8 มีนาคม 2550 21:43 น.
หมอกจาง
ที่รัก
เธอเคยไถ่ถามเมื่อฉันเอ่ยคำคิดถึง
ว่าที่ว่าคิดถึงนั้น มากมายสักเพียงไหน
ฉันจะตอบเธอว่าอย่างไรดี..
ความคิดถึงฉันนั้น บางเบาเหมือนสายหมอก
ที่น้ำหนักน้อยเกินกว่าจะจ่อมจมลงใต้ผิวน้ำ
หากแต่มากมาย
พอที่จะปกคลุมแม่น้ำทั้งสาย
ความคิดถึงฉันนั้น อาจเหมือนกรวดทราย
ที่ดูเล็กน้อย จนไม่สลักสำคัญ
แต่เธอจะพบมันได้ในทุกๆที่ ยามเมื่อเธอกวาดสายตามองหา
ความคิดถึงฉันนั้น อาจเปรียบเหมือนใยแมงมุม
ที่บางเบา ล่องลอย
หากแต่เมื่อรัดพันเหยื่อแล้ว ก็จักรัดพันไว้อย่างแนบแน่น
และเหยื่อของใยนั้น ย่อมคือหัวใจของฉัน
ความคิดถึงฉันนั้น ฟุ้งลอย อยู่ทั้งในความฝันและความจริง
แทรกซ่อนอยู่บางบาง ในทุกลมหายใจเข้าออก
ทั้งของฉัน
และของเธอ
ที่รัก
ความคิดถึงของฉันนั้น อาจเป็นเพียงอณูที่เกือบไร้น้ำหนัก
แต่ความมากมายของมัน
โถมทับ
จนบ่อยครั้ง ที่ฉันแทบหายใจไม่ออก
เพราะน้ำหนักของความคิดถึง
ในยามที่ฉัน.. คิดถึงเธอ
22 กุมภาพันธ์ 2550 01:25 น.
หมอกจาง
อากาศสลัวๆ หากแต่ยังมีแดดอ่อนๆ สายลมพัดแรงพอประมาณ
บนทางเล็กๆเรียบๆ ดินสีแดงแห้ง มีต้นไม้ขนาดย่อมสูงเลยหัวผู้ใหญ่ไปไม่มากอยู่ต้นหนึ่ง หากเอาต้นไม้ต้นนี้เป็นศูนย์กลาง เราอาจพอจะพูดได้ว่าทางน้อยๆเส้นนี้นั้น ด้านหนึ่งทอดคดเคี้ยวเลาะเรื่อยไปทางทิศเหนือ อีกด้านทอดลงไปทางทิศใต้
ต้นไม้ต้นย่อมๆ ย่อมจะมีเงาอันย่อมๆ
ในร่มเงาอันย่อมๆนี้มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งหัวขาดอยู่
หัวที่ขาดนั้นก็ไม่ได้ไปไหนไกล มันยังอยู่ในมือของเด็กชายนั่นเอง เขาพลิกมันไปมา มองมันจนรอบด้าน แล้วก็ต่อมันเข้ากับคอของเขา ขยับไปขยับมาเพื่อให้มันเข้าที่ แต่ก็เหมือนว่ามันจะยังไม่พอดี เขาเอามันลงมาใหม่ พลิกซ้ายพลิกขวาอีกสองสามตลบแล้วก็เอาขึ้นไปบนคออีกครั้ง
เธอทำอะไรอยู่น่ะ เสียงเล็กๆใสๆถามขึ้นอย่างสนใจ เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว แต่ว่ามันคงเร็วไป หัวของเขาเลยตกลงจากคอกลิ้งออกไปพ้นเงาร่มไม้ เขาหันซ้ายหันขวา กางแขนออกคลำไปรอบๆ
อ้ะ อยู่นี่ มือน้อยๆข้างหนึ่งช้อนหัวของเด็กชายขึ้นมาและยื่นให้ เด็กชายพึมพำขอบใจก่อนวางหัวไว้บนคออย่างระมัดระวัง
คราวนี้เด็กชายค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่าช้าๆ เพื่อไม่ให้หัวหลุดตกลงไปอีก เขาเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างไล่ๆกันกับเขา หน้าซีด ตากลมเศร้ามีแววว่าเคยร่าเริง
มือซ้ายของเธออุ้มแมวดำตัวหนึ่งไว้แนบอก
เธอทำอะไรอยู่น่ะ เด็กหญิงถามย้ำคำถามเดิมที่เด็กชายยังไม่ได้ตอบ
ฉันกำลังพยายามต่อหัวตัวเองให้เข้าที่น่ะ
สำเร็จไหม? ถามไปแล้วเด็กหญิงจึงนึกได้ว่าไม่น่าถาม เพราะถ้าสำเร็จมันคงไม่หล่นกลิ้งขลุกขลักต่อหน้าต่อตาเธออย่างเมื่อตะกี๊หรอก..
ไม่สำเร็จ เด็กชายยังคงตอบคำถามที่ไม่น่าถามนั้น มันไม่เคยสำเร็จหรอก บางที มันอาจไม่มีวันสำเร็จด้วยซ้ำ
คราวนี้เด็กหญิงดูจะระวังในคำถามมากขึ้น เธอนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งค่อยเอ่ยปาก ทำไมล่ะ ?
ก็เธอเคยเห็นคนที่หัวขาดต่อหัวตัวเองกลับเข้าไปสำเร็จไหมล่ะ?
ไม่เคย..
