๆเรียกไอ้ลูกหมาของแก
พอแกบอกชื่อจริงไป ยายไหมทำท่าเหมือนจะเป็นลม
หนังสือพิมพ์บอกมันโดนยิงตายเมื่อคืน
..ทุกอย่างเหมือนหยุดลงฉับพลัน แกไม่รู้สึกอะไร ทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า ความว่างที่เย็นเยียบ หนาวในลมหนาวเหมือนจะแทรกวาบเข้าไปในไขสันหลัง
แกรับหนังสือมาด้วยมือสั่นเทา แกพยายาม แต่แกมองหาข่าวนั้นไม่เจอ อะไรต่อมิอะไรดูเบลอไปหมด ยายไหมต้องชี้ให้ดู นั่นรูปไอ้ลูกหมาบนหนังสือพิมพ์ ยายไหมแกชี้ไปพลางเล่า..
..แกจับความได้ว่า ไอ้ลูกหมาของแกไปเป็นยามอยู่ที่หมู่บ้านหรู แล้วเกิดไปมีเรื่องกับลูกคนใหญ่คนโตเข้า ด้วยว่ามันขอตรวจค้นรถเขาตามระเบียบของทางหมู่บ้านที่ต้องตรวจค้นรถแปลกปลอมทุกคันที่เข้าออก มันก็แค่ทำตามระเบียบของมัน แค่นั้นเอง แต่ลูกชายผู้กว้างขวางไม่พอใจ หาว่าไม่ให้เกียรติ เลยวนรถกลับแล้วชักปืนออกมายิงไอ้ลูกหมาของแกตาย..
ลุงๆ เป็นอะไรหรือเปล่า ยายไหมเพื่อบ้านสะกิดเรียกเมื่อเห็นแกนั่งนิ่ง ไม่ร้องไห้ ไม่ฟูมฟาย
แกเบือนหน้าหลบไปอีกทาง เงยขึ้นมองฟ้า เม้มปากกลั้นเสียงอะไรก็ตามที่จะลอดออกมา แกส่ายหัวไปมาน้อยๆ น้ำตาไหลลงเป็นทาง
..ทำไมถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกันด้วยนะ..
แกได้แต่คิด ได้แต่ไม่เข้าใจ
คนที่สำคัญที่สุดที่เหลืออยู่ในชีวิตของแก มีค่าเพียงแค่นั้นเองหรือในสายตาคนอื่น ค่าน้อยจนพร้อมจะถูกยิงทิ้งได้ทุกเมื่อด้วยสาเหตุเล็กๆเพียงเท่านั้น..
.. แกคิดถึงไอ้ลูกหมาของแก วันพ่อนี้แกคงได้แค่กอดกระดูกมัน..
6 ตุลาคม 2547 09:21 น.
หมอกจาง
สายลมนอกหน้าต่างพัดอยู่เงียบๆ สม่ำเสมอ พาการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลใหม่ค่อยคืบเคลื่อนเข้ามา..
แดดจ้า ฉันรู้สึกตัวว่าขืนนอนขี้เกียจอยู่ต่อไปคงไม่ดีแน่ ค่อยลุกขึ้นจากที่นอน อย่างแช่มช้า เกียจคร้าน ไม่รู้ว่าใจหรือกายที่คร้านจนไม่อยากที่จะลุก บางที อาจจะทั้งคู่..
กับกาแฟหนึ่งแก้ว ฉันไปนั่งอยู่ที่ประจำหลังบ้าน ซึ่งเงียบและสงบจนน่าแปลกใจ ยิ่งเป็นยามสายวันอาทิตย์อย่างนี้ด้วยแล้ว ความเงียบนั้นเหมือนว่าจะทำให้กำแพงสีเขียว เรือนเก็บของหลังเล็ก หลังคาปูหญ้าฟาง และดอกไม้ใบไม้ที่งอกเงยขึ้นงามอย่างเงียบๆ ช่วยกันหมุนโลกย้อนกลับไปสักยี่สิบปี ยี่สิบปีก่อนครั้งเมื่อฉันยังเป็นเด็ก มีบ้านเป็นแพที่ลอยอยู่ริมแม่น้ำ..
ในความสงบ นึกอยากอ่านหนังสือ อยากเขียนหนังสือ..
การอ่านและการเขียนหนังสือ ต่างก็เป็นความรื่นรมย์ แต่รสชาติของความรื่นรมย์นั้นผิดกัน การได้อ่าน ได้ซาบซึ้งและเรียนรู้ ก็เป็นความสุขแบบหนึ่ง การได้เขียน สิ่งที่เรารู้เราคิดอยู่ในใจออกมาเป็นเรื่องเป็นราวก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง..
.. แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ในช่วงหลังๆนี้ถ้อยคำที่ฉันอยากเขียนเหมือนว่าจะวิ่งหนีหายไปจนหมดสิ้น..
..บางครั้งก็เหมือนยามที่เราจะได้เจอคนที่คิดถึงหนักหนา คล้ายว่ามีเรื่องราวต่างๆมากมายจะบอก จะเล่า แต่พอเมื่อได้พบหน้ากันจริงๆ กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไร..
