20 กันยายน 2550 18:51 น.

อีกหนึ่งนิทานของคนเหงา

หมอกจาง

บางการสบตามีความหมายมากกว่าคำพูดนับพันคำ

ผมกับเธอเจอกันเป็นครั้งที่สอง เพียงแค่ครั้งที่สอง คุยกันไม่เกินสิบประโยค รวมๆแล้วไม่น่าจะเกินร้อยคำ คุยกันด้วยเรื่องราวธรรมดาที่คนธรรมดาซึ่งเพิ่งจะถูกแนะนำให้รู้จักกันพึงจะคุยกัน หรืออีกความหมายหนึ่ง คือคำทักทายที่เปล่ากลวงหาสาระใดๆไม่ได้นั่นเอง

แต่หากจะนับรวมเอาคำพูดที่ผ่านสายตาเข้าไปด้วย เราคงคุยกันอย่างจริงจังไปแล้วไม่ต่ำกว่าหกเจ็ดพันคำ
 
.........................................................

ทุกเสียงหัวเราะในกลุ่มเพื่อน เราจะหันมาสบตาเพื่อที่จะหัวเราะด้วยกันสองคน

และทุกสายตาที่กวาดผ่านกันและกันโดยความบังเอิญและความไม่บังเอิญ เราจะทักทายกันอยู่ในสายตา

เปล่า..เราไม่ได้สบตากันและกันนานกว่าปกติที่ควรจะเป็น แต่เราสบตากันลึกกว่าปกติที่ควรจะเป็น

มีการสั่นไหวที่จับต้องไม่ได้ และกลิ่นหอมที่สูดดมไม่ออก เจือปนอยู่ในชั้นบรรยากาศรอบๆตัว

......................................................

อาจเร็วไปสำหรับคำว่ารัก และผิวเผินไปสำหรับคำว่าผูกพัน

แต่เหมือนเมฆที่ตั้งเค้าจนครึ้มฟ้า จนเชื่อได้ว่าน่าจะมีฝนตก

รอยยิ้มที่หลบอยู่ตามซอกหลืบการรับรู้ของผู้อื่นนั้นหวานเย้ายวน

คำอำลาที่ว่า แล้วว่างๆเจอกันใหม่นะคะ นั้นติดจมอยู่ในเบื้องลึกของใจ จากน้ำหนักในความหมายของมัน

....................................................

และในวันฟ้าใส

ด้วยข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลของผม และเหตุผลที่ไม่สมจะมาเป็นข้ออ้างของเธอ ทำให้เรามาเดินอยู่ในสวนพฤกษชาติลำพังเพียงสองคน

ผมถ่ายรูปเธอหลายสิบรูป ในทุกรูปดวงตาเธอพูดกับคนข้างหลังกล้อง

เหมือนนิทานของคนว้าเหว่สองคนที่พอใจจะเขียนวันเวลาเป็นเรื่องราวสวยงามสักเรื่อง โดยไม่เคยสนใจว่าเรื่องราวนั้นจะสมจริงหรือไม่

เพราะความเปลี่ยวเหงานั้นต้องการเรื่องราว มิใช่ต้องการความเป็นจริง

...................................................

หากจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้แฮมเบอร์เกอร์เย็นชืดมีรสชาติ

ก็คงเป็นสิ่งเดียวกันที่จะทำให้คนสองคนยังเดินคุยกันเลียบริมถนนในยามย่ำเย็นที่สายลมหนาวนั้นพัดแรง

ใบไม้แห้งกรอบร่วงลงจากกิ่ง ก่อนที่ใบใหม่จะผลิบาน

เราเอ่ยคำอำลา เพื่อที่จะนัดหมายครั้งต่อไป

..................................................

เรานัดหมายกันครั้งต่อไป และครั้งต่อไป

เหมือนว่าเราเสพติดความรู้สึกที่เราได้อยู่ร่วมกัน

ดอกไม้ ทะเล ภูเขา ร้านแฮมเบอร์เกอร์ ข้าวราดแกง ผลัดเปลี่ยนเวียนไปในการพบเจอแต่ละครั้ง โดยมีเราสองคนเป็นจุดศูนย์กลาง

ในวันเวลาที่งดงามนั้นเราไม่เคยตั้งคำถามใดๆ

มนุษย์ที่มีความสุขมักคร้านที่จะตั้งคำถามใดๆ

......................................................

รู้ไหม..ว่าดอกกุหลาบที่ไร้รากนั้น เบ่งบานได้

กุหลาบตูมที่โตเต็มที่และปักไว้ในแจกันใส่น้ำนั้น บานได้ไม่แตกต่างจากดอกกุหลาบบนต้นที่ยืนหยัดอยู่บนรากอันแข็งแรง

ที่แตกต่างคือดอกกุหลาบบนต้นนั้น เมื่อร่วงโรยก็ยังสามารถมีดอกใหม่บานสืบต่อกันไป ในขณะที่ดอกกุหลาบในแจกันนั้น บานเพียงครั้งเดียวเพื่อที่จะโรยรา

แต่เราจะแยกความแตกต่างนั้นได้อย่างไร ถ้าหากเราไม่เคยมองหารากของมัน ?