ฉันก็ไม่เคยเหมือนกัน
แต่นั่นมันก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะต่อหัวตัวเองกลับเข้าไปที่เดิมไม่ได้สักหน่อย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เด็กชายถอนหายใจ มันก็บอกอะไรได้หลายๆอย่างไม่ใช่รึ?
เช่น ?
เช่นการต่อหัวตัวเองกลับเข้าที่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เงียบงันกันไปพักหนึ่ง.. ก่อนที่เด็กหญิงจะเอ่ยถามขึ้นมา
เธอรู้ไหมใครเดินเรือรอบโลกได้เป็นคนแรก
ไม่รู้
เธอรู้ไหมใครที่สร้างเครื่องบินได้เป็นคนแรก
ไม่รู้
งั้นเธอรู้ไหม ใครคือคนแรกที่วิ่งร้อยเมตรได้ด้วยเวลาต่ำกว่าสิบวินาที
ไม่รู้
อื้อ ฉันก็ไม่รู้
อ้าว เด็กชายเริ่มงง งั้นเธอถามฉันทำไม ในเมื่อเธอเองก็ไม่รู้
อย่างน้อยฉันก็รู้แหละน่า ว่าไอ้ที่ฉันถามมาทั้งสามอย่างมีคนทำได้แล้วจริงๆ แค่ฉันไม่รู้ชื่อคนที่ทำได้คนแรกแค่นั้นเอง
ไอ้ที่เธอรู้ฉันก็รู้น่า
อย่างนั้นเธอก็คงรู้ใช่ไหม ว่าทุกอย่างต้องมีคนแรกที่ทำมันสำเร็จเสมอ
บางที เด็กหญิงพูดต่อ ถ้าวันข้างหน้ามีคนถามฉันว่าใครคือคนแรกที่ต่อหัวตัวเองกลับเข้าที่ได้สำเร็จ ฉันอาจตอบเขาได้ว่า คนก็นั้นคือเด็กชายที่ฉันพบใต้ร่มไม้ระหว่างการเดินทางไงล่ะ
เด็กชายยิ้มแล้ว
แมวดำที่เธออุ้มนั่นชื่ออะไร?
มันไม่มีชื่อหรอก
ทำไมล่ะ
มันตายแล้ว สิ่งที่ตายแล้วไม่มีชื่อ
เด็กชายเพิ่งสังเกตว่าแมวตัวนั้นมันตายแล้วจริงๆ มันนอนนิ่งตัวแข็ง ตาเผยอเพียงเล็กน้อยพอเห็นตาขาวๆ
แต่ที่ฉันเคยเห็น ตามสุสาน มีแต่คนตาย แต่ทุกคนก็มีชื่อ
นั่นเป็นชื่อก่อนที่เขาจะตายต่างหาก ชื่อของเขา เรื่องราวของเขาที่ใครๆจดจำได้ ล้วนแต่เป็นเรื่องราวตอนที่เขายังมีชีวิตทั้งนั้น พอเขาตาย เขาไม่มีชื่อ ไม่มีเรื่องราว มีแต่อดีต
ถ้าอย่างนั้น อดีตของแมวตัวนี้ชื่ออะไร
ฉันเรียกมันว่าความรัก แต่คนอื่นอาจเรียกมันด้วยชื่ออื่น
มันตายแล้ว ทำไมเธอยังไม่ทิ้งมันไปล่ะ
มีคนๆหนึ่งยกมันให้กับฉัน ตั้งแต่วันที่ฉันได้มันมา ฉันก็ไม่สามารถสลัดมันทิ้งไปได้ ไม่ว่าฉันจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามที
มันตายมานานหรือยัง ?
ไม่รู้ เด็กหญิงส่ายหน้า ตอนที่ฉันได้มองมันชัดๆมันก็ตายแล้ว บางที..มันอาจตายมาตั้งแต่แรกก็เป็นได้
แล้วคนอื่นๆเขาไม่รังเกียจเธอหรอกรึ ที่เธออุ้มซากแมวดำเดินไปไหนมาไหนน่ะ
แย่กว่านั้นอีก นอกจากจะรังเกียจแล้ว พวกเขายังกลัวฉันด้วย เขาบอกว่า ฉันคือตัวโชคร้าย
โชคร้าย?
ใช่ ใครที่อยู่ใกล้กับฉัน จะติดโชคร้าย เขาคนนั้นจะถูกผู้คนรังเกียจเช่นกัน
แย่หน่อยนะ ที่เธอไม่สามารถทิ้งแมวดำนี่ไปได้
นั่นสิ ถึงฉันจะทิ้งก็ไม่มีใครยอมให้ฉันทิ้งหรอก
ทำไมล่ะ?
เพราะฉันคือตัวโชคร้าย และตัวโชคร้ายต้องมีแมวดำไงล่ะ เธอสรุป
ใครเป็นคนตัวคอเธอจนขาด ? คราวนี้เด็กหญิงถามบ้าง
ฉันเองแหละ ที่ตัดคอตัวเอง
งั้นรึ? เด็กหญิงออกจะแปลกใจ
อื้อ
เธออยากฆ่าตัวตายหรือ?