บางที ฉันอาจคิดถึงการได้เขียนหนังสือมากไปหน่อยก็เป็นได้
ในสายลมที่พัด ฉันนั่งดูต้นหญ้า..
หญ้าที่ขึ้นกันเป็นลานอยู่หลังบ้านไกวไปมาเหมือนล้อเล่นอยู่กับลมอย่างสนุกสนาน ฉันอดยิ้มให้กับมันไม่ได้..
เธอรู้ไหม ว่าครั้งหนึ่งต้นหญ้าเคยสอนให้ฉันเข้าใจชีวิตมากขึ้น..
บางช่วงของชีวิตที่ทุกคนน่าจะเคยเจอ วันเวลาที่ดูเหมือนทุกอย่างจะเลวร้ายไปหมด เรื่องทุกข์ร้อนต่างๆนาๆ โถมเข้ามาเหมือนดังกับว่าจะแกล้ง..
ใครแกล้ง.. ฉันโทษว่าคนบนฟ้าแกล้ง
ฉันรู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไร มันเลวร้ายเสียจนยิ่งกว่าความบังเอิญ เหมือนใครก็ตามที่อยู่บนฟ้า ที่มีอำนาจเหนือสิ่งต่างๆบนพื้นโลกเกิดหมั่นไส้เราขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ..
แล้ววันนึงที่ฉันเดินผ่านทุ่งหญ้า ฉันหยุดมอง ยกเท้าขึ้น หญ้าข้างล่างยุบลงไปเป็นรูปฝ่าเท้า..
วันนั้น ฉันหัวเราะเยาะตัวเอง..
ถ้าหญ้าต้นใดต้นหนึ่งที่ถูกฉันเหยียบ ลุกขึ้นมาโวยวายหาว่าฉันเลือกที่จะเหยียบมัน ด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว ในฐานะว่ามันเป็นหญ้าที่โดดเด่น ที่ไม่ยอมสยบให้ฉัน หรืออะไรก็ตามแต่ ฉันก็คงหัวเราะเยาะมันเหมือนอย่างที่ฉันหัวเราะเยาะตัวเองนั่นแหละ..
โถ..หลงตัวเองอะไรขนาดนั้นเจ้าต้นหญ้า ใครเลยจะใส่ใจว่าหญ้าต้นหนึ่งแตกต่างอย่างไรจากหญ้าอื่นๆในสนาม และเมื่อไม่เห็นความแตกต่าง แล้วจะเลือกปฎิบัติได้อย่างไร..
ฉันก็เป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กคนนึงแค่นั้นเอง.. หากคนบนฟ้ามีอยู่จริง ฉันก็คงไม่สลักสำคัญอะไรที่เขาจะต้องมาใส่ใจกลั่นแกล้ง..
มันเป็นแค่ความบังเอิญแค่นั้นเอง เหมือนเท้าที่เหยียบลงไปในทุ่งหญ้านั่นแหละ แล้วมันก็จะผ่านไป..
วันนี้ ฉันเป็นต้นหญ้าที่สดใส ล้อลมเล่นได้ดังเดิม..
ฉันยังคงนั่งอยู่อย่างเกียจคร้านที่บนเก้าอี้หลังบ้าน แก้วกาแฟว่างเปล่าวางบนโต๊ะ กระดาษและปากกาวางอยู่ถัดออกไป บนหน้ากระดาษนั้นว่างเปล่า..
..ตัวหนังสือหายไปไหนแล้ว..
ลมคงพัดไปเสียแล้วกระมัง
ฉันหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอะไรยุกๆยิกๆบนกระดาษ
ตัวหนังสือโย้ๆเย้ๆ บทกวีบูดๆเบี้ยวๆ..
สายลมจากทิศเหนือ
พัดมาแผ่วแผ่ว
นกน้อยทบทวนเพลงเมื่อปีก่อน
เงาใบไม้ไหววูบวาบ
คงเพราะสายลมพัด
พัดใบไม้ไกวหรือพัดจนแดดไหว
ด้วยคำถามที่มากมาย
ฉันจึงวุ่นวายกับการค้นหาคำตอบ
วันนี้ฉันหยุดตั้งคำถาม
ฉันก็ได้รู้ว่าคำตอบเหล่านั้น ช่างจำเป็นน้อยกระไร
ฉันเขียนเอง อ่านเอง มันแลดูตลกจนไม่คล้ายบทกวี แต่ฉันถือว่าอะไรที่เขียนออกมา ฉันก็จะยอมรับมันตามแต่ที่มันจะออกมานั่นแหละ
บางที วันนี้ไม่ใช่วันดีสำหรับฉันที่จะเขียนหนังสือจริงๆ
ฉันวางทุกอย่างลง เอาเก้าอี้สามตัวมาต่อกันเข้า แล้วเอนกายนอน ในสายลมที่พัดคลอๆ ในแดดยามสายที่ทออยู่ตรงริมชายคา ในวันที่นอกจากเสียงนกร้องแล้วไม่มีอะไรนอกจากความเงียบ..
..ช่างมันเถอะ เจ้าตัวหนังสือ บางที เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะนับเป็นความสุขสำหรับฉัน ในวันที่แสนเกียจคร้านอย่างนี้..