ผมเคยคิด ว่ามันเป็นเพราะว่าเราไม่ใส่ใจจะมองหา แต่มาคิดๆดูอีกครั้ง บางทีอาจเพราะเราหลับตาเพื่อที่จะไม่มอง

.......................................................

และในวันหนึ่งของสายธารวันเวลาที่ยาวนาน ก็เป็นวันสิ้นสุดของเรื่องราวบางเรื่อง

ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและรากดอกกุหลาบ

ผมรู้สึกว่ากลิ่นหอมที่สูดดมไม่ได้ซึ่งเคยล่องลอยอยู่ในอากาศนั้น กลับกลายเป็นของโจรซึ่งถูกขโมยมา จนต้องเก็บงำซ่อนเร้นมันไว้ด้วยความละอาย

และความสั่นไหวรอบๆในยามที่ได้อยู่ใกล้กันนั้นก็กลับแรงขึ้นเหมือนสายลมที่พร้อมจะเขย่าเอนต้นไม้ผุสักต้นให้ล้มลง

ผมยิ้มให้เธอและเขาอย่างจืดชืด

วินาทีนั้นผมอยากเล่นละครให้เก่งกว่าที่ทำไป

....................................................

เหมือนมีคำถามมากมาย และแต่ละคำถามก็เหมือนว่าจะมีคำตอบที่เหมาะสมของมัน

แต่ชีวิตไม่ใช่เลขคณิตและไม่ใช่ปัญหาเชาว์ ที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดลงได้ด้วยคำตอบ

บางอย่างในชีวิตนั้น แม้จะมีคำตอบ แต่ก็ยังคงมีความค้างคา

...................................................

ผมบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นลงในอีกหนึ่งหน้าของนิทานคนเหงา

นิทานที่แต่ละเรื่อง ต่างมีจุดเริ่มและจุดจบ หากแต่ไม่เคยสมบูรณ์พร้อม

และหน้ากระดาษก็ดูเหมือนจะมีหน้าว่างพอที่จะบรรจุนิทานกระท่อนกระแท่นเหล่านั้นอยู่เสมอจนคล้ายไม่รู้จักพอ

บางที ที่ผมทำอยู่ คือมองหานิทานสักเรื่องที่สามารถเติมเต็มทุกหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า

แต่ผมเองก็ไม่มีความมั่นใจ ว่านิทานเรื่องนั้นจะมีอยู่จริง

เพราะทุกครั้งของการมองหา มักจะจบลงด้วยนิทานที่ขาดพร่องอีกเรื่องหนึ่งเสมอมา

.................................................
				
23 สิงหาคม 2550 19:04 น.

ถนนเก่าเก่า

หมอกจาง

ถนนเก่าเก่า
เธอเคยเดินบนถนนเก่าเก่าไหม
ทีบ้านเก่าเก่า ร้านรวงเก่าเก่า ผู้คนหน้าเก่าเก่า
ฉันชอบเดินบนถนนแบบนั้น
เพราะฉันรู้สึกได้ ว่ามันมีเรื่องราวเขียนซ้อนทับกันอยู่บนนั้น

บนทางเท้าทางเล็กเล็ก
มีกี่เท้าต่อกี่เท้าที่เคยเดินผ่าน
มีบทสนทนาต่อกี่บท
มีความรู้สึกต่อกี่แบบ
มีความรักต่อกี่ความรัก ที่เคยเกิดขึ้น

กาลเวลา คือนักเขียนที่ขยันขันแข็ง
มันเขียนเรื่องราวทุกทุกอย่างลงบนทุกทุกสิ่ง
ทั้งเรื่องที่ดี เรื่องที่ไม่ดี
เรื่องความสุขและเรื่องความเศร้า
เรื่องของความรัก และเรื่องของความไม่รัก

ดอกไม้ที่ริมทางเดิน เบ่งบานแล้วโรยรา
โรยราเพื่อที่จะเบ่งบานอีกครั้ง
ทบทวน วนเวียน เหมือนไม่รู้จักจบจักสิ้น
ดอกไม้ดอกใหม่ เหมือนเดิมหรือแตกต่าง จากดอกไม้ดอกเก่าที่โรยรา
ความหมายของมันอยู่ที่ว่า เธอจะเลือกมองอย่างไร

ดอกไม้ปีนี้ ดูไม่แตกต่างจากดอกไม้เมื่อปีก่อน
และก็เหมือนจนแทบจะเป็นดอกเดียวกับเมื่อสิบปีที่แล้ว
แต่ดอกไม้แต่ละดอกก็มีช่วงเวลาของตัวเอง
มีเรื่องราวของตัวเอง
มีความทรงจำ ทั้งของตัวมันเอง
และความทรงจำที่มันทิ้งเหลือไว้ให้ผู้อื่น