เปล่า ความคึกคะนองน่ะ เด็กชายถอนใจอีกหน ฉันรู้ว่า ถึงฉันจะตัดมันขาดฉันก็จะไม่ตาย ฉันไม่เคยลอง และไม่คิดว่าจะมีใครเคยลอง ก็เลยลองตัดดู
แต่พอฉันตัดมันออกมา ฉันก็พบว่าการต่อมันกลับเข้าที่เดิมนั้นยากกว่าตอนตัดออกเสียอีก
ต่อหน้าคนอื่น ฉันพยายามทำตัวปกติ วางหัวไว้บนคอ เอากาวบ้าง ผ้าบ้าง ยึดมันเอาไว้ด้วยกัน แต่มันก็ช่วยได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแหละ
เวลาที่มันหล่นลงมา เวลาที่ฉันถือหัวในมือ ฉันถามตัวเองซ้ำๆเสมอ ว่าฉันตัดมันลงมาทำไม
เมื่อกี๊เธอเพิ่งบอกเหตุผลนั้นกับฉันเองนี่นา เด็กหญิงพูดขัดขึ้นมา
ใช่ เด็กชายยอมรับ แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอเลย ฉันพยายามหาเหตุผลที่ดีกว่านั้น
เธอน่าจะหาเหตุผลที่เธอว่าดีพออันนั้น ตอนก่อนที่เธอจะตัดมันนะ ไม่ใช่ตอนนี้
เธออาจพูดถูก เด็กชายก้มหัวถอนหายใจ
เธอจะไปไหน เด็กชายถาม
ลงไปทางใต้ หาที่ที่ฉันจะมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีใครรังเกียจหรือหวาดกลัว
แล้วทำไมต้องลงไปทางใต้ล่ะ ?
เพราะฉันมาจากทางเหนือไง
เด็กชายครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งค่อยรู้สึกว่าคำตอบนี้เป็นคำตอบที่สมเหตุสมผล
แล้วเธอล่ะ จะไปไหน? เด็กหญิงถามบ้าง
ฉันออกเดินทางเพื่อหาทางต่อหัวเข้าที่เดิมให้ได้น่ะ
เธอคงมาจากทางใต้ เด็กหญิงพูดพลางลูบหัวแมวดำของเธอเล่นไปมา งั้นเธอคงต้องขึ้นเหนือสินะ
ก็คงอย่างนั้นแหละ
ทั้งสองเอ่ยคำร่ำลา และเตรียมออกเดินทาง จู่ๆเด็กชายก็พูดขึ้น
ฉันคิดว่า ถ้าหากว่า.. แค่เธอโยนแมวดำตัวนั้นทิ้งข้างทาง เธอก็น่าจะเจอที่ที่เธอค้นหาได้ทันที เพราะจะไม่มีใครเรียกเธอว่าโชคร้ายอีกต่อไป ในเมื่อเขาไม่เห็นแมวดำในมือเธอ
แต่จะยังไงฉันก็คือตัวโชคร้าย และตัวโชคร้ายก็ต้องอุ้มแมวดำ
เด็กชายมองหน้าเด็กหญิงนิ่ง
บางที เธอต่างหากที่ไม่ยอมทิ้งแมวดำตัวนั้นไป
เธอต่างหากที่เรียกตัวเองว่าโชคร้าย และยินยอมให้คนอื่นเรียกเธอว่าโชคร้าย
เด็กหญิงเงียบงัน ไม่พูด ไม่ตอบ
เนิ่นนาน กว่าที่เธอจะเอ่ยปาก..
เธอรู้ไหม ถ้าเธอไม่ขยับมันไปมา ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าหัวของเธอขาดออกจากกัน
ถ้าเพียงเธออยู่นิ่งๆ ไม่ถอดมันเข้าออก หันซ้าย ขยับขวา มันก็ไม่ต่างอะไรกับหัวธรรมดาๆ
แต่ฉันก็รู้อยู่แก่ใจนี่ว่ามันไม่ได้เชื่อมต่อกัน สักวัน ก็ต้องมีคนพบความจริงข้อนี้
เด็กหญิงมองลึกเข้าไปในดวงตาเด็กชาย ในนั้นเธอเห็นเงาตัวเองสะท้อนกลับออกมา
สักวันที่เธอให้อภัยในเหตุผลโง่ๆของตัวเอง เธออาจจะมองเห็น ว่าหัวกับตัวของเธอ มันยังเชื่อมต่อกันอยู่ ไม่ได้แยกขาดไปไหน
ดูเหมือนเราจะต่างเข้าใจปัญหาของอีกคนลึกซึ้งกว่าปัญหาของตัวเองนะ เด็กชายพูดกลั้วหัวเราะ
นั่นเป็นเรื่องปกติของคนเราอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เด็กหญิงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม เธอยังพูดต่อไปอีกว่า
บางที กับปัญหาของเราเอง คำตอบเราก็รู้อยู่กระจ่าง แต่การรู้คำตอบก็เป็นเรื่องหนึ่ง การยอมรับคำตอบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจต้องใช้เวลามากกว่าการหาคำตอบเสียอีก
อืมม เด็กชายผงกหัวเห็นด้วย ถ้าวันหนึ่ง เธอสามารถทิ้งแมวดำของเธอไปได้ เธอจะไปไหนต่อ?
ฉันคงย้อนกลับขึ้นเหนือ ความทรงจำบางอย่างของฉันอยู่ที่นั่น เด็กหญิงตอบและย้อนถาม แล้วเธอล่ะ จะไปไหนต่อ ถ้าเธอต่อหัวของเธอติดกับตัวได้
ฉันคงลงใต้
เพราะอะไร?
อืมม เด็กชายเอาหัวลงมากอดไว้ที่อก นี่.. บางที ระหว่างทางกลับ เราอาจได้เจอกันอีกหนนะ เธอว่าไหม?
ใช่ บางทีนะ บางทีเราอาจเจอกันอีก เด็กหญิงพยักหน้าเห็นด้วย แต่ว่าเธอยังไม่ได้ตอบที่ฉันถามเลย ว่าทำไมเธอจะลงใต้หลังจากที่เธอพบคำตอบที่ต้องการ
ฉันตอบเธอไปแล้วไง เด็กชายวางหัวลงบนคอ ยกมือขึ้นโบกอำลาอย่างร่าเริง
....................................................................
