4 สิงหาคม 2549 22:27 น.
หมอกจาง
ในโลก มีเรื่องราวอยู่มากหลาย
ทั้งเรื่องที่ถูกเล่า และเรื่องที่ไม่ได้ถูกเล่า
บางครั้งบางครา เรื่องที่เคยถูกเล่า ก็อาจถูกหลงลืมไปกับกาลเวลา
หลงลืมอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนี้..
เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่เคยถูกเล่าและอาจเคยถูกหลงลืมไป
อย่าเพิ่งสนใจเลยว่าใครเป็นคนเคยเล่า และเล่าไว้ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร..
คำพูดอาจหยาบกระด้าง อาจเพราะคนเล่าเป็นคนหยาบ หรืออาจเพราะผู้เล่าเขาเล่าให้กับเพื่อนที่สนิทชิดเชื้อฟัง น้ำเสียงน้ำคำจึงมิได้ระวังนัก
แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด..ก็ยังอยากที่จะเก็บมาฝาก..
เปิดโอกาส..ให้เรื่องมันได้เล่าตัวเองซ้ำอีกสักหน..
............................................
ตอนเด็กๆ กูเคยอยากได้ของเล่นชิ้นนึง เก็บเงินอยู่พักใหญ่เพื่อที่จะไปซื้อ ยอมอดขนม..
แม่กูรู้ว่ากูเก็บเงิน แต่ไม่รู้ว่ากูเก็บเพื่ออะไร กูยังไม่บอกแม่
พอวันที่จะไปซื้อ กูบอกแม่ว่ากูจะไปซื้อของอันนี้ๆนะ อยากได้มานาน แม่มีท่าทีไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะเห็นว่ากูอุตส่าห์เก็บเงินเอง..
พอกูไปถึงร้านของเล่น กูนึกถึงแม่ คิดตามประสาเด็ก ว่าแม่คงไม่อยากให้กูเสียตังค์ที่เก็บมาไปกับของเล่น..
แล้วกูก็เหลือบไปเห็นที่จับสลากเป็นแผงๆ (มึงเคยเห็นกันใช่ป่ะ?) ที่จ่าย 1 บาท เลือกได้ 1 เบอร์ แล้วมีรางวัลเป็นของเล่น เป็นไพ่ เหล้า แบงค์10 แบงค์20
ถ้า่กูจับสลากได้เงิน กูจะเอาเงินไปซื้อของเล่น เอาเงินที่เก็บกลับไปอวดแม่ แม่คงดีใจ..
แต่มึงเชื่อมั๊ยว่าเงินทั้งหมดที่กูเก็บมาเกือบอาทิตย์หายไปกับไอ้สลากเหี้ยๆนั่นภายในเวลาไม่นาน..
ของเล่นกูก็ไม่ได้ เงินก็หมด ที่เหลือในมือ มีเพียงไพ่กระดาษหนึ่งสำรับเป็นรางวัลปลอบใจ
กูกลับไปหาแม่ ตีสีหน้ารื่นเริง.. บอกกูไม่เอาของเล่นที่บอกไว้แล้ว กูเอาไพ่มาแทน ดีกว่า ถูกกว่าด้วย..
กูคงมีพิรุธ ไม่เนียน อีกอย่างแม่ก็รู้จักกูดี ถามไปถามมาสุดท้ายกูก็ยอมรับ ว่ากูเอาเงินไปเล่นสลากจนหมด
แม่กูไม่พูด ไม่ด่า ไม่ตี
จำได้ว่าวันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว
กูเห็นน้ำใสๆหยดลงมาข้างตาแม่ ไม่รู้ว่าเหงื่อ หรือน้ำตา
แม่พูดออกมาแค่คำเดียว
"ทำไมต้องโกหกแม่.."
กูเจ็บยิ่งกว่าแม่จะมาด่ามาตีกูเสียอีก..
กูจำได้ว่าวันนั้นกูสัญญากับแม่ ว่ากูจะไม่โกหกแม่อีกต่อไป
ตราบจนแม่ตาย กุไม่เคยผิดสัญญาแม้สักครั้ง..
