2 สิงหาคม 2546 14:28 น.
สุวรรณวัฒกี
ผมเป็นควายหลงทางอยู่กลางทุ่ง มองเห็นยุงบินมาช่างน่ารัก
เพราะว่าสนใจมากอยากรู้จัก จึงร้องทักพูดจาภาษายุง
ถามว่ายุงยุงจ๋าจะไปไหน ยุงตอบว่าคนไทยเขากางมุ้ง
ยุงไม่มีอะไรยัดใส่พุง ยุงจึงมุ่งบินมาหาเลือดกิน
เพราะสงสารน้ำตาพาลจะไหล จึงอุทิศเลือดให้จนหมดสิ้น
ยุงจึงหายเหี่ยวแห้งมีแรงบิน ไปจนชีพขาดดิ้นโดนคนตบ
ควายก็ควายตายเพราะยุงดูดเลือดหมด ยุงก็อดอายุขัยถูกใช้ครบ
คนก็คนทั้งยุงควายกลายเป็นศพ ยังคงตบยุงสิ้นและกินควาย
20 กรกฎาคม 2546 17:13 น.
สุวรรณวัฒกี
ทิพากรซ่อนกายใต้เมฆา
ดวงดาราซ่อนแววแสงไว้แห่งไหน
เหล่าดาราซ่อนกายใกล้หรือไกล
ดวงฤทัยลอยล่องไปกลางสกล
เพียงจะคว้าดวงดารามาคู่จิต
แนบสนิทร่วมสุขทุกแห่งหน
เหล่าดาราก็อยู่ห่างช่างมืดมน
ได้เพียงยลไม่อาจกรายเพียงใกล้เงา
นพดลกว้างเพียงไรไม่ร้างคู่
มีอาทิตย์ดาวอยู่คู่เคียงเคล้า
ยามราตรีมีจันทร์อยู่คู่แสงดาว
อนิจจาอกเราเศร้าเดียวดาย
ได้เพียงฝันว่าจันทร์มาเคียงคู่
ได้ชื่นชูสุขสมอารมณ์หมาย
ก็ตื่นพลันทุกอย่างพังทลาย
เหลือแต่กายที่เศร้า...เหงาสิ้นดี
20 กรกฎาคม 2546 17:06 น.
สุวรรณวัฒกี
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ
แล้วจะเหงาอยู่ทำไมให้เศร้าจิต
จะอยู่เดียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าชีวิต
จะสิ้นคิดสิ้นใจในเชิงกลอน
วาดสีสันวาดเส้นเน้นแสงสี
ด้วยวจีกล้าแกร่งแห่งอักษร
จรรโลงโลกสวยสดด้วยบทกลอน
ดับทุกข์ร้อนให้ชุ่มฉ่ำคำกวี
16 กรกฎาคม 2546 23:45 น.
สุวรรณวัฒกี
เขาต้องการหนึ่งเม็ดทรายจากชายหาด
ที่เกลื่อนกลาดด้วยเม็ดทรายหลายหลายแสน
เจียระไนทรายเม็ดเด่นเป็นตัวแทน
ประดับแหวนแห่งศรัทธามหาชน
อยากเป็นทรายเม็ดงามในความฝัน
ทรายจึงหมั่นตะเกียกตะกายหลายหลายหน
แม้แรงหมดอดสูก็สู้ทน
สู้ดิ้นรนไม่ทดท้อทรมาน
รู้ทั้งรู้ว่าฝันนั้นไม่ง่าย
ยังไม่วายฟันฝ่าอย่างกล้าหาญ
รู้ว่าอาจพลาดฝันอันตระน
ยังซมซานดั้นด้นไม่จนใจ
มิได้เป็นหนึ่งเม็ดทรายจากชายหาด
ใช่ว่าพลาดอนาคตอันสดใส
ไม่บรรลุฝั่งฝันอันวิไล
ยังภูมิใจเพราะใช่ท้อรอชะตา
15 กรกฎาคม 2546 16:45 น.
สุวรรณวัฒกี
ฉันยืนอยู่เดียวดายใต้ฟ้ากว้าง
ฉันอ้างว้างร้องไห้กลางสายฝน
คนที่รักอยู่ห่างช่างมืดมน
ฉันต้องทนยืนอยู่สู้ต่อไป
เพื่อรอคอยความหวังพลังรัก
เพื่อสลักคำกลอนแม้อ่อนไหว
เพื่อหาคนเหลียวแลแผลในใจ
เพื่อรอใครคนนั้นหันมามอง