4 มกราคม 2550 01:47 น.
หมอกจาง
มีบางคนเคยถามผม..
ว่าเรื่องจริงกับเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นนั้น ต่างกันที่ตรงไหน
ผมบอกว่า..สำหรับผมแล้ว
..เรื่องที่ถูกแต่งขึ้น มักจะสมเหตุสมผลมากกว่าเรื่องจริงเสมอ..
ใครคนนั้น คนที่ถาม..แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
ผมอธิบาย..ว่าเรื่องที่ถูกแต่งขึ้น ผู้แต่งมักจะพยายามใส่เหตุผลที่น่าเชื่อถือลงไปทุกอย่าง เพื่อให้เรื่องนั้น ดูสมจริงที่สุด..
แต่ขณะที่เรื่องจริง..โดยตัวของมันเองแล้ว บ่อยครั้งที่เราต้องมาไขว่คว้าหาเหตุผล ว่าทำไม ทำไม อยู่เสมอ.. และบางครั้ง..ท้ายที่สุด เราก็ยังไม่อาจหาเหตุผลให้กับมันได้อยู่ดี
..และถึงแม้ว่าเราจะไม่อาจหาเหตุผลใดๆมาทำความเข้าใจกับมันได้ แต่สุดท้าย..เราก็จำเป็นต้องยอมรับ ว่ามันคือเรื่องจริง..
คนเหงานอกหน้าต่าง
1.เธอ
เธอคนนั้น..อยู่ในบ้าน มีผู้คนสองสามคนอยู่รอบๆ ทุกคนพูดคุย ยิ้ม หัวเราะ
ระหว่างในห้องกับด้านนอกมีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ใส พอที่จะมองผ่านไปมาระหว่างทั้งสองด้านได้ชัดเจน แต่หนา พอที่จะกั้นไม่ให้เสียงด้านนอกผ่านเข้า..เฉกเช่นเสียงด้านใน ที่ไม่อาจผ่านออกมา
ถัดออกมาเป็นรั้วไม้เตี้ยๆสีขาว มีพุ่มไม้ดอกตลอดแนวรั้ว ปลายรั้วมีไม้ยืนต้นต้นหนึ่ง ดอกหอม..ไม่รู้ว่าต้นอะไร
ทุกๆวันก่อนกลับบ้าน ผมมักจะมายืนอยู่ริมรั้วตรงนี้อยู่เสมอ ยืนมองดูเธอ..
เธอก็มองดูผม..
เธออยู่บ้านกับเพื่อนสนิทสองสามคน บ้านของเธอมีเพื่อนฝูงมากมายแวะเวียนมาเยี่ยมเยือน เกือบทุกคนล้วนเคยเห็นผม แต่แปลก..ที่มีเธอคนเดียวที่มองดูผม..
ที่แปลกกว่าคือ ไม่มีใครสักคน แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอจะรู้ ว่าเธอมองดูผม..
ผมรู้จักเธอ
ผมเคยคุยกับเธอ
แต่ผมไม่เคยพูดกับเธอ..
เธอก็ไม่เคยพูดกับผมเช่นกัน
แปลกที่ตราบจนกระทั่งวันที่เราต้องจากกัน เราก็ยังคงไม่เคยพูดกัน..
เธอคนนี้ เธอคนที่สวยกว่าดอกไม้ทุกดอกที่ผมเคยพบเห็นด้วยตาของตัวเอง กลับมีทีท่าเหินห่างจากผมอย่างเห็นได้ชัด เธอแสนดีกับทุกคน เว้นไว้แต่เพียงผม..เพียงคนเดียว ผมมักถามตัวเองเสมอ ว่าผมไปทำอะไรให้เธอโกรธ คำตอบที่ได้รับกลับมาเสมอๆก็คือ “ไม่ได้ทำ” ตอนนั้นผมยังนึก ว่าบางทีเธอก็คงแค่ไม่ชอบหน้า
ก็แค่ความคิดใน ณ เวลานั้น ตอนนั้น.. ไม่ใช่ตอนนี้
นาน กว่าที่ผมจะรู้ว่านั่นคือการแสดงออกในแบบของเธอ ในความหมายของคำว่า”คนพิเศษ”
ผมมีเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอ แต่ทุกๆครั้งที่โทรเข้าไป เธอไม่เคยรับสาย ไม่เคยโทรกลับ
จนวันหนึ่งผมยืนอยู่นอกหน้าต่างตรงที่เก่า ผมตัดสินใจส่งข้อความเข้ามือถือของเธอ
“ดึกแล้วนะ ผมจะกลับบ้านแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ชั่วไม่นานนักที่ผมเดินออกมา ใต้แสงดวงดาวที่เต็มฟ้า ในกลิ่นหอมเย็นของดอกไม้กลางคืน
“กลับบ้านดีๆนะ ราตรีสวัสดิ์เช่นกันค่ะ”
ผมเรียกวินาทีนั้น..ว่า จุดเริ่มต้น
2. ดอกไม้
จากคืนนั้นระหว่างผมกันเธอ เราติดต่อกันผ่านกระจกหน้าต่างบานหนาบานนั้น ด้วยข้อความทางโทรศัพท์
ผมส่งข้อความให้เธอไม่บ่อย เลือกที่จะยืนมองดูเธออย่างเงียบๆอย่างนั้นมากกว่า บางค่ำคืน เธอมองเห็นผม แต่หากบางค่ำคืนเธอก็เหมือนมองไม่เห็น ด้วยร่มไม้ที่ผมบังอยู่นั้นมืดเกิน หรือไม่ก็ด้วยเพื่อนฝูงในบ้านเธอนั้นมากเกินไป
ในบางคืนที่เธอมีสีหน้าไม่สบายใจ ผมจะส่งข้อความไปหาเธอ
“วันนี้สีหน้าคุณดูไม่สดชื่นเหมือนทุกวัน พักผ่อนมากๆนะ นอนหลับฝันดีครับ”
ข้อความนี้ ผมไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา..