กูสัญญากับตัวเองตั้งแต่วันนั้น ว่ากูจะไม่เล่นการพนันอีกเด็ดขาด
มันทำให้แม่กูร้องไห้..
จนถึงวันนี้.. กูก็ยังไม่เคยผิดสัญญา
---------------------
3 สิงหาคม 2549 20:24 น.
หมอกจาง
ต้นไม้แห้ง
มีแต่กิ่งก้าน ไม่มีใบ
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงผ่านไป ฤดูหนาวจะตามมาเสมอ
ใบไม้ของเธอ..ร่วงไปนานแล้ว
และตอนนี้ เธออยู่ในฤดูหนาว..
.
.
.
.
กี่วันแล้วนะ
71 วันแล้วที่เธอไม่เจอเขา
71 วันแล้วที่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่เธอรักมากที่สุด ได้เดินออกจากชีวิตของเธอไป
วันนั้นเป็นวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง
วันนี้ เธอหนาว..
.
.
.
.
ฤดูหนาวที่นี่ บางวันฟ้าจะเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม
ลมหนาวพัดแรง
บางปีจะมีฝน แต่ปีนี้ฝนน้อย
เธอซึมเศร้า เธอหดหู่
เธอโทษว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะฤดูหนาว
บางที.. ถ้าแค่เพียงอากาศสดใสกว่านี้
มีใบไม้ผลิใบ มีดอกไม้
มีนกร้องเพลงอยู่ริมหน้าต่าง
เธอคงลืม เขา ได้ในไม่ช้า
เธอคงพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่และก้าวไปข้างหน้า
ถ้าเพียงแต่ฤดูหนาวนี้ผ่านพ้นไป
.
.
.
.
เธอรอคอย
ทุกๆวันที่เธอนับวัน เธอจะมองออกไปนอกหน้าต่าง
มองดูต้นไม้ต้นเล็กๆในสวนหลังบ้าน ที่เหลือแต่กิ่งก้าน
สักวัน..เมื่อมันผลิใบแรก
แทนสัญญาณแห่งฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อนั้นเธอจะลืมเขาได้เสียที
เธอบอกกับตัวเอง
.
.
.
.
เธอเฝ้านับวัน
รอคอยการเริ่มต้นใหม่อย่างใจจดใจจ่อ
แต่เช้าจรดเย็น เฝ้ารอคอยใบไม้ใบแรก
ลมหนาวพัดเบาลง
อากาศอุ่นขึ้นทีละน้อย
แต่ใบไม้ใบแรกก็ยังไม่ผลิ
เธอยังคงจมอยู่กับความเศร้า
.
.
.
.
จนวันหนึ่ง ที่แดดจ้า อากาศอุ่นจนเกือบร้อน
เธอเหลือบดูปฏิทิน
น่าจะย่างเข้ากลางฤดูใบไม้ผลิแล้ว
ทำไม ใบไม้ยังไม่ผลิใบ ?
ทำไม เธอยังไม่หายเศร้า ?
.
.
.
.
เธอลุกออกจากเก้าอี้ริมหน้าต่าง
เดินออกไปยังสวนหลังบ้าน
เธอได้ยินเสียงนกร้อง
เธอได้กลิ่นดอกไม้
และเมื่อเธอเอื้อมือไปสัมผัสต้นไม้ต้นนั้น
ต้นที่เธอเฝ้ามองดูอยู่ทุกวัน
เธอก็ได้รู้..ว่าทำไมใบไม้ใบแรกถึงยังไม่ผลิ
.
.
.
.
ต้นไม้ต้นนั้นตายแล้ว..
.
.
.
.
นับแต่วันที่เขาจากไป
เธอก็ไม่เคยก้าวย่างออกไปยังสวนหลังบ้าน
เธอไม่เคยรดน้ำ ไม่เคยพรวนดิน ใส่ปุ๋ย
เธอไม่เคยลุกขึ้นลงมือทำอะไร
เธอได้แต่รอคอย
รอคอยใบไม้ใบแรก
รอคอยให้การเริ่มต้นใหม่มาถึง
.
