3 เมษายน 2551 15:48 น.
หมอกจาง
ผมเป็นคนที่โง่เรื่องดอกไม้โดยแท้
ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อ ตาเบบูญ่า ผมได้ยินมันจากปากหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวร่างบาง ผมดำขลับและดวงตาดำเป็นประกาย
“ฉันชอบดอกตาเบบูญ่า” เธอบอกผมในวันหนึ่ง ที่เราเดินเคียงข้างกันบนถนนอันเงียบเชียบ ใบไม้แห้งร่วงรายตามพื้นเพราะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันเป็นฤดูใบไม้ผลิซึ่งมีฤดูร้อนอันสดใสรออยู่ ต่อมาภายหลังผมจึงรู้ ว่ามันคือฤดูหนาวต่างหากที่ทอดรอตรงเบื้องหน้า
“ดอกตาเบบูญ่ามีสีอะไร?” ผมถามอย่างคนไม่รู้ และเธอหัวร่อคิก
“นี่คุณไม่รู้จริงๆรึ”
“ก็จริงน่ะสิ”
..
..
“ดอกตาเบบูญ่ามีสีชมพูนะ คุณชอบดอกไม้สีชมพูมั๊ย?”
ผมไม่ได้ตอบ ผมมัวแต่มองดวงตาดำขลับของเธอ และคิดว่าถ้านั่นคือดอกไม้ มันจะเป็นดอกไม้ที่ผมชอบมากที่สุดในโลก
........................................
ถ้ารอยเท้าที่ย่ำลงบนพื้นจะทำให้พื้นหินสึกกร่อนลงไปได้ ทางที่เราเดินเคียงกันเป็นประจำคงสึกกร่อนเป็นร่องเป็นรอยไปแล้ว
โชคดีที่น้ำหนักของเท้านั้นเบากว่าก้อนหินและโชคดีที่น้ำหนักของความคิดถึงนั้นเบากว่าดวงตา
บางคำว่าคิดถึงในโลกถูกเอ่ยออกโดยปราศจากความรู้สึกคิดถึง แต่เราสองคนคิดถึงกันโดยไม่เคยเอ่ยคำว่าคิดถึง เราปล่อยให้สายลมที่พัดผ่านหัวไหล่ของเราสองคนขณะเดินเคียงกันกระซิบคำนั้นแทนเรา โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่าเราต่างไม่ได้หูฝาด บางสิ่งที่คลับคล้ายความรัก
และนั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาจนเนิ่นนานมาแล้ว
..........................................
ทุกๆครั้งที่ผมเห็นดอกตาเบบูญ่า ผมมักหยุดยืนมองมันเสมอ มันทำให้ผมคิดถึงเธอทุกครั้ง ตาเบบูญ่าสีชมพู สีที่เธอชอบ
.........................................
“บอกสิว่าคุณไม่รักผม ?” ผมถามด้วยดวงตาที่แตกร้าว แววตาเธอก็แตกร้าวเช่นกัน
“ฉันไม่รักคุณ” เธอตอบ “ทำไมชั้นต้องรักคุณด้วยล่ะ ตอบมาสิ มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องรักคุณ คุณลองบอกมาสิ”
นั่นสินะ
มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่เธอจะต้องรักผม
เธอมีใครบางคนอยู่แล้ว ใครบางคนที่เพียบพร้อมกว่าผมนับร้อยเท่า ใครบางคนที่เธอกับเขาคบกันมายืดยาวหลายปี ก่อนที่เธอจะมาเรียนต่อ ใครบางคนที่เธอกำลังจะกลับไปหาในอีกไม่เกินหนึ่งเดือนข้างหน้า
นี่ยังไม่นับ ว่าผมเองก็มีใครบางคนรอคอยอยู่เช่นกัน
เธอไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะมารักผม อันที่จริงผมเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปรักเธอเช่นกัน
มันไม่มีเหตุผลเลย
“การที่ฉันจะรักคุณน่ะ มันคงเป็นไปไม่ได้พอๆกับการที่ตาเบบูญ่าจะออกดอกเป็นสีเหลืองนั่นแหละ”
ผมจำประโยคนี้ของเธอติดใจ
...............................................