หากแต่วันรุ่งขึ้น เธอปล่อยผมที่เคยรวบไว้ด้านหลังลง แต่งหน้าบางๆ ประดับตุ้มหูคู่สวยที่หูทั้งสองข้าง ใบหน้าและดวงตาที่ประดับรอยยิ้ม และเบือนออกมาด้านนอกหน้าต่าง..บ่อยกว่าที่เคย
ข้อความที่ผมส่งให้เธอ ส่วนใหญ่จะได้รับคำตอบตอบกลับมา เว้นเสียแต่ว่าเธอวุ่นวายจริงๆเท่านั้น
ในคืนหนึ่งคืนที่สายลมหนาวพัดแผ่วพอให้รู้สึก ฟ้ากระจ่างดังตั้งใจจะอวดดาว ขณะที่ผมยืนอยู่นอกหน้าต่างเช่นทุกวัน ผมได้รับข้อความจากเธอ..
“ถ้าไม่รบกวนเกินไป กรุณาช่วยเด็ดดอกไม้สีขาวจากต้นตรงริมรั้วให้หน่อยได้ไหมคะ มันอยู่สูง ฉันเอื้อมไม่ถึง”
ผมแหงนขึ้นมอง มันอยู่สูงก็จริง แต่ไม่เกินเอื้อมของผม.. อันที่จริงแล้ว มันไม่น่าเกินเอื้อมของเธอด้วยซ้ำ
ผมเขย่งขึ้นเด็ด หากแต่ไม่ถึง แต่เพียงกระโดดนิดหน่อย ผมก็เด็ดดอกไม้สีขาวช่อสวยนั้นลงมาได้สำเร็จ
ผมลังเลอยู่นิดหนึ่ง ก่อนที่จะเอื้อมมือข้ามรั้วไปวางช่อดอกไม้นั้นไว้ที่ตรงขอบหน้าต่าง เธอส่งยิ้ม ปากเธอขมุบขมิบ เป็นคำ “ขอบคุณค่ะ”
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน ตรงกึ่งกลางระหว่างสายลมเงียบๆที่พัดผ่านหัวไหล่ทั้งสองข้าง
ผมเพิ่งรู้ตัว..
ว่าวันนี้ผมได้ให้ดอกไม้กับเธอ..
3. ความปวดร้าว
แล้วกาลเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ลมหนาวค่อยอุ่นเป็นลมร้อนอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก การเปลี่ยนแปลงแต่เพียงน้อยในแต่ละอย่างนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการไม่เปลี่ยนแปลง หากเราไม่อาจรับรู้ในการเปลี่ยนแปลงที่น้อยนั้น นั่นมิใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นน้อยเกิน แต่เป็นเพียงเพราะเราต่างหาก ที่ไม่ละเอียดมากพอที่จะจับมัน..
เมื่อฤดูร้อนเพิ่มขึ้น ผมมีบางอย่างที่ต้องวุ่นวาย ผมไม่ได้อยู่ตรงริมรั้วนั้นทุกคืนเหมือนเก่า
บางครั้งบางคืน ที่เลิกงานดึก ผมเดินร่วมทางกับน้องผู้หญิงที่ทำงานผ่านหน้าบ้านเธอ เธอมองออกมา ผมมองเข้าไป..
คืนนั้นผมส่งคำราตรีสวัสดิ์ไปให้เธอ แต่จวบรุ่งเช้าอีกวัน ก็ไม่มีข้อความใดๆตอบกลับมา
และเมื่อความวุ่นวายเรื่องการงานผ่านพ้นไป ผมไปยืนอยู่ตรงข้างรั้วริมหน้าต่างเหมือนเก่า หากแต่อะไรๆก็ดูไม่เหมือนเดิม
เธอมองออกมาน้อยลง ส่งยิ้มให้ผมน้อยลง
ผมส่งข้อความให้เธอถี่ขึ้น แต่เธอแทบจะไม่ตอบกลับมา
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
สำหรับผม เธอคือสิ่งที่อยู่ไกลที่ไม่มีวันจะเอื้อมถึง เหมือนดวงดวงในผืนน้ำที่บางครั้งผมก็แทบไม่แน่ใจในการมีอยู่จริงของเธอ
สิ่งที่ผมต้องการ จากการเฝ้าดูเธออยู่ทุกวันนั้นเป็นเพียงแค่รอยยิ้ม แค่ได้รู้ว่าเธอสบายดี แค่เพียงได้เห็นว่าเธอมีความสุข เพียงเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพียงความฝัน ที่ผมไม่เคยแม้แต่จะคาดหวังที่ให้เปลี่ยนเป็นความจริง
ดังนั้น ผมจึงไม่รู้ว่าเธอโกรธผมเรื่องอะไร
หรือว่าเธอเบื่อกับการที่มีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ที่ริมรั้วทุกคืน..
หรือ...
หรือ...
..
..
เหมือนเหตุผลที่ผมคิดขึ้นมีมากมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วผมไม่รู้อะไรเลย
สุดท้าย ผมจึงส่งข้อความถามเธอในวันหนึ่ง
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมคุณจึงทำเหมือนไม่อยากติดต่อกับผม ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า ?”