ถนนเก่าเก่า
เธอชอบเดินบนถนนเก่าเก่าไหม
บนถนนสายเก่าเก่า ที่มีเรื่องราวมากมายซ้อนทับอยู่บนนั้น
เรื่องราวเก่าเก่า ซ้ำซ้ำ ทีแต่ละเรื่องมีความสำคัญในตัวของมันเอง
แต่ละเรื่อง ที่ล้วนบรรจุความทรงจำถึงใครบางคน
และทิ้งทอดตัวมันเองไว้ ในความทรงจำของใครบางคน

ฉันเดินเพื่อที่จะอ่านเรื่องราว
จากรอยแตกของพื้นหินและรอยหักของกิ่งไม้
จากกลิ่นหอมของดินเปียกและจากสีม่วงของดอกต้อยติ่งที่เบ่งบาน

และพร้อมกันนั้น

ฉันก็เขียนเรื่องราวทิ้งไว้ ในทุกรอยก้าวของฉันที่ย่ำเดิน

 				
25 พฤษภาคม 2550 12:22 น.

ใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรักนั้นตายอยู่ริมทะเล

หมอกจาง

ใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรักนั้นตายอยู่ริมทะเล

ร่างของเธอฝังอยู่ในผืนทราย ตรงที่เธอเคยนั่งและชี้ชวนให้ฉันชมรอยยิ้มของเด็กน้อย

ผมของเธอล่องลอยโบกปลิวอยู่ในสายลมแรงที่ยังคงพัดเหมือนเมื่อวันวาน

ริมฝีปากเธอแตะไว้อยู่บนทุกถ้วยกาแฟที่ฉันดื่ม

และลิ้นของเธอทิ้งร่องรอยไว้ในทุกพร่องของไอศครีม


ใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรักนั้นตายอยู่ริมทะเล

กลิ่นหอมของเธอนั้น ทิ้งจางไว้ในทุกคราวหลังฝนตก

ดวงตาของเธอถูกเก็บเอาไว้ในทุกความฝันของยามหลับและยามตื่น

มือของเธอ ทิ้งร่องรอยอยู่ในมือของฉัน

จนบางทีฉันเผลอคิด ว่าเธอคงเป็นนิรันดร์


ใครคนหนึ่งที่ฉันรักนั้นตายอยู่ริมทะเล

ตายในวันที่แดดแรงและลมร้อน

ตายลงในถ้อยคำที่สะดุดและตะกุกตะกัก

ตายในรอยน้ำตาของฉัน และฉันนึกเอา..ว่าอาจในรอยน้ำตาของเธอเช่นกัน


ใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรักนั้นตายอยู่ริมทะเล..

โดยที่ไม่อาจรับรู้..

 ว่าความรักและความปวดร้าวแห่งฉันนั้น จักเป็นนิรันดร์
 				
17 เมษายน 2550 11:35 น.

เด็กหญิงโชคร้ายกับชายผู้เป็นเจ้าของปราสาทน้ำแข็ง

หมอกจาง



แมวดำยังคงอยู่ในอ้อมแขน..

และสายลมก็ยังคงพัดอยู่เบื้องหลัง

ตราบที่สายลมยังคงพัด เธอก็ยังคงเดิน ยังคงค้นหาอยู่

คงจะมีสักที่ ที่สายลมนั้นหยุดพัด..

..............................................

 ก๊อก ก๊อก ก๊อก ประตูไม้แผ่นบางเก่าคร่ำ ทำให้เสียงเคาะนั้นดูไม่แน่น

เมื่อประตูบานนั้นถูกเปิดออก ชายเจ้าของร้านชำเล็กๆแห่งนี้ก็ได้เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมม อุ้มแมวดำอยู่ในอ้อมแขน ในขณะเดียวกับที่เด็กหญิงก็ได้เห็นชายวัยกลางคน สูงผอม ใส่แว่นตาหนา ท่าทางเหมือนดูมีกังวลอยู่ตลอดเวลาผู้หนึ่ง

 หิวข้าว เด็กหญิงบอกง่ายๆ ชายเจ้าของร้านเปิดประตูออกให้กว้างขึ้น เป็นทำนองเชื้อเชิญให้เข้ามาด้านใน

จะกินอะไรล่ะ ?

อะไรก็ได้ เด็กหญิงลังเลนิดหนึ่ง  แต่ฉันไม่มีเงินนะ

ชายร่างสูงถอนใจ..

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่นักเดินทางยากไร้แวะผ่านมาที่ร้านแห่งนี้โดยไม่มีเงินติดตัวสักแดง เขาไม่เคยพอใจสักครั้งที่เจอกับนักเดินทางประเภทนี้ แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ผู้คนเหล่านั้นเดินจากไปพร้อมกับความหิวโหยเลยสักครั้ง เพราะเขารู้ดีว่าถัดจากร้านของเขาไปแล้ว บ้านหลังถัดไปที่นักเดินทางเหล่านี้อาจจะอาศัยพึ่งพิงได้นั้นอยู่อีกไกล

เขาเป็นพ่อค้า ขณะเดียวกัน เขาก็เป็นคน คนที่มีน้ำใจ

 ข้าวไข่เจียวแล้วกันนะ เด็กหญิงผงกหัวรับ เธอไม่อาจเรียกร้องอะไรได้มาก อีกอย่าง ข้าวไข่เจียวก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร..