“ถ่ายรูปให้กูหน่อย”
“ถ่ายรูปอะไรวะ”
“ต้นไม้ต้นนั้นน่ะ ต้นตาเบบูญ่าสีเหลืองต้นนั้น” ผมชี้มือเหมือนคนเหม่อลอย หนึ่งปีหลังจากกลับมาเมืองไทย หนึ่งปีหลังจากไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเธอเลย ในบ้านสวนของเพื่อน ริมน้ำแม่กลอง ผมเห็นดอกตาเบบูญ่าสีเหลือง
ผมอยากบอกกับเธอเหลือเกิน ว่าตาเบบูญ่าสีเหลืองมันมีอยู่จริงๆ
..................................................
ไม่ยากที่ผมจะหาที่ทำงานของเธอ เพื่อนบางคนของเราเป็นเพื่อนคนเดียวกัน ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเราติดต่อกันไม่ได้ เพียงแค่เราคงเลือกที่จะไม่ติดต่อกันเท่านั้น
ชีวิตของเธอดีอยู่แล้ว ผมไม่อยากเข้าไปทำให้เธอวุ่นวายอีก
แต่ครั้งนี้ ผมแค่อยากบอกเธอ ว่าดอกตาเบบูญ่าสีเหลืองมีอยู่จริง
“มาได้ยังไง” เธอนิ่ง อึ้ง เมื่อเห็นผมเดินเข้าไปทัก เธอสวยกว่าที่ผมเห็นครั้งล่าสุดเสียอีก ผมอยากพูดอะไรหลายอย่าง แต่ความเจ็บเสียดในหน้าอกทำเอาพูดไม่ออก
เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
“สบายดีไหม?” ผมถาม เธอตอบว่า สบายดี
เวลาผ่านไปช่วงใหญ่เราจึงเริ่มพูดคุย พูดคุยอะไรที่ไม่สลักสำคัญ อาจมีสิ่งเดียวที่สำคัญ เธอบอกว่าเธอกำลังจะแต่งงาน
“กับคนที่รักกันตั้งแต่ตอนนั้นหรือ?”
“เปล่า” เธอตอบ ก้มหน้า
ผมมีรูปถ่ายดอกตาเบบูญ่าสีเหลืองติดตัวมาด้วย ตั้งใจว่าจะเอามาให้เธอดู ตั้งใจว่าจะบอกเธอ
“รู้มั๊ย ว่าดอกตาเบบูญ่าที่เป็นสีเหลืองก็มีนะ”
ผมท่องประโยคนี้ซ้ำๆ หลายร้อยหลายพันเที่ยวก่อนจะมาหาเธอ
“รู้มั๊ย ว่าดอกตาเบบูญ่าที่เป็นสีเหลืองก็มีนะ”
“รู้มั๊ย ว่าดอกตาเบบูญ่าที่เป็นสีเหลืองก็มีนะ”
“จะมางานแต่งงานฉันมั๊ย ?”
“คงไม่ วันนั้นผมไม่ว่างน่ะ”
เธอพยักหน้า เข้าใจ
“แล้วฉันจะส่งรูปไปให้ดูนะ”
“อื้มม”
สุดท้าย ผมก็ไม่ได้บอกกับเธอ ว่าดอกตาเบบูญ่าสีเหลืองมีอยู่จริง
มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอก
............................................
ผมเปิดซองจดหมายขนาดใหญ่ด้วยมือสั่นเทา
จ่าหน้าคนรับถึงผม ผู้ฝากส่งเป็นชื่อเธอ แต่ในที่อยู่ผู้ฝากกลับระบุเป็นประเทศออสเตรเลีย ทั้งๆที่ไปรษณีย์ต้นทางอยู่ในกรุงเทพฯ
ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยผ่านเลย
เธอส่งรูปงานแต่งมาให้ตามสัญญา
เพื่อนหลายคนที่ไปงานแต่งเธอ บอกเล่า ว่างานนั้นจัดใหญ่โต แขกเหรื่อมากมาย เจ้าบ่าวดูดี และเป็นคนมีชื่อเสียงในวงสังคมพอดู
ผมดีใจ ที่ผมไม่ได้ไปงานวันนั้น
ข้างในมีรูปอยู่หนึ่งบาน ผมกลั้นใจดึงรูปออกมา เธอคงอยู่ในชุดเจ้าสาว ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
ใบหน้าเธอในรูปนั้นเปี่ยมรอยยิ้มจริงๆ
เป็นใบหน้าอ่อนเยาว์ในชุดนักศึกษา คงถ่ายไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว
เธอยิ้มอย่างสดใส ที่ด้านหลังที่เธอยืน มีดอกตาเบบูญ่าดอกสีเหลืองออกดอกบานสะพรั่ง
..
