29 พฤษภาคม 2550 16:41 น.
สุวรรณโสภิต
ตอนที่ 3
ภายในงานศพบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าแต่ก็จัดได้สมเกียรติของผู้ตายที่มีตำแหน่งเป็นคุณหญิง มีคนนับถือมากมาย กรรณติมาสยังรับไม่ได้กับการด่วนจากไปของมารดา หล่อนนั่งจุดทูปส่งให้แขกที่มาเครพศพ ใบหน้าเปลอะไปด้วยคราบน้ำตา จันจิราเข้ามาเครพศพหญิงที่มีอายุจะอ่อนกว่าแม่ของหล่อนเพียงไม่กี่ปีเธอปักทูปลงบนกระถาง แล้วหันมาแสดงความเสียใจกับกรรณติมาส อาเสียใจด้วยนะ
หญิงสาวไหว้ขอบคุณหล่อนพอจะรู้จักผู้ที่อยู่ตรงหน้าบ้างแต่ก็ไม่สนิทรู้แต่เพียงว่าเธอเป็นหุ้นส่วนดูแลไร่กาแฟของบิดา และเคยมาที่บ้านไม่กี่ครั้งแต่มารดาก็บอกว่าเธอเป็นคนดี
เชิญคุณอาไปนั่งก่อนค่ะเดี่ยวสักครู่พระก็มาแล้ว
หล่อนพูดแล้วเดินนำไปที่ที่นั้งแข ที่พ่อของหล่อนนั่งเหม่ออยู่สีหน้าหม่นหมองไม่แพ้กัน คุณจันจิราอ้อมไปนั่งข้างหลังถัดจากแถวหน้าไปสองแถว โดยที่ไม่ได้หันมองหรือแสดงความเสียใจกับหุ้นส่วนที่นั่งอยู่ข้างหน้า เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของ คุณกิติภา ที่มองดูด้วยความไม่พอใจ ทำท่าจะลุกออกไปแต่มีมือๆหนึ่งดึงรั้งไว้ คุณจะไปไหนคุณหญิง ไม่เห็นแก่หลานก็เห็นแก่หน้าพี่คุณที่นอนอยู่ข้างหน้าบ้าง
คุณพร้อมพงษ์พูดขึ้นด้วยรู้ใจภรรยาดีว่าจะทำอะไร ความดีที่พี่คุณสะสมมานานจะหมดก็เพราะคุณทำอะไรไม่คิด
แต่ที่พี่สาวของฉันต้องตายก็เพราะมันเพราะมันคนเดียว มันยังมีหน้ามาอีก สีหน้าของคุณกิติภาที่แสดงออกมาทำให้สามีไม่สบายใจมากพอเขาปลอยแขนภรรยาก็รีบลุกออกไปทันทีโดยที่คุณพร้อมพงษ์คว้าไว้ไม่ทันเธอเดินเข้าไปดึงแขนคุณจันจิราเดินออกไปนอกศาลาบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย คุณพร้อมพงษ์รีบลุกตามไปอย่างน้อยก็เบ่าใจบ้างที่ภรรยายังรักษาหน้าครอบครัวของพี่สาวแท้ๆของตนเอง ที่ไม่ทำการแอะอะต่อหน้าแขก
มีอะไรหรือคะ คุณจันจิราถามด้วยความตกใจแต่กังรักษาสติไว้เพราะรู้แล้วว่าเรื่องอะไร
ยังจะมีหน้ามาถามอีกเธอนี้มันหน้าด้านจริงทำเขาตายแล้วยังจะมีหน้ามางานเขาอีก รึจะมาสมน้ำหน้าที่ตัวเองจะได้เสวยสุขบนสมบัติที่พี่ฉันสร้างไว้
คุณหญิง ใจเย็นๆพูดกันดีๆก็ได้ คุรพร้อมพงษ์ปราม
ฉันไม่ได้มีความสุขเลยที่เป็นแบบนี้กลับเสียใจด้วยซ้ำ คุณจันจิราร้องไห้ออกมาอย่าอัดอั้น
คนอย่างเธอมันก็มารยา เสียใจจริงแล้วทำไมเธอต้องทำด้วย พี่ฉันไว้ใจเธอมาก คุณกิติภามองผูที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่เธอก็ทำกับเขาได้หน้าไม่อาย
กรรณติมาส มองมาทางบุคคลทั้งสามที่สนทนากันเห็นว่าไม่ได้ทักทายกันตามปกติธรรมดาหล่อนจึงรีบเดินเข้ามา ภานุวัตรเห็นน้องออกไปก็คิดว่ามีเรื่องแน่จึงบออกให้รตีช่วยดูแลแขกส่วนวินวรรณออกไปดูกรรณติมาส ตัวเขาจะไปตามบิดา
มีอะไรกันหรือคะคุณน้า คุณอา กรรณติมาส ถามขึ้น คุณจันจิรารีบเช็ดน้ำตาหลบสายตาของหญิงสาวที่มองมาด้วยสายตาจับผิด
มาก็ดีแล้วยายมาสแกจะได้รู้ว่าที่แม่แกตายเพราะอะไร คุณกิติภามองคุณจันจิราด้วยสายตาที่เหนือกว่า
คุณหญิงอย่าให้อะไรๆมันเลวร้ายไปกว่านี้เลยเรื่องมันแล้วไปแล้วแก่ไข้อะไรไม่ได้แล้วคุณอย่าเรื้อฟื้นเลยดีกว่า คุณพร้อมพงษ์ปรามภรรยาแต่ก็ไม่เป็นผล กรรณติมาสมองดูน้าด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
แกรู้ไวเลยนะยายมาสว่าคนที่แก่ ยกมือไหว้เมื่อครู่นี้ มันเป็นเมียน้อยพ่อแกเป็นคนที่ทำให้แม่แกเสียใจจนตาย หญิงสาวมองหน้าคนทั้งสามที่ละคนอย่างจะหาคำตอบจนหันไปเห็นบิดาที่เดินเข้ามาได้ยินพอดีมองหน้าบิดาเหมือนจะหาคำตอบ คุณวิศนุนิ่งเงียบหน้าเสียไม่คิดว่าน้องของภรรยาจะเป็นคนบอกหลานเองไม่ใช่ตัวเขาที่จะอธิบายภายหลังจึงยังหาคำอธิบายไม่ได้
คุณพ่อตอบสิคะว่าที่คุณน้าพูดมาไม่จริง กรรณติมาสเริ่มใจไม่ดีเมื่อเห็นท่าทางของบิดา ไม่จริงใช่ไหมคะคุณพ่อ
บอกลูกสาวไปสิคะว่ามันเป็นเรื่องจริง แล้วคุณยังทำให้พี่สาวฉันช๊อคตายอีก
ก็ยังไม่มีคำพูดออกจากปากบิดาอยู่ดีแต่ถึงอย่างนั้นเวลานี้กรรณติมาสก็พอจะเดาออกแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง น้ำตาที่คลออยู่ในตาไหลพรากเสียใจที่สุด มองสบตาบิดาอย่างผิดหวัง แล้วฉุดมือวินวรรณที่ยืนอึ้งอยู่บออกกับเพื่อนสาวทั้งน้ำตาว่า วิ ฉันอยากกลับบ้าน พร้อมทั้งเดินออกไปเงียบๆ คุณกิติภามองพี่เขยกับคนที่ตนเอกเรียกว่าเมียน้อยด้วยสายตาเหยียดหยามและผู้ชนะก่อนจะพูดนิ่ม ๆทิ้งท้ายว่า
ขอให้มีความสุขนะความสุขที่แย่งมาจากพี่สาวฉันมันอยู่ได้ไม่นาน จำไว้ แล้วหันไปทางหลานชายที่ยืนเงียบอยู่ วันนี้น้ากลับก่อนอยู่ไปก็คงใจไม่เป็นสุขแน่ดูแลน้องด้วยเล่า แล้วดึงแขนสามีเดินออกไปคุณวิศนุหันหลังเดินคอตกเข้าศาลาไปโดยที่ไม่มีคำพูดไดๆกับบุคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าในใจคิดแต่ว่าจะอธิบายให้บุตรสาวฟังอย่างไรดี
28 พฤษภาคม 2550 14:32 น.
สุวรรณโสภิต
ตอนที่ 2
ที่ประเทศไทย บ้านหลังโตตั้งตระหงาน แสดงถึงฐานะมั้นคงของเจ้าของบ้าน
เพล้ง ! เสียงแก้วน้ำตกลงจากโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ตามด้วยร้างของคุณกรรณศิริล้มฟุบลงบนพื้น ไม่นานในบ้านก็เกิดการโกลาหล นกวิ้งร้องเข้ามาประคองร้างนายยกตัวขึ้นพิงเตียงพร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือจากคนในบ้านที่มีวิ้งตามขึ้นบันไดมาสองสามคน หล่อนเรียกเท่าไรผู้ที่หมดสติก็ไม่ฟื้นไม่นานมีร่างชายวัยกลางคนสาวเท้าเขามาแหวงกลุ่มคนใช้ในบ้านที่รุมกันช่วยประถมพยาบาล คุณวิสนุเรียกภรรยาเบาสองสามคำเมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าไม่มีปฎิกิริยาตอบรับก็รีบอุ้มร่างนั้นขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกจากห้องพร้อมกับสั่งให้คนขับรถรีบไปเอารถออกปโรงพยาบาล นายหมายรีบวิ่งลนลานนำนายไปส่วนนกยืนมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก แล้วก็อุทานออกมา
คุณมาส แล้ววิ่งออกไปที่โทรศัพท์กดเลขที่เครื่องมือไม้สั้น
กรรณติมาสกำลังทานอาหารและคุยงานอยู่กับวินวรรณเพื่อนสนิตอีกคนรองจากรตี เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหล่อนรับขึ้นมาดูว่าเป็นเบอร์ที่บ้าน ก็กดรับไม่วายบ่นกับเพื่อนสาวว่าคุณแม่คงจะเห็นว่าออกมานานแล้วเลยโทรมาตามแน่เลย แต่พอได้ยินเสียงที่กอกมาตาสายสีหน้าที่ยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นซีดทันที่โทรศัพทร์แทบจะหลุดมือ คุณแม่
มีอะไรหรือมาส คุณแม่เป็นอะไร
วินวรรณรีบถ้าเพื่อนเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนเปรี่ยนไป
คุณแม่ซ๊อกอยู่โรงพยาบาล
ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงโรงพยาบาลคุณวิสนุนั้งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยใบหน้าที่เคร้งเครียดกรรณติมาสเข้าไปหาพ่อถามด้วยความร้อนรนแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ
พ่อยังไม่รู้ หมอเขายังไม่ออกมาเลยนี้ก็นานแล้ว
ทำไมคุณแม่ถึงช๊อกคะเมื่อเช้านี้ท่านยังดีดีอยู่เลย
ใจเย็นมาส
วินวรรณพูดจบหมอก็เปิดประตูออกมาสีหน้าไม่ดีนัก กรรณติมาสรีบเข้าไปหา ไม่ทันที่หญิงสาวจะเอยปากถามคำตอบก็ออกมาจากปากหมอก่อนแล้ว ผมเสียใจด้วยครับคุณกรรณศิริเสียแล้ว เราพยายามช่วยสุดความสามารถแล้วครับ
ทุกอย่างแทบจะหยุดนิ้งไม่มีแม้เสียงร้องไห้จากหญิงสาว มันตื้อจนหล่อนร้องไม่ออกมากกว่าที่จะได้ชื่อว่าเข้มแข็งหล่อนทรุดตัวลงบนเก้าอี้ปิดหน้าซ้อนน้ำตาสอื้นเงียบๆส่วนคุณวิสนุ ท่านพลักประตูเข้าไปในห้องในใจแทบแตกสลาย
วินวรรณเข้ามาโอบเพื่อนหล่อนก็เสียใจไม่แพ้กันใม่มีคำปลอบโยนคำไหนจะดีที่สุดเท่ากับการนิ่งเงียบอีกแล้วในเวลานี้ กรรณติมาสโผเข้ากอดเพื่อนแน่นร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใครอีกแล้ว
คุณวิสนุก้าวเข้ามายืนหน้าเตียงภรรยามองร้างที่ไร้วิญญาณหน้าของคนที่ตนรัก แล้วคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
คุณวิสนุดิฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณค่ะ น้ำเสียงของคุณกรรณศิริจริงจังจนผู้เป็นสามีแปลกใจเพราะทุกครั้งที่ภรรยาพูดออกมานั้นจะนุ่มนวนอ่อนหวานไม่เคยมีคำใด้กระทบหูของสามีและลูก ๆเลยคุณวิสนุหันมองหน้าภรรยาทันที พบกับสีหน้าที่จริงจังแทบจะกลายเป็นบึ้งตึง
มีอะไรหรือ ทำไมคุณต้องทำหน้าเครียดด้วย สามีพยายามปรับเสียงให้ดูไม่ตรึงเครียด
ฉันจะถามคุณตรงๆ คุณต้องตอบฉันตรงๆได้ไหม ตั้งแต่เราอยู่ด้วยกันมาจนมีลูกถึงสองคนฉันไม่เคยมีความลับกับคุณเลย น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นผู้พูดพยายามกดให้อ่อนมากที่สุดแต่ก็แข็งจนผู้ฟังรู้สึกได้
มีคนบอกฉันว่าคุณมีความสัมพันธ์ลึกซึงเกินกว่าคำว่าเพื่อนรวมงานและหุ้นส่วน กับจันจิราคุณจะว่ายังไง
ใครบอกคุณ คุณวิสนุจ้องหนาภรรยาทันทีถามกลับเสียงแข็ง ผมรู้แล้วต้องเป็นน้องสาวผู้หวังดีกับคุณที่สุดใช้ไหม ทำไมเข้าต้องมายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของครวบครัวเราด้วย
แล้วตกลงว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
คุณวิสนุนิ้งไปสักครู่ก่อบตอบว่า ไม่จริง แต่ก็ไม่กล้าสบตาผู้ฟัง
คุณกรรณศิริลุกขึ้นอย่างคนที่หมดความอดกลั้นแล้วยืนจ้องหน้าสามี
คุณโกหกฉัน คุณกล้าโกหกฉันจริงๆ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพราก ถ้าไม่จริงแล้วนี้อะไร คุณกรรณศิริทิ้งซองสีน้ำตาลลงบนโต๊ะตรงหน้าสามี คุณวิสนุหยิบมันมาเปิดดูเป็นภาพของเขากับจันจิราผู้ถือหุ้นที่สนิดสนมเกินกว่าเพื่อนร่วมงาน คุณวิสนุหน้าถอดสีทันที
ผมขอโทษ ผมผิดเองแต่ผมก็ยังรักคุณนะคุณกรรณผมไม่เคยยกย้องคนอื่นเหนือคุณ แต่ผมก็ต้องรับผิดชอบเขา
ฉันผิดหวังในตัวคุณมากนี้หรือคือคนที่ฉันไว้ใจ คุณทำกับฉันได้ คำพูดที่ปนไปด้วยเสียงสะอื้นมันติดอยู่ที่อกจนไม่รู้ว่าจะต่อว่าคู่ชีวิตว่าอย่างไรอีกแล้วเธอมองหน้าสามีก่อนหันหลังเดินออกจากห้องทำงานของเขาไปอย่างเงียบ ๆ ส่วนผู้เป็นสามีก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างรแล้วเหมือนกันจึงปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวยุติการถกเถียงของภรรยาและคิดว่าเมื่อหลอนตั้งสติได้แล้วคอยพูดคุยกันด้วยเหตุผลอีกครั้ง แต่บัดนี้เขาก็ไม่มีโอกาศได้อธิบายอะไรอีกแล้วตลอดชีวิต
คุณพ่อครับ คุณแม่ท่านไปสบายแล้ว อย่าเสียใจไปเลยเดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีกคน
ร้อยเอกภานุวัตรบุตรชายคนแรกของคุณวิสนุเดินเขามาปลอบบิดา เข้าเก็บความเสียใจกับการด่วนจากไปของมารดาใว้ในใจอาจเป็นเพราะการฝึกฝนที่เขาเคยได้รับมาว่าต้องเข้มแข็งให้สมกับเป็นชายชาติทหาร คุณวิสนุมองหนาบุตรชาย เพราะพ่อแม่เขาจึงต้องเป็นแบบนี้ พ่อผิดเอง
ลูกชายได้ฟังก็นิ่งเงียบเพราะรู้เรื่องราวดีอยู่จากการบอกเล่าของเด็กในบ้านเมื่อครู่ก่อนที่เขาจะมาโรงพยาบาล
28 พฤษภาคม 2550 13:55 น.