เอ่อ

อะไรรึ ? เจ้าของร้านหันมามองเธอ

หั่นหัวหอมใส่ลงไปนิดนึงได้ไหมคะ ? เธอบอกเสียงอ่อย แมวของฉันมันชอบกินหัวหอมในไข่เจียว

 แต่แมวที่เธอถือนั่นมันตายแล้วไม่ใช่รึ? ชายร่างสูงเอ่ยด้วยท่าทางแปลกใจ เขาสังเกตมาแต่แรกว่าแมวนั้นเหมือนว่าจะไม่มีชีวิต

ไม่รู้เหมือนกัน เด็กหญิงส่ายหัว  แต่ไม่ว่ามันจะตายหรือยัง มันก็ชอบกินหัวหอมในไข่เจียว

เจ้าของร้านไม่พูดอะไรต่อ หันไปหยิบหัวหอมมาหั่นเป็นชิ้นบางๆใส่ลงในชามไข่ นอกจากนี้เขายังหยิบไส้กรอกมาฝานเป็นชิ้นๆใส่ลงไปด้วย เด็กหญิงคงชอบ..เขาคิด

.....................................................................

นั่นอะไรน่ะ เด็กหญิงที่อุ้มแมวดำเอ่ยปาก ขณะที่กลิ่นไข่เจียวในกะทะห้องฟุ้งไปทั่วร้านชำ สวยจังเลย

 กินซะ จานข้าวจานโตที่วางโปะไว้ด้วยไข่เจียวแผ่นใหญ่วางตรงหน้าเด็กหญิง กินอิ่มแล้วเดี๋ยวฉันจะพาเข้าไปดู

เด็กหญิงกันข้าวกับไข่เจียวกองไว้ตรงมุมจานด้านหนึ่งให้แมวของเธอ จากนั้นเธอจึงเริ่มกินข้าวจานนั้น สายตายังไม่ละไปจากสิ่งที่เธอเห็น สิ่งนั้นมันอยู่ในห้องนอนของชายเจ้าของร้านซึ่งเปิดประตูแง้มไว้..

..ปราสาทแก้วในกล่องกระจก..



อิ่มแล้วค่ะ เธอขมีขมันลุกขึ้น ข้าวไข่เจียวจานนั้นหมดเกลี้ยงเกลา ยกเว้นแต่เฉพาะที่ที่เธอแบ่งไว้ให้แมวของเธอ

แมวเธอไม่กินข้าวนะ เจ้าของร้านบอกยิ้มๆ

มันไม่กินหรอก เธอตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ มันไม่เคยกินสักที

อ้าว ชายเจ้าของร้านทั้งขำทั้งสงสัย แล้วเธอจะแบ่งให้มันทำไมล่ะ

เด็กหญิงหันมามองหน้า

ก็เพราะแบ่งหรือไม่แบ่ง กับ กินหรือไม่กิน มันเป็นคนละเรื่องกันนี่




ตอนนี้เด็กหญิงอยู่ในห้องนอนชายเจ้าของร้าน ตู้กระจกขนาดใหญ่เท่ากล่องใบโตๆวางอยู่ตรงหน้า ในนั้นมีปราสาทแก้วงดงามวิจิตร ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ทำจากแก้วเช่นกัน

ปราสาทแก้วอันนี้สวยจัง เธอพึมพำ

มันไม่ได้ทำจากแก้วหรอก ชายร่างสูงเอ่ยยิ้มๆ มันทำจากน้ำแข็งน่ะ

โห.. ตอนนี้เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีสายมีท่ออะไรต่อมิอะไรหลายเส้นต่อเข้าทางด้านล่างของตู้กระจก

ท่อพวกนี้น่ะ.. เจ้าของร้านเริ่มอธิบาย ท่อนี้สำหรับทำความเย็นปรับอุณหภูมิ สายไฟเส้นนี้ต่อไปตรงนี้เพื่อคอยตรวจวัดระดับความชื้นข้างใน แล้วตรงนี้ก็.. ฯลฯ เขาอธิบายมันเสียยืดยาว เด็กหญิงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่เธอก็นิ่งฟังโดยดี

คุณสร้างปราสาทนี้ขึ้นมาเองหรือคะ ? เธอถามขึ้นหลังจากที่เขาเล่าสิ่งที่เขาอยากเล่าจบลง

 ไม่หรอก มีผู้หญิงคนนึงเค้าสร้างให้ฉันน่ะ

คนรักของคุณหรือ?