“คุณเลิกมายืนตรงนอกหน้าต่างนี่เสียเถอะนะ ฉันไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว” นั่นคือคำตอบ ที่ทำให้ผมอึ้งในความรู้สึก
“ทำไม? การที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมแค่อยากดูแลคุณ อยากเห็นคุณยิ้ม คุณมีความสุข เท่านั้นผมก็พอใจ ผมไม่เคยหวังอะไรไปมากกว่านี้ ทำไมคุณถึงต้องเจ็บปวด?”
เธอไม่ตอบข้อความนั้นของผม... จนกระทั่งอีกคืนถัดมา
“ฉันเพิ่งรู้ ว่าที่ผ่านมา ..คุณไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของฉันเลย”
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าที่ผ่านๆมา ในทุกค่ำคืนเธอมองเห็นผมมาโดยตลอด ผมต่างหากที่ไม่เคยมองเห็นเธอแม้สักคืน
บางทีผมอาจเห็น แต่ใจต่างหากที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
และถึงแม้ว่าผมจะเข้าใจ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อระหว่างเรานั้น มีกระจกหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง ซึ่งแม้จะใส หากแต่หนา ถ้าเธอไม่ก้าวออกมา ผมก็ไม่มีทางที่จะผ่านเข้าไป
แปลก ที่คนรักกันมักจะทำร้ายกันและกันเสมอๆ
นับแต่วันนั้น ข้อความที่เธอส่งมา ข้อความที่ผมส่งกลับไป ล้วนต่างเป็นข้อความที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บช้ำ
แต่เมื่อมาหวนนึก ผมกลับพบว่า บางที..นั่นอาจเป็นเพราะว่าเรารักกันต่างหาก
เพราะลึกๆแล้ว ผมว่าเราต่างรู้ ว่าข้อความเหล่านั้น ไม่อาจทำร้ายใครได้ นอกเสียจากคนที่มีหัวใจให้กัน..
เราส่งข้อความ เพื่อให้เห็นความเจ็บปวดของอีกฝ่าย และเจ็บปวด..กับข้อความที่อีกฝ่ายตอบโต้กลับมา
..ทั้งหมดทั้งสิ้น อาจเป็นแค่เพียงแรงขับอันโหยหา เพื่อที่จะยืนยัน ว่าความรักระหว่างเรา..มีอยู่จริง
4. หน้าต่างที่เปื้อนฝุ่น
สัปดาห์สุดท้าย ก่อนที่เธอจะย้ายออกจากบ้านหลังเก่า
บางที การลาจาก มันได้ทำให้เราได้รู้ว่า เรามีเวลาเหลือน้อย เกินกว่าที่จะมาทำร้ายกันและกนด้วยถ้อยคำ
เราส่งข้อความหากันทุกว้น ข้อความที่ไม่มีสาระอะไร ตอนเช้าเธอจะส่งคำว่า"อรุณสวัสดิ์"มา และผมก็จะตอบกลับไป กลางดึก ก่อนนอนผมจะเป็นคนกล่าว"ราตรีสวัสดิ์" กับเธอผ่านทางข้อความ และเธอก็จะตอบมันกลับมา
ไม่มีข้อตกลง ไม่มีการนัดหมายใดๆ จู่ๆมันก็เริ่มต้นขึ้น และดำเนินไปอย่างนั้น..
นอกเหนือจากคำว่า อรุณสวัสดิ์ และ ราตรีสวัสดิ์ แล้ว สิ่งเล็กๆน้อยที่เราส่งหากันเพื่อไม่ให้ข้อความมันห้วนเกินไปนั้น ล้วนไม่มีสาระอันใด
แต่บางครั้ง ผมก็คิดว่า เพราะการที่มันไม่มีสาระนั่นแหละ มันจึงงดงาม..
ถึงวันนี้ เธอย้ายออกไปจากบ้านหลังนั้นได้หลายเดือนแล้ว
ผมมองไปที่กระจกหน้าต่างที่เปื้อนฝุ่นบานนั้น ผมรู้ว่าข้างในมันยังคงว่างเปล่า แม้ฝุ่นนั้นจะจับหนาเสียจนไม่อาจมองทะลุเข้าไป ในกระจกนั้น ผมเห็นดวงตาคู่หนึ่งสะท้อนออกมา ดวงตาเศร้าคู่คุ้นเคย..
มีเรื่องราวอยู่มากมายในความว่างเปล่า บางครั้ง อาจเป็นเพราะว่ามันว่างเปล่า มันจึงมีพื้นที่ให้เก็บเรื่องเก่าๆเอาไว้ได้มากมาย
ผมไม่รู้ ว่าบ้านใหม่ของเธอ มีกระจกหน้าต่างไหม และถ้ามีมันจะอยู่ติดรั้ว ชิดริมถนนอย่างหลังนี้ไหม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าผมรู้ก็คือ ทุกครั้งที่เธอมองผ่านกระจกหน้าต่าง ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ไม่ว่ามันจะติดริมถนนหรือไม่ เธอก็จะเห็นแววตาคู่หนึ่งมองตอบกลับมาเสมอ และหลังแววตาคู่นั้นก็จะมีเรื่องราวมากมายอยู่ภายใต้กรอบกระจกหน้าต่าง เรื่องราวที่อาจจะไม่เหมือนเรื่องของผมเสียทีเดียว
แต่ทั้งสองเรื่องก็ล้วนเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน..
.......................................................................
14 กันยายน 2549 09:27 น.
หมอกจาง
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ท่ามกลางผู้คน ท่ามกลางเพื่อน
ท่ามกลางใครหลายคนที่คุ้นเคย
..ฉันกลับรู้สึกเหมือนว่ามันไม่ใช่ที่ของฉัน
ใครต่อใครหัวเราะ..ฉันหัวเราะ
ใครต่อใครซาบซึ้ง..ฉันซาบซึ้ง
ใครต่อใครโศกเศร้า..ฉันโศกเศร้า
แต่ฉันเป็นเพียงกระจก ที่สะท้อนเงา โดยไม่เปิดเผยตัวตน
..แปลกแยก
คือความแปลกแยกที่คุ้นชิน
เป็นความแตกต่างที่เร้นซ่อน ด้วยคร้านที่จะอธิบายร้องขอความเข้าใจ
ชินชา ด้านชา
กับบางสิ่งที่น้อยคนจะอาจเข้าใจ
คือใบไม้แห้งบนหาดทรายยามค่ำคืน
ที่เหงาในสายลมทะเลและเสียงคลื่น
คือเปลือกหอยที่น้ำทะเลพัดทิ้งลืมไว้บนหาด
ได้แต่มองฟองคลื่นอย่างโหยหา
เหมือนว่ากลมกลืน แต่แตกต่าง
ฉันเป็นเพื่อนร่วมทางผู้โดดเดี่ยว ที่ถูกพัดพามาโดยสายลมแห่งความบังเอิญ
คือผู้เข้าใจ ที่โหยหาความเข้าใจ
คือผู้อ่อนโยน ที่เบื้องลึกนั้นร่ำร้อง วอนขอการดูแล
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมายรายรอบ
ณ ตรงกึ่งกลางนั้น ฉันได้พบกับเพื่อนเก่าผู้คุ้นเคย
คือความแปลกแยก..
..ความแปลกแยกที่แสนคุ้นชิน..
27 สิงหาคม 2549 20:18 น.
หมอกจาง
บนรถประจำทางที่ค่อนข้างโล่ง ฟ้าด้านนอกครึ้มหม่นด้วยยามเย็น เมฆเทาหนาทึบคลุมฟ้าจนทั่ว
ผมนั่งฟังบทเพลงของวง Rolling Stones มองเมืองผ่านกระจกหน้าต่างรถประจำทาง
เหมือนกับว่าผมกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยมีเมืองวิ่งผ่านไปที่ด้านนอก แต่ถ้ามองกันจริงๆแล้ว ผมไม่ได้เคลื่อนไปไหนเลย
ผมยังคงอยู่บนเบาะนั่งตัวเดิม ห่างจากคนขับราวๆ 3 เมตรเช่นเดิม
อยู่บนลูกล้อสี่ล้อ ที่หมุนวนเป็นวง ซ้ำๆรอยเดิม..
ในยามเย็นที่ความมืดค่อยๆเคลื่อนคลุม บ่อยครั้งที่ผมหลอกตัวเองว่านี่คือยามเช้าที่กำลังรอคอยดวงตะวัน..
แม้จะรู้ว่าเป็นการหลอกตัวเอง ให้มีความสุขได้แค่ชั่วครึ่งชั่วค่อนชั่วโมง แต่ก็ยังดี ที่ยังมีได้ความสุขบ้าง
ผมเกลียดกลางคืน กลางคืนทำให้ผมฝัน
ผมเกลียดความฝัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. ความฝันที่ค้างคา
.......................................................
มีปัญหาความรักนะ สลัดเค้าเท่าไหร่ก็ไม่หลุด แม่หมอยิปซีบนหมู่บ้านเยอรมันที่อยู่บนยอดเขาทักหลังจากเปิดไพ่ หมู่บ้านนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมือง ผมมักขึ้นมาเที่ยวในยามที่เหนื่อยหน่ายกับชีวิต และเบื่อหน่ายที่จะไปทะเล
เรื่องการเรียนล่ะ ผมย้ำถามเรื่องเรียน เพราะไม่ได้อยากรู้..เรื่องที่รู้อยู่แก่ใจ
เรียนไม่มีอะไร เรื่อยๆ เรื่องความรัก เด่น ไพ่ขึ้นแต่เรื่องนี้ แกงึมงำ ไม่ยอมเปลี่ยนเรื่อง
ฝันถึงเขา แต่กระทั่งในฝันก็ไม่ยอมเห็นหน้าเขา ไม่ยอมให้ตัวเองพบเขา ใช่มั๊ย ?
สะดุ้งเฮือกเพราะถูกจี้ใจดำ..
ผมนอนไม่หลับมากี่คืนแล้วล่ะ ?
เป็นเดือนแล้วมั้ง ?
ผมไม่กล้าหลับ ทุกครั้งที่เผลอหลับ จะฝันถึงใครคนหนึ่งเสมอ คนที่อยากเจอแทบขาดใจ
แต่กระทั่งในฝันทุกครั้ง ก็เฉียดไปเฉียดมา ไม่เคยได้เจอ
แล้วก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับควา่มรู้สึกโหยหาอย่างรุนแรงทุกทีไป
.
.
.
ดูดวงเสร็จ จ่ายเงินเสร็จ แม่หมอแกคว้ามือผมไว้ ยื่นขวดยาเล็กๆมาให้
ในนั้นมียาลูกกลอนเม็ดเท่าหัวแม่มือเม็ดนึง
เอาไป
ยาอะไรยาย
ยาควบคุมฝัน เสียงดูลี้ลับประหลาดจนผมรู้สึกเย็นวาบ
กินก่อนนอน ฝันอยู่จะรู้ตัว คุมมันได้ อยากให้เป็นยังไงก็ได้
ฝันมันควบคุมกันได้ด้วยเหรอ ผมไม่เชื่อ ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ได้สิ แกผงกหัวช้าๆ ในฝันเธอ จริงๆแล้วทุกคนในนั้นมันถูกสร้างมาจากความคิดของเธอเองทั้งนั้นแหละ
ถ้าเธอรู้ตัว เธอก็ควบคุมมันได้
...........................................