.
.
.
เธอเพิ่งจะรู้ตอนนั้นเอง
ว่าเพียงแค่การรอคอย
บางครั้ง มันก็ไม่เพียงพอ
12 มิถุนายน 2549 09:58 น.
หมอกจาง
สเปคผู้หญิงที่คุณชอบเป็นแบบไหน ? ดวงตากลมดำใต้คิ้วเรียวสวยหันมามองหน้าผมขณะถามคำถามนี้..
.
.
.
.....................................................
คืนนั้นอากาศหนาว หนาวเหมือนคืนนี้
เราสองคนเดินเคียงกันเลียบถนนยามดึกที่ร้างผู้คน นานๆถึงจะมีรถผ่านมาสักคัน
เป็นเรื่องปกติที่ผมจะเดินไปส่งเธอที่บ้านหลังเลิกงานก่อนที่จะจับรถเมล์กลับบ้าน.. งานที่เราทำนั้นเลิกดึกพอสมควร
ทุกครั้ง เราต่างคุยนั่น คุยนี่ สัพเพเหระ แต่วันนี้จู่ๆเธอก็ถามขึ้นมา
สเปคผู้หญิงที่คุณชอบเป็นแบบไหน ? พอถามเสร็จร่างสูงสวยก็เดินเลยไปข้างหน้าทิ้งช่วงสักก้าวสองก้าว ไม่ยอมที่จะสบตากับคำตอบ
.
.
.
.
คืนนั้นผมตอบอะไรไปบ้างนะ ?
ชอบคนสวยไง 55
สูงพอประมาณมั้ง
ไม่รู้สิไม่มีสเปคหรอก หน้าตายิ่งแย่ๆอยู่ เลือกมากเดี๋ยวไม่มีแฟนกันพอดี
แค่ไม่อ้วนก็พอ
อะไรนะ อืมม ไม่นะ ไม่รู้เหมือนกันทำไมผู้ชายชอบหน้าอกใหญ่แต่ผมไม่ชอบแฮะ ..คือคำตอบเมื่อถูกถามว่าผู้ชายเค้าชอบผู้หญิงอกใหญ่ๆกันไม่ใช่เหรอ.. คนถามน่ะถูกแซวอยู่บ่อยว่าจอแบน
.
.
แต่ก็เป็นทีวีจอแบนที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา
.
.
กว่าจะถึงบ้านเธอ ผมตอบอะไรออกไปมากมายหลายอย่าง แต่เมื่อมาคิดทบทวน มันไม่ต่างอะไรเลยกับไม่ได้ตอบ
.
.
.
.
จริงๆ ผมไม่ได้ตอบต่างหาก
..........................................
นานเท่าไหร่ ? ปีนึงแล้วมั้งจากวันนั้นน่ะ..
มีอะไรมากมายเกิดขึ้นระหว่างเรา มันไม่สวยงามหรอก และสุดท้ายก็จบอย่างเจ็บปวด จบอย่างค้างคาใจ
ฉันเพิ่งรู้..ว่าที่ผ่านๆมาคุณไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของฉันเลย
หนึ่งในข้อความที่ถูกส่งผ่านมือถือ ที่ผมยังคงจำมันได้แม่นยำในความรู้สึก
.
.
.
แต่เรื่องมันก็จบไปแล้ว
.
.
และคำถามที่เธอถามคืนนั้น ผมยังก็ยังคงไม่ได้ตอบเธอ..
...............................................................
คุณ..
.
.
คุณจำได้ไหม..
.
.
ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนที่เลี้ยงลูกหมาขนฟูปากเปราะ คนที่ผมไปตามเทียวไล้เทียวขื่ออยู่ร่วมสองปี และสิ่งที่ได้กลับมามีแค่เพียงความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้นของเจ้าหมาขนฟูตัวนั้น ไม่ใช่หัวใจของเธอ
.
.
คุณรู้ไหม แบบผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ
.
.
สเปคของผม
.
.
.
.
.
และคุณจำได้ไหม ครั้งที่เราเจอกันใหม่ๆ ครั้งแรกที่ผมเดินเลียบถนนไปส่งคุณที่บ้าน..