ลูกค้าคนหนึ่งของฉันน่ะ ..แล้วเขาก็เริ่มต้นเล่า แต่คราวนี้ เธอรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังทบทวนและเล่าให้ตัวเขาเองฟัง มากกว่าที่จะเล่าให้เธอฟัง สายตาของเขาลอยไปที่ที่ไกลแสนไกล



..ปีนั้นอากาศหนาว หิมะตกหนักมาก ทั้งๆที่บริเวณแถบนี้ไม่เคยมีหิมะมาก่อน การค้าของเขาแย่เต็มทนเพราะไม่มีนักดินทางคนไหนออกเดินทางในเวลาที่หิมะหนักอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่เคยวิตกกังวล เขาอยู่ตัวคนเดียว มีเงินเก็บและมีอาหารมากพอที่จะอยู่ไปอีกหลายปี

คืนที่หิมะตกหนักที่สุด ประตูร้านของเขาถูกเคาะ หญิงสาวบอบบางหน้าซีดขาวขอเข้ามาหลบหิมะด้านใน เขาให้ที่พักกับเธอ จัดอาหารให้ไม่ขาดตกบกพร่อง แม้เธอจะบอกเขาตั้งแต่ต้นว่าเธอไม่มีเงินติดตัวก็ตามที

เข้ามาพักและอยู่เป็นเพื่อนกับผมสักสองสามวันเถอะ เขาพูดอย่างใจดี หิมะตกหนักอย่างนี้ ไม่มีลูกค้าเลย การที่คุณมาอยู่และทำให้ผมมีเพื่อนคุย ผมจะถือเอาว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจ่ายแทนค่าที่พักและค่าอาหารก็แล้วกัน

ช่วงไม่กี่วันนั้นทั้งสองคุยกันมากมาย

เขาเล่าให้เธอฟังถึงความฝันในวัยเด็ก ความฝันที่อยากมีปราสาทแบบบนภูเขา แบบที่เคยได้ยินได้ฟังมาในนิทาน แบบที่เจ้าชาย เจ้าหญิงเขามีกัน..

 แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก

เป็นไปได้สิ เธอบอกเขาด้วยหน้าตาจริงจัง หน้าเตาผิงที่ไฟคุโชน

วันถัดมาเธอขอให้เขาออกไปเป็นเพื่อนที่ด้านนอก ไปที่แม่น้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ขุดและตัด สุดท้ายช่วยกันลากก้อนน้ำแข็งขนาดเขื่องก้อนหนึ่งกลับมาที่ร้าน

ชั้นจะสร้างปราสาทให้คุณ แต่ขอให้ฉันได้อาศัยอยู่กับคุณอีกสักอาทิตย์หนึ่งได้ไหม

แน่นอนเขาย่อมรับปาก ต่อให้เป็นอีกเดือนหรืออีกปีเขาก็รับปาก

บางทีเขาเคยนึก ว่าถ้าเธออยู่กับเขาตลอดไปก็คงดี..


แต่เธอใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียวก็สามารถเนรมิตปราสาทน้ำแข็งที่วิจิตรสวยงามนี้ขึ้นมาได้ ตัวปราสาทสมจริงจนเหมือนว่าใครสักคนย่อส่วนปราสาทจริงอันแสนงามมาจากที่ไหนสักที่แล้วเสกคาถาทำให้มันเป็นน้ำแข็ง ลวดลายนั้นละเอียดอ่อนจนแม้บางส่วนที่เล็กเท่าเมล็ดข้าวก็ยังมีลายเขียนเอาไว้ เรียบลื่นในที่ที่สมควรเรียบ มีลวดลายในทุกที่ที่สมควรมีลวดลาย เขาไม่เคยเห็นปราสาทน้ำแข็งที่งดงามขนาดนี้มาก่อน

 พรุ่งนี้ฉันต้องออกเดินทางต่อแล้ว เธอบอกเสียงเรียบ

ทำไมล่ะ? เขาใจหายอย่างบอกไม่ถูก  หิมะยังไม่หยุดตกและคุณอยู่ที่นี่ต่อได้นานเท่าที่คุณอยากอยู่

ฉันต้องไป เธอถอนหายใจ แม้ว่าฉันอยากจะอยู่ที่นี่ก็ตาม

คุณรู้ไหม บางทีคนเราน่ะ ก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนเองต้องการทำได้ทุกอย่างหรอก 

เขาส่ายหน้า ไม่เข้าใจ เขาทำในทุกสิ่งที่เค้าต้องการเสมอมา

บางที มันอาจไม่เกี่ยวกับคุณ มันเป็นปัญหาของฉันน่ะ


เธอไปแล้ว

ในวันที่หิมะยังไม่หยุดตก เขาเดินตามรอยเท้าของเธอไปได้เพียงไม่ไกล รอยเท้านั้นก็ถูกกลบหายไปในหิมะ

เขารู้ว่าเขาคงไม่อาจได้พบเธออีกต่อไป สิ่งที่หลงเหลือคงเป็นแค่เพียงความทรงจำ ซึ่งก็คงจะค่อยซีดค่อยจางไปตามกาลเวลา

เขามองไปที่ปราสาทน้ำแข็งอันนั้น เมื่อหิมะหยุดตก ปราสาทหลังนี้ก็คงกลายเป็นแค่น้ำใสๆกองหนึ่ง..

บ่ายวันนั้นเองที่เขาฝ่าหิมะเข้าเมือง เที่ยวเคาะตามประตูร้านค้า ใช้เงินทั้งหมดที่มีซื้อเครื่องทำความเย็น เครื่องปรับระดับความชื้น อะไรต่อมิอะไรที่จะทำให้ปราสาทหลังนี้อยู่กับเขาได้ตลอดไป

เพราะมันไม่ใช่แค่ปราสาท มันคือความทรงจำ..