..
“รู้มั๊ย ว่าดอกตาเบบูญ่าที่เป็นสีเหลืองก็มีนะ”
..
..
ผมซบหน้าลงกับรูป และเริ่มต้นร้องไห้
..................................................
28 มีนาคม 2551 12:58 น.
หมอกจาง
โลก
ยิ่งฉันรู้จักเธอมากขึ้น
ฉันก็ยิ่งรักเธอน้อยลง
ความซึมเศร้าไม่ใช่มหาสมุทรหรือลำธาร
ไม่ใช่ฝนที่เทร่วงมาจากฟากฟ้า
ไม่ใช่แม้กระทั่งน้ำค้างที่ร่วงเผาะในยามเช้า
แต่มันเหมือนไอน้ำบางเบา ที่เจืออยู่ในบรรยากาศ
ที่ทำหัวใจฉันอับชื้น
และเมื่อนานวันเข้า ตะไคร่น้ำสีเขียวก็เริ่มมาเกาะกุม
เมื่อตะไคร่น้ำสีเขียวจับพอกพูนหนา
ก็เหมือนว่าหัวใจฉันก็จะยิ่งด้านชา
ฉันเจ็บปวดน้อยลง ห่วงใยใครต่อใครน้อยลง
อ่อนไหวกับเรื่องราวน้อยลง
และแทบไม่รู้สึกสุข ไม่ว่ากับเรื่องราวใดใด
โลกกลายเป็นสีเขียวหม่นหม่นที่ชื้นแฉะ
ความเป็นจริงกลับกลายเหมือนไม่ใช่ความเป็นจริง
มันเหมือนมีบางอย่างที่สั่นไหวอยู่เบื้องลึก
ที่เพียงฉันเอื้อมแตะ สิ่งเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนรูป
ในรูปมีรูปซ่อนอยู่อีกหลายรูป
ในเรื่องราวคือหน้ากากของอีกหลายเรื่องราว
บ่อยครั้งที่เมื่อฉันเดินไป จะหยุดและทรุดตัว แตะผืนดิน
เพื่อยืนยันว่ามันจะไม่พังทลายลงต่อหน้า
ความเป็นจริงบางครั้ง ก็เหมือนคนรักเก่า
ที่เราเคยได้ข่าวคราวการแต่งงานจากสายลมที่พัดผ่านหูเพียงหนึ่งข้าง
รับรู้อย่างเลือนรางและไม่อยากที่จะยืนยัน
โลก
ยิ่งฉันรู้จักเธอมากขึ้น
ฉันก็ยิ่งรักเธอน้อยลง
7 มีนาคม 2551 09:14 น.
หมอกจาง
ฉันอาศัยอยู่ในโลกใบเล็กเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำตา
ข้างบนเป็นท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว
พื้นที่ข้างล่างกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นพื้นน้ำตื้นตื้นที่ฉันอาจลุยย่ำไปได้
และมันก็เล็กเสียจนฉันย่ำไปไม่รู้จักกี่รอบ
ฉันสำรวจทุกที่ทุกทางของโลกใบนี้
สำรวจในทุกแง่ทุกมุม ทุกสิ่งที่มันเป็น เคยเป็น หรือกำลังจะเป็น
สำรวจในทุกความเป็นไปได้ และในทุกความเป็นไปไม่ได้
หลายแง่มุม ฉันเห็นมันอยู่ซ้ำซ้ำ แต่ฉันก็ยังคงเดินวนและมองไปรอบรอบ
เผื่อว่าบางที ฉันอาจสังเกตเห็นสิ่งเดิมจากแง่มุมที่ฉันไม่เคยมอง
ที่นี่ฝนตกทุกวัน ตกไม่เป็นเวล่ำเวลา
บางทีตกตอนเช้า บางทีตกตอนสาย
บางทีตกตอนค่ำค่ำ
และบางที ฉันตื่นมากลางดึกเพื่อที่จะพบว่าฝนกำลังตกอยู่
อาจเพราะด้วยความที่ที่นี่มีฝนตกอยู่ตลอดเวลา
ตกมากจนกระทั่งถึงมากที่สุด
ฉันจึงไม่เคยรู้สึกว่าฉันไม่เปียกแม้สักวินาที
กระทั่งวันที่แดดจัดลมพัดแรงก็ตาม
งานอดิเรกของฉันที่นี่คือการวาดภาพ
ด้วยว่าที่นี่ไม่มีอะไรให้ฉันดูมากนัก
ดังนั้น ภาพส่วนใหญ่ที่ฉันวาดจึงมักมาจากความทรงจำ
ฉันรื้อค้นความทรงจำจนกระจัดกระจาย
หยิบเอาส่วนที่แจ่มชัดมาวาดบันทึกไว้
หยิบเอาส่วนที่พร่าเลือนมาเสริมแต่ง
และบางครั้งระหว่างภาพต่อภาพที่ขาดหาย ฉันเติมมันด้วยจินตนาการ
ตอนนี้ฉันมีภาพอยู่มากมาย
หากแต่ว่า ฉันเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว
ว่าภาพไหนคือภาพจริง ภาพไหนคือภาพที่ถูกเสริมแต่ง
และภาพไหนคือภาพฉันวาดขึ้นมาเองจากจินตนาการ
ฉันอาศัยอยู่ในโลกใบเล็กเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำตา
แต่ฉันไม่เคยเลยสักครั้งที่จะร้องไห้
ฉันนั่งมองทะเลน้ำตา ที่กระเพื่อมเบาเบาอยู่รอบรอบตัว
และนึกกลัวว่าถ้าฉันเพิ่มมันลงไปอีกสักหยด ฉันคงจมน้ำตาย
ณ ที่แห่งนี้ ฉันมีแขกไม่มากนัก
อันที่จริงควรพูดว่า ฉันไม่มีแขกเลยแม้แต่คนเดียวต่างหาก
ฉันมีผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมอยู่เรื่อยๆ
บ้างก็เข้ามาเยี่ยมชมภาพเขียนของฉัน
บ้างก็เข้ามาเยี่ยมชมโลกที่เจิ่งด้วยน้ำตาแห่งนี้
แต่การเยี่ยมชมนั้น ต่างจากการมาเยือน
เหมือนกับที่เราไม่เคยนับตัวเองว่าเป็นแขก เมื่อไปยามไปเที่ยวชมสวนสัตว์
ฉันอาศัยอยู่ในโลกใบเล็กเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำตา
ดวงตาฉันแห้งผาก ในขณะที่ร่างกายเปียกปอน
และฉันก็เป็นโรคไอไม่หยุดหย่อน เหตุด้วยปอดที่อับชื้น
ฉันไม่เคยไปหาหมอให้รักษา เพราะฉันรู้ว่าเขาคงไม่เข้าใจ
ว่าฉันอาศัยอยู่ในโลกใบเล็กเล็ก ที่เต็มไปด้วยน้ำตา..
9 มกราคม 2551 10:18 น.
หมอกจาง
เหมือนนาฬิกาทรายที่ไหลเปลี่ยนข้างอย่างช้าช้า
เธอจำได้ไหม ว่านานแค่ไหนกันแล้วที่เราไม่ได้พบกัน
เราไม่ได้จากกันบนความทรงจำที่ดีเลย
รอยแตกร้าวบนความสัมพันธ์เหมือนกระจกที่ถูกทุบแตก
และรอยแยกนั้นมันกินมาทางฝั่งฉันมากกว่าทางฝั่งเธอ
เรื่องราวระหว่างเรา ไม่ว่าที่งดงามหรือขื่นขม
ฉันจดจำมันด้วยความเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึง
เจ็บเหมือนหนามแหลมที่ฝังอยู่ในเนื้อและสะดุ้งทุกครั้งเมื่อมีอะไรมากระทบโดน
ใครบางคนเคยบอกว่าวันเวลาคือหมอที่ดีที่สุดสำหรับบาดแผลของจิตใจ
แต่สำหรับฉัน เพียงแค่วันเวลา มันไม่อาจช่วยอะไรได้
ความเข้าใจที่มาพร้อมกับวันเวลาต่างหากที่ช่วยชีวิตฉัน
ฉันผ่านเวลามาเนิ่นนาน ผ่านผู้คนมามากมาย
ผ่านเรื่องราว ทั้งของตนเอง และของผู้อื่น
ตาดู หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น สมองคิด และใจก็รู้สึก
เธอไม่เคยรักฉันเลย
นั่นคือคำตอบที่ฉันค้นพบจากวันเวลา
เธอรักตัวเอง ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกอะไร เราทุกคนต่างก็รักตัวเองกันทั้งนั้น
หากแต่ความรักตัวเองของเธอ ไม่เคยเหลือเผื่อแผ่ให้ฉันสักน้อยนิด
เมื่อฉันให้เธออย่างให้เปล่าและไม่ร้องขอ เธอก็ละเลยที่จะหยิบยื่นกลับแม้แต่คำขอบคุณ
เราจากกันนานแล้ว
ฉันเคยรักเธออย่างที่สุด และเคยเกลียดเธอย่างที่สุด
แต่ ณ เวลานี้ ฉันไม่เหลือความรัก ไม่เหลือแม้กระทั่งความเกลียดที่จะให้กับเธอ
เธอกลายเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยในความทรงจำ
เป็นเหมือนตัวละครในนิยาย ที่ฉันเปิดอ่านเป็นบางครั้ง และหลุดลอยออกไปจากความคิดเมื่อฉันปิดหน้าหนังสือ
เป็นเรื่องเล่าของวันวานที่ห่างไกล ซึ่งฉันอาจเกริ่นขึ้นต้นเรื่องนั้นว่า “เมื่อกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..”