.
ผมบอกคุณว่า
คุณเหมือนเพื่อนผมคนหนึ่ง
ทั้งรูปร่าง หน้าตา บุคลิก แม้แต่วิธีการพูด การยิ้ม การหัวเราะ
ถ้าคุณบอกผมว่าคุณเป็นน้องสาวของเค้า ผมจะเชื่ออย่างสนิทใจ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนผมคนนั้นไม่มีน้องสาวก็ตาม
.
.
.
.
สิ่งที่ผมไม่ได้บอกก็คือ
.
.
เพื่อน ที่ผมพูดถึง
.
.
คือคนเดียวกับคนที่เลี้ยงเจ้าขนฟูปากเปราะตัวนั้นนั่นแหละ
............................................................
.
.
.
.
.
ผมรู้ว่าเธอคงไม่ได้อ่านข้อความนี้
และถึงเธออ่านมันก็อาจไม่หลงเหลือความหมายใดๆกับเธออีกแล้ว
.
.
.
แต่ผมก็เพียงอยากแค่พูดมันออกมา
เท่านั้นเอง
............................................
30 เมษายน 2549 09:47 น.
หมอกจาง
ใกล้เที่ยง
นั่งเล่นอยู่หลังบ้าน
มีเก้าอี้ มีโต๊ะ มีกาแฟหนึ่งแก้ว
แดดยังอ่อน อุ่น ยังไม่ร้อน
ลมพัดเย็น
นั่งหันหลังให้ดวงอาทิตย์ ในมือมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง
ถือไว้ พลิกมา พลิกไป แต่ไม่อ่าน
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ต้นชบาริมรั้วออกดอกสีแดงสะพรั่ง
เหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็น ว่าริมรั้วบ้านมีต้นชบา
พูดให้ถูก คงต้องพูดว่าเคยเห็น แต่ไม่ทันได้สังเกตมากกว่า
ฟ้าสีฟ้า ดอกชบาสีแดง
หญ้าสีเขียวสด
.
.
เอนตัวบนเก้าอี้ เด็ดใบหญ้าวางบนพุง
ลมพัด ใบหญ้าที่วางไว้ขยับริกริก หากแต่ไม่ปลิว
ขนเป็นขุยๆเล็กๆบนเสื้อช่วยกันยึดใบหญ้าไว้
.
.
โลกหมุนได้ด้วยการเปลี่ยนแปลง
นี่เป็นความจริง..
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็เหมือนล้วนแล้วแต่พยายามที่จะต้อต้านการเปลี่ยนแปลง
นี่ก็เป็นความจริงอีกเช่นกัน..
บางทีระหว่างการเปลี่ยนแปลง และการต้อต้านการเปลี่ยนแปลง คงมีจุดสมดุลอยู่จุดหนึ่ง
จุดไหนล่ะ?
จุดที่เรายืนอยู่กันนี่แหละมั้ง..
.
.
ขุยเสื้อยังเกาะใบหญ้าแน่น
ลมก็ยังคงเพียรพัด
.
.
ด้านนอก วุ่นวาย สับสน
หลายการเปลี่ยนแปลงคงขยับกายเพื่อจะขับหมุนเคลื่อนโลก
และแน่นอนที่ย่อมชักนำให้หลายการต่อต้านนั้นลุกฮือ
.
.
ตรงหลังบ้าน
ฉันเอนตัวลงนอนมองท้องฟ้า ที่มีดอกชบาสีแดงทาบตัด
วันนี้ ดอกชบาที่บ้านฉันบานสวย
23 มีนาคม 2549 19:45 น.
หมอกจาง
สายลมทะเลพัดแรง ทะเลสีฟ้าใส หากยังแลเข้มกว่าท้องฟ้า..
.
ฟ้ามีเมฆขาวหลายหย่อม ประปราย อยู่ตรงนั้น ตรงนี้
.
วันนั้น ผมนั่งมองฟ้า ดูเมฆขาวก่อตัวเป็นรูปต่างๆ ไอศครีมโคน ปราสาท มังกรตัวยาวๆ
.