คุณคงเสียอะไรไปมากสิคะกว่าจะรักษาปราสาทนี้ให้มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่เนี่ย

อื้มม เจ้าของร้านถอนใจ เมื่อก่อนฉันมีที่ดินอยู่ตรงอีกฟากของหุบเขา กับฝูงแกะอีกหนึ่งฝูง แต่ตอนนี้ฉันขายมันไปหมดแล้ว

ค่าอุปกรณ์พวกนี้มันแพงขนาดนั้นเชียว? เธอมองดูสายไฟที่ระโยงระยางอยู่ใต้กล่องแก้วใบนั้น

ไม่หรอก เขาส่ายหัว ที่แพงคือค่าใช้จ่ายดูแลอุปกรณ์พวกนี้ ค่าไฟ ค่าอะไรต่อมิอะไร และที่สำคัญ ฉันไม่ได้มีกระจิตกระใจที่จะค้าขายอีกด้วยต่างหาก

เด็กหญิงมองหน้าเขา เข้าใจ..

ผู้ที่จมอยู่กับอดีต มักไม่ลืมตาขึ้นเพื่อมองอนาคต

ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมร้านของเขาจึงได้เก่าและทรุดโทรมขนาดนี้


นี่ถ้าเธอคนนั้นไม่ต้องจากไปก็คงดีนะ.. เขารำพึงเหมือนบ่นกับตัวเอง




คุณว่าปราสาทจริงๆจะสวยเหมือนอย่างนี้ไหม? เด็กหญิงถามขึ้น

น่าจะนะ หรือบางทีอาจจะสวยมากกว่านี้

แต่บางทีก็อาจสวยน้อยกว่านี้ก็ได้ เด็กหญิงพูดค้าน ชายเจ้าของร้านพยักหน้าเห็นด้วย

อืมม ก็เป็นไปได้

แล้วคุณไม่เคยคิดที่จะไปดูปราสาทจริงๆบ้างรึ ว่ามันสวยมากขนาดไหน? คุณไม่อยากออกไปตามความฝันของคุณหรือ

ทำไมล่ะ ก็เมื่อฉันมีปราสาทน้ำแข็งนี่อยู่แล้ว เขาชื้ไปที่ตู้กระจก  ความฝันของฉันอยู่ที่นี่แล้วไง

เด็กหญิงก้มลงลูบหัวแมวดำเล่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นพูด

ที่คุณเคยฝันไว้ตอนเด็กๆน่ะ คุณฝันถึงปราสาทจริงๆบนเนินเขา หรือว่าคุณฝันถึงปราสาทน้ำแข็งในตู้กระจก ?

ชายเจ้าของร้านไม่พูดอะไร..


.. เขาฝันถึงปราสาทบนเนินเขา..


เนินเขาสีเขียวสะอาดตา ปราสาทเก่าคร่ำแต่สง่างาม สูงจนเขาต้องแหงนหน้าขึ้นมอง และเมื่อขึ้นไปอยู่บนยอดปราสาทเขาสามารถมองไปได้ไกลถึงขอบฟ้า

มันอาจไม่สวยเท่าปราสาทน้ำแข็งหลังนี้ แต่มันก็เป็นปราสาทจริงๆ..

คุณอาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ดูแลถนุถนอมปราสาทน้ำแข็งของคุณไปจนชั่วชีวิต เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่ปราสาทน้ำแข็งต่อให้สวยแค่ไหน ก็ไม่ใช่ปราสาทจริงๆ

เขารู้ว่าเธอพูดถูก

แต่เขาไม่แน่ใจว่าเขายังเหลือความกล้าที่จะฝันแบบเดียวกับเมื่อครั้งยังเด็กอยู่อีกไหม..

เด็กๆมักมีความกล้าแต่ปราศจากความรู้ที่จะทำสิ่งนั้นๆ แต่รอจนเมื่อเขาโตขึ้นและได้รู้อะไรต่อมิอะไรมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากทำ เขาก็สูญเสียความกล้านั้นไป..


เธอเป็นเด็กตัวนิดเดียว.. เขาถามอย่างสงสัย แต่ทำไมเธอถึงเหมือนรู้อะไรต่ออะไรมากนัก

เพราะฉันมีประสบการณ์มากกว่าคุณน่ะ

ทั้งๆที่เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิง แต่ฉันเป็นชายวัยกลางคนนี่นะ ?

อื้มม เธอผงกหน้า มันไม่เกี่ยวกับอายุหรอก

คุณรู้ไหมว่าประสบการณ์คืออะไร?

เจ้าของร้านชำส่ายหน้า ไม่แน่ใจว่าควรตอบหรือไม่.. เขาปล่อยให้เด็กหญิงพูด

 ประสบการณ์คือการเรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ฉันออกเดินทาง ในขณะที่คุณหยุดนิ่งอยู่กับที่ ฉันมีหลายต่อหลายสิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตและขบคิดใคร่ครวญกับมัน ในขณะที่คุณไม่เคยสนใจอะไรนอกจากร้านของคุณและปราสาทแก้วของคุณ..

