13 กรกฎาคม 2548 20:34 น.

ทางสายเปลี่ยว

ส่องหล้า

รอยเกวียนเวียนหมุนกรุ่นรอย
ตีนควายเรียงร้อย...เลือนหาย
รอยเท้าชาวนาวางวาย
ทุนนิยมแผ่ขยายประทับรอย...

ฝุ่นควันโยงนามาเมือง
ควายทุยเขาเขื่องเชื่องหงอย
สนตะพายรุมรัดกระหวัดคอย
เปลี่ยนจากควายมาเรียงร้อยหัวใจคน

ทุ่มเม็ดเงินเพลินเยื่อเพื่ออยาก
วัตถุกรากเข้าโถมโลมหน
ปรุงปั้นตัณหามาให้ยล
แล้วปล้นฉกเคล้าเป็นเงาตาม

หว่านทุ่งมือถือเข้าเถือ
หว่านเงินเป็นเยื่อขยาดขาม
บ้านแพงเป็นแถวงดงาม
รถยนต์ล้นหลามท่วมเมือง

ถนนหนทางกว้างลิบ
คดโค้งโยงขลิบฝุ่นเขื่อง
ตึกรามงามฟุ้งรุ่งเรือง
ไฟสว่างกลางเมืองวิไล...

เม็ดทรายต้นทุนทุนนิยม
กักตุนทับถมคว้าไขว่
อินทรีย์ผงาดปีกไกว
พัดทรายท่วมฟ้าฝ้าฝาง

ฝุ่นควันเริ่มจางบนทางเปลี่ยว
โดดเดี่ยวดั่งแดนรกร้าง
รถยนต์สนิทนิ่งข้างทาง
ไฟมืดลมคว้างมืดมน

ทางเกวียนไม่หวนย้อนรอย
เชือกร้อยสนตะพายหน
ทุนนิยมอื้ออึงอึงอล
ทางเปลี่ยวกว้างล้นเกินแรงเดิน...				
28 มิถุนายน 2548 12:44 น.

สันติธรรมจงบังเกิด

ส่องหล้า

ผู้กอบบุญ กอบกุญ คุณครูไทย
พลีหัวใจพลีกายในสถานฯ
พื้นแผ่นดินคุกรุ่นอุดมการณ์
พลีเลือดฉานจากฟ้าลงทาดิน

เลือดหยดหนึ่งของสตรีขอพลีบาป
มนต์คำสาปบอดใบ้ให้หมดสิ้น
หนึ่งสตรีพลีเลือดเชือดชีวิน
.สลาม สลามแผ่นดินสันติธรรม

จะงอกงามหรือทรามเสื่อมเอือมกระอัก
จ่อมจมหนักอวิชชาเข้ามาซ้ำ
ยึดถือมั่นเป็นของตนจนมืดดำ
มองไม่เห็นค่าล้ำความเป็นคน

หากปิดตาพาโจรมาปล้นบ้าน
แล้วปิดหูไม่รู้ขานในแห่งหน
ทำปิดปากปูดเน่าเข้าตาจน
ไม่รู้เห็นเรื่องฆ่าปล้นบนแผ่นดิน

เปิดคัมภีร์มีเลือดสตรีกลบ
อ่านคัมภีร์ทวนทบกระจ่างสิ้น
มิมีพระคัมภีร์ใดในแผ่นดิน 
เขียนด้วยเลือดคนในถิ่นแผ่นดินนอน

ผู้กอบบุญเมตตาปราณีเถิด
สัตว์ประเสริฐอันพระเจ้าทรงสั่งสอน
เมตตาธรรม สลามสลาม อำนวยพร
หยุดเข่นฆ่าประชากรร่วมแผ่นดิน...

"ครูกอบกุญ" สละแล้วซึ่งชีวิต
น้อมอุทิศดวงใจไป่จนสิ้น
คาราวะคุณความดีชุลีจินต์
ประจักถิ่นจงรักมั่นสันติธรรม				
23 เมษายน 2548 02:42 น.

สงครามเย็น

ส่องหล้า

เสียงเอะอะมะเทิ่งเถลิงศก
ความเลอะเทอะสกปรกเต็มถนน
ทั้งเมามายเหมือนบ้ากล้าเกินคน
แป้งขุ่นข้นเหมือนจะฆ่ามาสาดโครม....

หยดน้ำใสดอกไม้หอมมาน้อมจิต
นฤมิตพรชัยประทินโสม
เย็นหยดน้ำร่ำน้ำอบนบประโลม
มนัสโน้มนอบน้อมประเพณี

เสื้อผ้าใหม่ผู้เฒ่าใส่สีใสสด
โจงกระเบนงามงดสวยหลากสี
ผ้าขาวม้าหม้อฮ่อมน้อมชุลี
อุดมด้วยวจีโมทนา

ภาพเลือนลางจางหายมากลายกลับ
จิตวิญญาณย่อยยับสลับฟ้า
ใจรวยรินห่างไกลในจินตนา-
-การไขว่คว้าห่างหายมะลายพลัน

เหล่าม้าศึกคึกคักคึกคักโหม
ละเลงแป้งปูพรมขย่มขวัญ
เสียงเฮก้องน้ำนองปะลองกัน
กายหนาวสั่นทั้งตัวไม่กลัวเย็น

สาวสะอาดมดจดดูสดสวย
เลอเทอะด้วยคาวแป้งแสลงเข็ญ
ที่นวลนิ่มก็หมดนวลที่ควรเป็น
น้ำคุเข็ญร้อนรนป่นเมธี

ทั้งหนุ่มน้อยมายืนกร่างข้างถนน
ใครผ่านมากักค้นละเลงสี
เมรัยร่ำคร่ำคลั่กหน่วงหนักพลี
รอย่ำยีเหยียบย่ำขยำนวล

เสียงเอะอะอึงอนถนนเถื่อน
จิตวิญญาณลอยเลือนอาลัยหวน
กลางถนนป่นร้าวเศร้ารัญจวน
มีน้ำหนึ่งอุ่นอวนอยู่ในใจ

มือน้อยน้อยข้างหนึ่งถือขันน้อย
มือหนึ่งคอยเช็ดน้ำตาสะอื้นไห้
พ่อของหนูนอนนิ่งเพราะสิ่งใด
นี่สงครามใช่หรือไม่หนูสั่นกลัว

กลิ่นน้ำอบยังอบอวนหอมหวนอบ
กลิ่นคาวเลือดโชนกลบอยู่ไปทั่ว
เสียงหัวใจน้อยน้อยยังสั่นรัว
หนูน้อยกลัววิถีน้ำสงครามเย็น....				
4 เมษายน 2548 11:53 น.

เจ็บ

ส่องหล้า

เสียงคำรามเปิงเปิดระเบิดวอด
หัวใจบอดมืดดับลิบลับหาย
เลือดหลั่งร่างแหลกอกแตกตาย
ทั้งเด็กเล็กหญิงชายมลายพลัน

เพื่ออยากได้สิ่งใดในชีวิต
ทำมวลมิตรทุกข์ใจได้ข่มขวัญ
เห็นเลือดนองกองดินทุกคืนวัน
นับศพเท่าไรนั่นถึงจะพอ

เปิดหัวใจตรองดูให้รู้คิด
ทุกชีวิตเหนื่อยยากลำบาก-ท้อ
ทุกข์ของคนทนทุกข์ก็เกินพอ
มาเพิ่มทุกข์เติมต่อคนหนอคน

ถ้านับหนึ่งความตายหมายถึงสิบ
นับเกินสิบความตายโดยไม่สน
ฆ่าพี่น้องร่วมแผ่นดินสิ้นมณฑล
คิดแยกคนแยกเหล่าแยกเผ่าพันธุ์

จะแบ่งเลือดสีใดในโลกหล้า
จะแบ่งฟ้าดินใดใต้โมหันธ์
เอากระดูกของใครไปปักปัน
ทำรั้วกั้นตรงไหนในดินแดน

แม่จ๋าลูกเจ็บอยู่อาจินต์
ชีวิตแทบสิ้นดับนับหมื่นแสน
ความสูญเสียจักได้สิ่งใดแทน
แม่เอ๋ยลูกทุกข์แน่นในอุรา

พ่อจ๋าลูกเจ็บไปทั้งร่าง
ครวญครางร่ำให้อยู่ใต้ฟ้า
ระเบิดฉีกฉกใจไร้เมตตา
ลูกเจ็บปวดหนักหนาเกินจะทน

พ่อเอ๊ยแม่เอ๊ยลูกหลั่งเลือด
นองแผ่นดินดาลเดือดไปทุกหน
น้ำตาลูกนองไหลในมณทล
ซับซากศพเกลื่อนกล่นในแผ่นดิน....				
5 มกราคม 2548 16:43 น.

ทุกข์ท่วมโลก

ส่องหล้า

หยดน้ำตาทาทาบอาบทรายสวย
พื้นแผ่นดินล้มป่วย...เป็นเกลียวคลื่น
ชีวิตคนล่วงหล่นลงทั้งยืน
พรากชีวิตนับหมื่นนับแสนคน

สะเทือนอุทกทะเลพิโรธโลก
กระฉอกฉกฉุนเฉียวเกี่ยวกวาดหน
ลงพังพาบทาบทรายในมณฑล
หยดน้ำตารินหล่นนองแผ่นดิน

บัดเดี๋ยวใจทรายซับลงทับร่าง
บัดเดี๋ยวร้างล่องลอยลงกลางถิ่น
บัดเดี๋ยวน้ำท่วมกายท่วมชีวิน
ชั่วบัดเดี๋ยวก็สิ้นทุกหาดทราย

โอ้มนุษย์อยู่ใต้ฟ้ามหาทุกข์
ใครจะปลุกให้ตื่นฟื้นความหมาย
ธรรมชาติลุกล้ำเข้ากล้ำกราย
เกิด-อยู่-ตายไปตามวัฏ อนัตตา 

มีสุขทุกข์สลับขับเห่กล่อม
มีเกลียวคลื่นห้อมล้อมกล่อมอาสา
ทั้งอบอุ่นทั้งเหน็บหนาวเป็นธรรมดา
มีพลัดพรากมีจากลามีพบกัน

ธรรมดาฉะนี้แหละมนุษย์
ธรรมวิมุติจะกระจ่างกลางทุกข์ขันธ์
จารประจักษ์รับรู้ในคืนวัน
ทุกข์เท่านั้นที่ใหญ่คับท่วมทับคน...				
Calendar
Lovers  2 คน เลิฟส่องหล้า
Lovings  ส่องหล้า เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟส่องหล้า
Lovings  ส่องหล้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟส่องหล้า
Lovings  ส่องหล้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงส่องหล้า