สุวรรณโสภิต
ภายในตำหนักใหญ่ในวังดวงดาราของเสด็จพระองค์หญิงศิริรำไพร พระองค์หญิงองค์หนึ่งของประเทศเขมรัฐประเทศที่อยู่ระหว่างไทยและกัมพูชา เสียงฝีเท้าของชายหนุ่มเดินย่ำลงบนพื้นไม่ขัดมันวาวดังกึกกัก อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่ขุ่นมัวทำให้ลงน้ำหนักเท้าแรงไปเขาเดินตามทางที่ลาดตรงไป กันกลางระหว่างห้องต่างๆ ที่เรียงหันหน้าชนกัน แล้วมาหยุดหน้าประตูบานใหญ่ แล้วเคราะเบ่าเพื่อเป็นการขออนุญาตคนข้างใน ก่อนพลักประตูเข้าไปโดยที่ไม่รอเสียงตอบรับจากข้างใน ห้องกว่างใหญ่เต็มไปด้วยตู้หนังสือที่มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษปนกัน บนตู้ที่สูงเลยศรีษะไม่มากนัก เขาสาวเท้าเข้าไปยืนตรงหน้าผู้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือไม้สักทองตัวใหญ่บนโต๊ะเต็มไปด้วยหนังสือและเอกสารต่าง ๆ มากมาย หญิงวัยกลางคนผิวเหลืองนวลใบหน้าได้รูปงาม ไม่ได้แก่ชราไปตามอายุเท่าไรนักใส่เสื่อผ้าไหมสีน้ำเงินกับซิ่นสีเดียวกันขับผิวให้ผ่องยิ่งขึ้น หล่อนไม่ได้สนใจผู้ที่เข้ามาเท่าไรนัก คงจะเป็นเพราะรู้แล้วว่าใครเข้ามา จึงยังก้มหน้าทำงานต่อไป ร่างสูงโปร่งโค้งคำนับก่อนหย่อนตังลงนั้งตรงหน้าเจ้าของห้อง พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนว่า "เย็นมากแล้วกระหม่อมทรงพักบ้างเถอะเด็จอา" ใบหน้าคมคายไม่ปรากฏรอยยิ้มเหมื่อนน้ำเสียงที่เปล่งออกมา
"มีอะไรก็พูดมาท่านชายใครทำอะไรให้โมโหอีกเล่า"
เสด็จพระองค์หญิงศิริรำไพรตรัจอย่ารู้ใจหลานชายคนโตเป็นอย่างมาก รอยยิ้มบางๆระบายเต็มพระพักตรที่เงยขึ้นมองท่านชายจักตราพงษ์ ท่านชายหนุ่มหรือหม่อมเจ้าจักตราพงษ์แห่งเขมรัฐหลบสายตาอาที่จ้องมองมา ตอบออมแอ่มว่า "ไม่มีอะไรกระหม่อม"
"เดียวนี้หลานอาดูจะหงุดหงิดง่ายจริงเป็นอะไรหรือ"
"เปล่า กระหม่อม " เ ขาตอบปัดออกไปเพราะไม่อยากจะอธิบายเหตุผลที่มันไม่มีเหตุผลเลยแค่โมโหที่คนขับรถขับรถช้าไม่ได้ดังใจเท่านั้นทั้งที่ตนก็ไม่ได้รีบไปไหนเลย
"เสด็จอาทรงพักผ่อนบ่างดีกว่ากระหม่อม หม่อมละออบอกว่าเสด็จอาทรงงานตั้งแต่เช้าแล้ว "
"ห่วงอาด้วยหรือ ท่านชายรู้ไหมว่าที่อาทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อหลานๆ อารู้ว่าตัวเองทำได้แค่ไหนควรทำอะไรบ้าง อาดีใจที่หลานเป็นห่วง แล้วสักวันหลานจะรู้ว่าที่อาทำอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร" เสด็จทรงทำงานที่อยู่ตรงหน้าต่อพร้อมตรัสเนิบ ๆ ว่า" หลานกลับมาไวก็ดีไปอาบน้ำแล้วพาน้องไปรออาที่โต๊ะอาหารวันนี้เราจะได้ทานข้าวพร้อมกันบ้างแล้วมีอะไรค่อยคุยกันประเดี๋ยว อาเสร็จหน้านี้แล้วอาจะออกไป"
ท่านชายยิ้มน้อยๆแล้วรับคำอาค่อยๆลุกออกไปเงียบๆ
ท่านชายจักตราพงษ์เป็นบุตรชายของพี่ชายของเสด็จพระองค์หญิงศิริรำไพร ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุท่างรถยนต์ระหว่างเดินท่างกลับจากประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน ท่านหญิงดุสิตตาแม่ของท่านชายทราบข่าวก็หัวใจวายกระทันหัน ทำให้ทั้งสามคนพี่น้องขาดทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันท่านหญิงน้องสาวคนกลางเสียใจจนไม่ย่อมพูดกับใครเป็นเวลานานจนไม่สามารถพูดได้ รักษาหมอที่ไหนก็จนใจเพราะเป็นที่จิตรใต้สำนึก ของคนไข้เอง ทั้งสามคนพี่น้องจึงอยู่ในความดูแลของผู้เป็นอาที่ต้องคอยปกป้องหลานด้วยสายเลือดสวนหนึ่งทางมารดาเป็นคนไทย จึงเป็นที่จับตาของพวกพระญาติต่างๆ ทั้งสามคนพผูกพันธ์กับอามากโดยเฉพราะท่านหญิงสุวรรณโสภิต และสิริโสภาคที่แทบจะไม่เคยห่างอาเลย
บนโต๊ะเสวยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่นที่มีทุกคนมานั้งพร้อมหน้าอาหลานก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ที่แห้งนี้จะมีเพียงหม่อมเจ้าหญิงน้อยๆสององค์เท่านั้น ที่นั้งอยู่เป็นประจำทุกวันส่วนอาก็ทรงงานเลิกไม่เป็นเวลาพี่ชายใหญ่ของพวกหล่อนก็ไปสำรวจงานที่ต่างประเทศ ท่านชายนั้นทำงานเกี่ยวกับประวัติศาสตรและการบูรณะของเก่าทางประวัติศาสตร์เละทางโบราณคดีไม่คอยอยู่ติดที่เท่าไรนักท่านหญิงกลางตักอาหารตรงหน้าให้อาแล้วแสดงภาษามือ ว่าให้อาทานมากๆ จะได้มีแรงทรงงาน เส็ดจพระองค์หญิงศิริรำไพรยิ้มบางๆอย่างเอ็นดูตรัสว่า
ขอบใจมาก ที่เป็นห่วงอาหลานก็ต้องทานมากๆเช่นกัน แล้วหันไปทางท่านชายใหญ่
มีอะไรจะบอกอาก็รีบพูดมาท่านชายแล้วนี้จะออกเที่ยวอีกเมื่อไรละ
วันมรืนกระหม่อม หลานจะไปประเทศไทย คงอยู่เป็นอาทิตย์ เสด็จอามีอะไรจะฝากไหมกระหม่อม
ไม่มี ก่อนไปท่านชายชวยไปติดตามรื่องครูที่จะมาสอนภาษาให้น้องด้วย ว่าคุณรตีเขาว่าอย่างไรหาได้ไหม
เสด็จทรงเสวยเสร็จก็ลุกนำหลานๆออกมานั้งในห้องนั้งเล่นท่านหญิงทั้งสองนั้งขนาบข้างอาไม่ยอมห่างคนน้องสุดท้องกอดเอวประจบว่า อยากเห็นหน้าคุณครูเร็ว ๆจังจะสวยไหม
เรายังไม่รู้เลยว่าเขาจะตลงมาหรือเปล่า แต่ถ้าเขาตกลงมา อาก็จะดีใจมากเพราะว่าอาคิดว่าอาเลือกคนไม่ผิด ถ้าท่านชายมีโอกาศได้พบเขาก็บอกเขาด้วยว่าถ้าธุรของเขาไม่นานนักเราก็จะรอ
ท่านชายโค้งตัวรับคำ แล้วหันไปทางน้องสาวทั้งสองคน
มีอะไรจะฝากไปเมืองไทยบางหรือเปล่าเราสองคน ท่านหญิงองค์เล็กลุกออกจากอาไปนั้งบนตักพี่ชายตรัสว่า
ฝากความคิดถึงถึงพี่หมอด้วยค่ะว่าน้องคิดถึง
เสียงใสๆทำให้ท่านชายจักตราพงษ์ยิ้มออกมาได้มากกับความน่ารักของน้องสาว
แล้วหญิงภิตเล่าจะฝากอะไรบ้าง เสด็จทรงก้มลงถามหลานคนกลางที่นั้งอยู่ข้างๆน้ำเสียงนุ่มนวน
ท่านหญิงสุวรรณโสภิตส่ายหน้าแล้วโอบเอวอา
พี่หญิงท่านไม่เคยต้องการอะไรหลอกมังคะ เธอต้องการแต่เด็จอาองค์เดียว
น้องคนเล็กแทรกขึ้น เสด็จทรงลูบศีษะหลานตัวน้อยที่อยู่ข้างๆด้วยความเอ็นดูร้อยยิ้มแห่งความกังวลปรากฎบนใบหน้าที่มีแต่ท่านชายที่สังเกตได้ ต่อไปไม่มีอาเจ้าจะอยู่อย่าไรสุวรรณโสภิต