คนแปลกหน้า
เธอจะกลับมาทำไม ?
งานเทศกาลทั้งหลายทั้งปวงได้ผ่านไปแล้ว
ฤดูใบไม้ผลิซึ่งดอกไม้พากันเบ่งบานได้ผ่านไปแล้ว
สายน้ำที่เคยรินไหลได้เหือดแห้ง เหลือเพียงลำคลองอันว่างเปล่า
เธออาจกลับมายืนอยู่ที่เก่าได้ แต่เธอไม่อาจย้อนมันกลับไปห้วงเวลาเดิม
เหมือนนาฬิกาทรายที่ไหลเปลี่ยนข้างอย่างช้าช้า
ที่แม้ว่าเธอจะพลิกมันกลับมาตั้งขึ้นใหม่
วันคืนในความทรงจำก็ไม่อาจย้อนคืนกลับมา
คนแปลกหน้า
เธอจะกลับมาทำไม ?
2 ตุลาคม 2550 14:05 น.
หมอกจาง
เทพธิดาตัวน้อยน้อย
นำพาข่าวชิ้นเล็กเล็ก
กระซิบบอก ว่าลมหนาวกำลังเดินทางมา
ใบไม้ทางเหนือเริ่มร่วง
สายหมอกเริ่มหนาและจับฝ้าตามกระจกหน้าต่าง
น้ำค้างเริ่มหยดลงทักทายยอดหญ้าในบางวัน
บทกวีหลายบทกำลังจะผลิบาน
ความทรงจำบางอย่างของฉันเหมือนเม่นที่จำศีล
นอนหลับคุดคู้ในบางฤดูกาล
ตื่นตาใสในบางช่วงบางยามของปี
และมันมักตื่นขึ้นเมื่อยามที่ลมหนาวมาเยือน
เหมือนสุราที่ขมปร่าและกร่อนกัด
เมามายและลืมตัว จ่อมจมอยู่เพียงภวังค์
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงพอใจที่จะเสพอยู่ซ้ำซ้ำ
ความทรงจำบางอย่างเป็นเช่นนั้น
รอยเท้าบนผืนทรายหรือริ้วรอยของสายลมบนก้อนหิน
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด กาลเวลาก็ย่อมอาจลบเลือนมันได้จนหมดจด
ความทรงจำก็เฉกเช่นเดียวกัน ที่ย่อมอาจลบเลือนได้ด้วยกาลเวลา
ต่างกันเพียงว่ามันจะช้าจะเร็วกว่าชีวิตฉันเท่านั้น
ใบไม้ร่วงจากทางเหนือเริ่มร่นเข้ามาแล้ว
ฝ้าสายหมอกเริ่มทักทายมาใกล้ขึ้น
น้ำค้างหยดน้อยสนิทสนมคุ้นเคยกับยอดหญ้า
ความทรงจำขยับกาย และบทกวีก็ลืมตา ผลิบาน
เทพธิดาตัวน้อยน้อย
นำพาข่าวชิ้นเล็กเล็ก
กระซิบบอก ว่าลมหนาวกำลังเดินทางมา