จริงๆมันก็ไม่เหมือนนักหรอก อาศัยจินตนาการช่วยเอาเสียเยอะ ปราสาทดูโย้เย้บูดเบี้ยวไม่สมประกอบ มังกรก็ดูคล้ายไปทางกิ้งกือมีหนวดเสียมากกว่า
.
เหมือนบ้างไม่เหมือนบ้าง แล้วจะเป็นไรไป? บางที..ชีวิตมันก็ไม่ต่างจากนี้นักหรอก มีอะไรบ้างไหมเล่าในชีวิตที่ใช่และตรงกับที่เราฝันไปเสียทุกอย่าง
.
บางทีก็แค่คลับคล้าย หากแต่บางทีก็ต้องใช้จินตนาการโขอยู่ ในการที่จะบอกว่าใช่..
.
จนบางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าสมควรเรียกมันว่าจินตนาการ หรือการหลอกตัวเอง..
.......................................................................................
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสนุกกับการนั่งมองก้อนเมฆบนท้องฟ้ายามบ่ายเปลี่ยนรูปไปมา ตามแต่กระแสลมเบื้องบนจะพัด
.
ถึงแม้เมฆจะเปลี่ยนรูปไปอย่างไม่มีรูปแบบ ทิศทาง แต่การไม่มีรูปแบบที่แน่นอนนี้เอง ตามกฏของความน่าจะเป็นแล้ว มันก็มีโอกาสหนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่น ที่จะมีรูปแบบที่ชัดเจนที่เราเห็นแล้วสามารถบอกได้ว่าถ้าจินตนาการดูแล้วมันจะคล้ายกับอะไร..
.
ผมยังคงนั่งดูไปเรื่อยๆ
.
แล้วเมฆก็ค่อยๆก่อรูปขึ้น มีหู มีหัว ขาหน้าและหาง
.
เมฆก่อตัวเป็นรูปแมว..
........................................................................................
ผมนั่งอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น
.
มันเหมือนแมวจริงๆเสียจนไม่ต้องใช้จินตนาการใดๆ
.
มันคือเมฆรูปแมวที่มีชีวิตเลยนั่นแหละ ให้ตายสิ!!
.
เจ้าเหมียวก้อนเมฆที่มีอวัยวะครบ กำลังนั่งแลบลิ้นเลียเท้าหน้าข้างซ้าย หางงอเล็กน้อยแบบที่เรียกกันว่าหางกวัก
.
ผมตาฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย??
.
มองดูคนรอบข้าง บางคนมองทะเล บางคนก็มองท้องฟ้า บางคนมองสาวๆนุ่งบิกินี่
.
แต่เหมือนจะไม่มีสักคนที่เห็นเจ้าเหมียวนั่น เหมือนที่ผมเห็น
.
เจ้าแมวนั่น มันเหมือนจริงเสียจนเกินความน่าจะเป็น!!
........................................................................................
คุณเห็นแมวบนท้องฟ้านั่นไหม ? ผมหันไปมองที่ต้นเสียง หญิงสาวสูงโปร่ง ผมดำขลับเคลียบ่า ตากลม น่ารัก.. พูดกับผมโดยที่เธอยังคงเงยหน้ามองฟ้าอยู่
.
เธอมาอยู่ใกล้ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ใกล้..เสียจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆทีเดียวแหละ
.
เห็น เมื่อกี๊มันเลียขาซ้ายอยู่เลย ตอนนี้เจ้าแมวเหมียวก้อนเมฆมันสลับเอาขาขวาขึ้นมาเลีย
.
มันเกิดขึ้นได้ยังไงนะ ผมเป็นฝ่ายชวนคุยต่อ เมื่อเห็นเธอเงียบไป
.
เรื่องของความน่าจะเป็นมั้ง? ผมชะงัก เธอตอบเหมือนอย่างที่ผมนึกเมื่อตะกี๊
.
ทุกๆอย่างในโลก บางทีอาจเกิดจากความน่าจะเป็นทั้งนั้นแหละ เธอพูดต่อ หรือที่เราเรียกว่าความบังเอิญไง
.
บังเอิญเป็นแมวเนี่ยนะ? ชัดขนาดนี้เนี่ยนะ?
.
อื้อ เธอผงกหัว บางทีอาจจะแค่หนึ่งในล้าน แต่มันก็เป็นไปได้ เป็นไปแล้ว เธอละสายตาจากก้อนเมฆบนท้องฟ้า หันมาสบตาผม ฟันขาวเป็นระเบียบ สวยทีเดียว..
.
คุณไม่คิดว่ามันคือปาฏิหารย์บ้างหรือ เธอส่ายหัว
.
มีอะไรแตกต่างกันล่ะ ระหว่างปาฏิหารย์กับความบังเอิญ เธอว่า บางทีปาฏิหารย์อาจเป็นแค่หนึ่งในความน่าจะเป็นล้านอย่างที่อาจเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งก็ได้โดยที่เราไม่คาดคิดมาก่อน
.
เป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหมือนความน่าจะเป็นอื่นๆ เพียงแต่เราเรียกมันว่าปาฏิหารย์เพราะเราใช้ใจไปยึดถือมันไว้ เราคว้าความน่าจะเป็นหนึ่งในล้านนั้นไว้ เพื่อนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่เราต่างหาก
.
ผมอึ้งไปกับสิ่งที่เธอพูด..
.
ยอมรับว่าผมไม่เข้าใจ
...........................................................................................
ต่อจากนั้น เราคุยกันมากมายหลายอย่าง
.
เรื่องโน้น เรื่องนี้..
.
ยิ่งคุยกับเธอมากขึ้น ผมก็ยิ่งรู้สึก ว่าผู้หญิงคนตรงหน้านี้ น่าสนใจกว่าไอ้เจ้าแมวเหมียวบนท้องฟ้าเป็นไหนๆ
.
.
.
ฉันต้องไปแล้วหละ เธอบอกง่ายๆ นัดเพื่อนไว้บ่ายสาม
.
อืมม ผมใจหาย ไม่รู้ทำไม แล้วผมจะได้เจอคุณอีกไหม ?
.
ไม่รู้สิ.. อาจจะก็ได้นะ เธอยิ้มใส่ตาผม ตาเธอเป็นประกาย ซุกซน
แต่มีอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้ง
.
มีความน่าจะเป็นทุกอย่างอยู่ในชีวิตเรานั่นแหละ
...........................................................................................
วันนี้ ผมมานั่งที่เก่า นั่งมองก้อนเมฆอยู่เหมือนเดิม
.
เวลาผ่านไปแล้วสามเดือน
.
ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าปาฏิหารย์ที่เธอพูด..
.
ในความน่าจะเป็นทุกอย่าง มีปาฏิหารย์
.
แต่มันจะไม่มีทางเกิดปาฏิหารย์ได้ หากเราไม่รู้จักที่จะฉวยความน่าจะเป็นนั้นไว้..
.
ทำไมผมไม่ถามชื่อเธอ ทำไมผมไม่ขอเบอร์โทร หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้เราติดต่อกันได้
.
ทั้งๆที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมรู้สึกว่า ผมเจอคนที่ ใช่
.
การที่เราพบกันอาจเป็นแค่ความน่าจะเป็น แต่เรื่องที่เรา ทำ ต่อจากนั้นต่างหาก ที่จะทำให้เราบอกได้ ว่าความน่าจะเป็นอันไหน.. คือปาฏิหารย์
.................................................................................
ผมนั่งมองท้องฟ้า ดูเมฆเปลี่ยนรูปไปเป็นรูปร่างต่างๆ
.
หวัง ว่าอาจมีอีกสักครั้ง ที่เมฆจะก่อตัวขึ้นเป็นเจ้าแมวเหมียว
.
ถึงแม้ว่ามันจะมีความน่าจะเป็นแค่หนึ่งในล้านก็ตามที
.
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง
.
ผมสัญญากับตัวเอง
.
ว่าครั้งนี้ ผมจะทำให้มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า
.
..ปาฏิหารย์..
................................................................................