ผมได้ยานั้นมาอาทิตย์นึงแล้ว
ผมไม่กล้าลองกินมัน
สามสี่คืนที่ผ่านมา ผมฝันถึงเธอคนนั้นตลอดสามสี่คืน
ไม่เห็นหน้าเธอเหมือนเดิม
ยิ่งมากคืน ความโหยหายิ่งรุนแรง
ผมอยากเจอเธอสักครั้ง แม้แต่ในฝันก็ตามที
ผมแบ่งยาออกครึ่งเม็ด กินก่อนนอน
.........................................
ในฝัน
ผมเจอเพื่อนเธอ
ถามไถ่ข่าวคราวเธอเหมือนทุกครั้งที่เคยฝัน
เพื่อนเธอบ่ายเบี่ยงว่าเธอไม่อยู่ เดี๋ยวถ้าเธอกลับมาจะบอกให้เธอติดต่อหาผมเอง
ถ้าเป็นทุกครั้ง ผมจะยอมจากมาอย่างโดยดี อย่างผิดหวัง
แต่ครั้งนี้ อะไรบางอย่างบอกผมว่า ไม่ใช่ ผมต้องเจอเธอได้ ผมควบคุมเรื่องราวได้
พี่จะรอเจอเอม นิด จะนานก็ช่าง พี่จะรอ เพื่อนเธอมีสีหน้าไม่สบายใจ หงุดหงิดรำคาญ
แต่ผมก็ดื้อดึงที่จะยืนอยู่ตรงนั้น
ลมเย็นของยามดึก ดอกไม้สีขาวทิ้งกลีบหล่นจากต้น อากาศเจือกลิ่นหอม
ผมคุ้นเคยกับฉากแบบนี้จัง..
.
.
.
เธอมาแล้ว
ผมเห็นเธอเดินมาไกลๆ
ผมรอด้วยใจที่เต้นแรง รอให้เธอเดินมาถึง แต่เธอก็เดินมาไม่ถึงเสียที..
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหา
แต่ไม่ว่าเดินสักเท่าไหร่ ระยะห่างระหว่างเราก็เท่าเดิม..
นี่ผมไม่มีทางได้เจอเธอจริงๆรึ ? แม้กระทั่งในฝัน ?
ผมสะดุ้งตื่น
ควานหยิบยาอีกครึ่งเม็ดกลืนลงไปทันที แล้วบังคับตัวเองให้นอนต่อ
.
.
.
ผมเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง
เหมือนเธอเห็นผม พยายามจะหันหลังวิ่งหนี
แต่ในที่สุดผมก็วิ่งจนทันเธอ คว้าแขนเอาไว้ได้..
เอม หนีพี่ทำไม เสียงนั้นปวดร้าวจนผมแปลกใจตัวเอง
พี่จะเจอเอมอีกทำไมล่ะ เรื่องของเราจบแล้วไม่ใช่รึ?
นั่นสิ.. ผมจะเจอเค้าทำไมนะ ผมเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือ
ผมมองหน้าเอม หน้านั้นเปื้อนน้ำตา ตานั้นหวั่นไหว หวั่นไหวเหมือนครั้งหนึ่งนานมาแล้วที่ผมเคยเห็น
พี่ไม่รู้ว่าจะเจอทำไม แต่พี่อยากเจอ พี่ดีใจที่ได้เจอ.. แปลกนะ ถึงเวลา ผมกลับพูดอะไรไม่ออก
น้ำตาบนหน้าสวยร่วง..
เอมก็อยากเจอพี่
ชื่นใจแล้ว
.
.
.
.
ในฝัน
ผมคุยกับเอมอยู่นาน
เอมมีคนใหม่แล้ว ผมไม่แปลกใจ แต่เจ็บแปลบในอก
ผู้หญิงสวยขนาดเอม นิสัยน่ารักอย่างเอม ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตสิถึงจะแปลก
และเค้าก็ไม่หลงเหลืออะไรให้รอผมแล้วด้วย
จะแต่งงานปลายปีนี้ เอมพึมพำบอก
อื้อ ผมพยักหน้ารับรู้ พี่คงไม่ไป ขอให้มีความสุขนะ สุขตลอดไป..
พูดพลางน้ำตาซึมพลาง
เอมเองก็น้ำตาร่วงอีกหน
ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมพูดคำนี้กับเธอ
แต่ครั้งนี้.. คงเป็นครั้งสุดท้าย
......................................
เช้าวันนั้น ผมตื่นขึ้นมากับความเศร้า
เป็นความเศร้าที่สงบ เย็น ไม่ฟูมฟาย ไม่โหยหา
ทั้งๆที่มันเป็นแค่ความฝัน แต่เหมืิอนอะไรบางอย่างระหว่างผมกับเอมมันได้จบไปแล้ว
อะไรที่เคยค้างคานั้น ไม่อยู่ที่เดิมอีกต่อไป..
ผมพร้อมแล้ว ที่จะเดินไปข้างหน้า
พร้อมที่จะยอมรับกับบางอย่าง
ทิ้งความน่าจะเป็นทั้งหมด
..ให้กลับกลายเป็นเพียงความเศร้าที่เยือกเย็น