ดังนั้นฉันจึงเรียนรู้อะไรๆมากมายกว่าคุณ

และดังนั้นฉันจึงมีประสบการณ์มากกว่าคุณ

ชายเจ้าของร้านนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าจะเถียงเด็กหญิงอุ้มแมวดำคนนี้ได้อย่างไร



ฉันต้องไปแล้วหละ ขอบคุณสำหรับอาหาร

เธอจะไปไหน ?

ไปเรื่อยๆ หาคำตอบให้กับคำถามของฉัน

คำถามของเธอคืออะไร ลองบอกมาสิ บางทีฉันอาจจะช่วยหาได้นะ เขายังอยากรั้งเธอให้อยู่กับเขาอีกสักครู่ เธอทำให้เขาต้องใคร่ครวญอะไรบางอย่าง

เปล่าประโยชน์ เธอสั่นหน้า ถ้าคุณจะออกเดินทางเพื่อหาอะไรสักอย่าง คุณต้องหามันด้วยตนเอง เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดมันไม่ได้อยู่ที่การหาพบหรือเปล่า แต่มันอยู่ในห้วงขณะที่คุณหา


เด็กหญิงเดินออกไปไกลแล้ว

ชายเจ้าของร้านชำนั่งมองปราสาทน้ำแข็งของเขานิ่ง

ในตู้กระจก เขามองไม่เห็นปราสาทน้ำแข็ง เขามองเห็นปราสาทจริงๆสีทึบทึมแต่สง่างาม ตั้งอยู่บนอิฐเขียวเกาะด้วยคราบตะไคร่บนเชิงเขา

เห็นเขาอยู่บนหอคอยยอดปราสาท เห็นเธอคนนั้นอยู่เคียงคู่..

เขาเห็นความฝันของเขาอีกครั้ง..


ปราสาทจริงๆนั้นอาจดูแย่ที่เขาคิด และเธอคนนั้นตอนนี้อาจอ้วนฉุแก่ชรา

หรือไม่ทุกสิ่งก็อาจงดงามกว่าที่เค้าคิดฝัน..

แต่นั่นคือสิ่งที่เค้าต้องไปเห็นกับตา มิใช่นั่งฝันอยู่แต่ในร้านขายของชำ ปล่อยให้ลมฝนและลมหนาวพัดผ่านไปทีละปี ทีละปี..


นี่ เธอรอด้วย เด็กหญิงที่อุ้มแมวดำหันไปมอง เห็นชายเจ้าของร้านชำถือกระเป๋าเสื้อผ้าตามมา ฉันจะออกเดินทางเหมือนกัน เราเดินไปด้วยกันสักพักนะ

อื้มม เธอยิ้มรับ แล้วปราสาทน้ำแข็งของคุณล่ะ

ฉันถอดปลั๊กมันออกแล้วหละ เขาทำหน้าเศร้า อีกไม่นานมันคงละลายจนหมด

ดังนั้น เรารีบเดินกันเถอะ ฉันอยากไปจากที่นี่เร็วๆ ว่าแล้วร่างสูงก็เดินนำหน้าออกไปทันที



เด็กหญิงโชคร้ายมองร่างสูงนั้นก้าวไป เธอยิ้มอย่างยินดี

เธอรู้ว่าตอนนี้เธอมีเพื่อนร่วมทาง แม้ว่าอีกไม่นานชายคนนี้ก็ต้องแยกไปตามทางของเขาเองก็ตาม

แต่เธอไม่เหงาหรอก

เธอรู้ดีว่า ไม่ว่าอย่างไรเธอยังคงมีเพื่อนร่วมทางอยู่คนหนึ่งเสมอ..

เด็กชายคอขาดคนนั้น.. แม้ว่าเธอกับเขาจะเดินในทิศตรงกันข้าม 


แต่มันก็คือทางเส้นเดียวกันมิใช่หรือ?

.......................................................................



  				
28 มีนาคม 2550 13:06 น.

เธอบอกว่าชาติก่อนเธอเกิดเป็นปลาโลมา

หมอกจาง



เธอบอกว่าชาติก่อนเธอเกิดเป็นปลาโลมา

ฉันขำ.. 

ฉันไม่เคยได้ยินใครมาบอกว่าชาติก่อนเคยเกิดเป็นปลาโลมา

เคยแต่ได้ยินว่าชาติก่อนเขาเกิดเป็นผู้ชาย ผู้หญิง เป็นขอทาน เป็นคนร่ำรวย 

เป็นนักบุญ เป็นอะไรต่อมิอะไร 

แต่ไม่มีใครสักคนที่บอกว่าเคยเกิดเป็นปลาโลมา

แต่เธอยืนยันว่าเธอเคยเกิดเป็นปลาโลมา


เราจับมือกันเดินเล่น เดินเล่นอยู่ริมทะเล

เริ่มออกดินจากอ่าวตังเกี๋ย เลาะมาตามทะเลจีนใต้ แล้ววกเข้าอ่าวไทย

จากนั้นก็ตีโค้งผ่านช่องแคบมะละกา เดินย้อนขึ้นมาทางฝั่งอันดามัน

ตลอดทาง เราถกเถียงเรื่องที่ว่าเธอเคยเกิดเป็นปลาโลมา

พระอาทิตย์ขึ้นและตกไปหลายร้อยครั้ง

มือเรากุมกัน และปล่อยมือกันไปนับพันครั้ง

ตอนนี้มือเรากุมกัน

เธอก็ยังยืนยันว่าเธอเคยเกิดเป็นปลาโลมา


เธอโกรธ..เมื่อฉันเอ่ยถามว่า หากเธอเคยเป็นปลาโลมาจริง ทำไมชาตินี้เธอถึงว่ายน้ำไม่เป็น

เธอโกรธ..เมื่อฉันบอกว่า คงไม่มีคนปกติที่ไหนจะคิดว่าตัวเองเคยเป็นปลาโลมา

เธอโกรธ..เมื่อฉันบอกว่า เธออาจพูดถูก เพราะหากเธออ้วนอีกหน่อย เธอคงเหมือนปลาโลมาได้ในชาตินี้

เธอโกรธ..เมื่อ..เมื่อ..และเมื่อ ฯลฯ

ฉันพูดให้เธอโกรธห้าร้อยห้าสิบแปดครั้ง

เธอโกรธฉันห้าร้อยหกสิบครั้ง

มีอยู่สองครั้งที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ

แต่เธอก็ยังยืนยันว่าเธอเคยเกิดเป็นปลาโลมา


เราผ่านกลางวันที่พระอาทิตย์ดวงใหญ่กว่าพระอาทิตย์ปกติสิบเท่า ดวงอาทิตย์ร้อนจนเหงื่อของเธอไหลทำให้เกิดน้ำท่วมขึ้นมาถึงข้อตีน มากเสียจนฉันเตรียมมองหาไม้ท่อนเหมาะเพื่อมาขุดทำเรือ ถ้าหากว่าเหงื่อของเธอจะยังไม่หยุดไหล

และมีอยู่บางคืนที่เราเดินผ่านฝนดาวตกด้วยกัน ฉันกางร่มสีฟ้าให้เธอ ดาวตกลงบนร่มดังแปะ แปะ แปะ ดาวตกกระเด็นตกไปที่ข้างทาง จิ้งหรีดหลายตัวสีปีกเป็นเพลงและโดดเข้ากินดาวตกเหล่านั้น และมีคางคกคอยส่งเสียงเบสเพี้ยนๆกำกับจังหวะ

เราสองคนเดินกุมมือผ่านขบวนรถไฟที่แล่นไปอินเดีย รถไฟคันนั้นยาวมาก ยาวเสียจนเธอลงความเห็นว่าเมื่อหัวรถไฟมันไปถึงอินเดียแล้วนั้น ส่วนหางของมันอาจยังไม่ได้ออกจากสถานีต้นทาง

เราเดินผ่านและได้เห็นช้างตัวเท่ามด ซึ่งมดตัวที่ว่านั้นสามารถเดินข้ามภูเขาได้ด้วยการก้าวเพียงแค่สองก้าวคือก้าวขึ้นและก้าวลง เราต่างไม่แน่ใจว่าเราควรพูดว่าช้างนั้นตัวเล็ก หรือว่ามดนั้นตัวใหญ่ แต่บางที ภูเขาอาจไม่โตสักเท่าใดก็เป็นได้

เราผ่านอะไรต่อมิอะไรด้วยกันมามากมาย

แต่เธอก็ยังยืนยัน ว่าชาติก่อน เธอเคยเกิดเป็นปลาโลมา


ตรงอ่าวเบงกอล

ในยามที่พระอาทิตย์สีส้มๆลูกกลมกำลังละลายน้ำ จนน้ำแถวนั้นก็ค่อยๆกลับกลายเป็นสีเดียวกับดวงอาทิตย์

ในยามที่นกบางตัวที่แอบหลับในยามบ่ายแก่ๆ จะตื่นขึ้นเพื่อบินวกไปวนมาด้วยความสับสนไม่แน่ใจว่ามันคือยามเช้าหรือยามเย็น และมันควรกลับรังหรือควรเริ่มต้นออกหากิน

ในยามที่ปลาเสือรอให้ดาวดวงแรกแจ่มจางขึ้นที่ริมขอบฟ้า เพื่อที่ว่ามันจะได้ฉีดน้ำยิงดาวดวงนั้นให้ตกลงมาในท้องทะเลและคาบเอาไปอวดคู่รัก

ในยามนั้น เธอบอกกับฉันอีกครั้ง ว่าชาติก่อนเธอเคยเกิดเป็นปลาโลมา

และยามนั้นเอง ที่ฉันบอกกับเธอ ว่าฉันดีใจที่เธอเกิดเป็นปลาโลมาในชาติก่อน มิใช่ชาตินี้


เพราะฉันไม่อยากที่จะมีความรักกับปลาโลมา





				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง