1 พฤศจิกายน 2552 16:05 น.
สุรศรี
อากาศบ่ายวันนั้นร้อนระอุอุณหภูมิจากกระเบื้องมุงหลังคาดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมนั่งเขียนหนังสือตามปกติ มีลูกสาวคนเล็กขี่จักรยานคันโปรดวนอยู่รอบ ๆ โต๊ะ
พ่อขา วาดต้นไม้ต้นนี้สิ เธออ้อนผมขณะเอามือไปลูกต้นกระบองแพชรในกระถางหน้าบ้าน
เอาต้นนี้อีกนะ เธอชี้ไปที่ต้นโป๊ยเซียนที่ตั้งอยู่ติดกัน
งั้นไปเอากระดาษมาสิลูก เธอวิ่งเข้าไปในบ้านและกลับมาพร้อมกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่ง
ผมวาดภาพต้นไม้คร่าว ๆ แล้วยื่นให้เธอ
สวยไหมลูก ชอบไหม
กี้ไม่ชอบมันมีหนาม เธอตอบขณะดูรูปภาพในกระดาษ
ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อมีเด็กชายตัวเล็ก ๆ เดินเข้ามาประตูหน้าบ้าน และหยุดมองพวกเราด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ตะกร้าของเล่นที่ลูกสาวผมเล่นยังไม่ได้เก็บ
เขาหยิบโน่นจับนี่อย่างสนใจ เนื้อตัวมอมแมมดูท่าทางไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน
ลูกสาวผมมองดูเขาไม่กระพริบตา ไม่มีใครรู้ว่าเขาชื่ออะไร มาจากไหน ผมเดินไปหยิบข้าวโพดต้มฝักหนึ่งมายื่นให้เพราะดูท่าทางคงจะหิวด้วย ดวงตากลมโตมองดูผมอย่างแปลกใจ ผมว่าเขาคงขอบคุณด้วย เช่นกัน แต่ไม่มีคำพูดเล็ดลอดออกจากปากของเขา
สักครู่ลูกสาวผมวิ่งเข้าไปในบ้านและกลับมาพร้อมของเล่นชิ้นใหม่ ที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดนัด มีโทรศัพท์ของเล่น รถรีโมท และตัวการ์ตูนเล็ก ๆ อีก 1 ถุง ท่าทางคงอยากจะอวดของเล่นชิ้นใหม่กับเพื่อนแปลกหน้า เธอเทตัวการ์ตูนออกจากถุง แต่เพื่อนใหม่กลับสนใจรถรีโมทมากกว่า
มันวิ่งได้ไหม เป็นประโยคแรกที่เขาพูดนับตั้งแต่เดินเข้าบ้านมา
ได้
เธอตอบเพื่อนใหม่พลางหยิบรีโมทมากดสาธิต รถยนต์ของเล่นวิ่งไปข้างข้างหลังอย่างว่องไว เขาหยิบไปลองเล่นอย่างสนใจและไม่สนใจอะไรอีก
กี้เล่นแล้วอย่าลืมเก็บ แฟนผมส่งเสียงดังมาจากข้างในบ้านด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก
ปล่อยหลานมาวิ่งเล่นได้ยังไง เธอบ่นอุบอิบ
รูจักเขาเหรอ ผมร้องถาม
หลานยายนวย ที่พ่อมันจมน้ำตายเมื่อปีกลายไง แม่หนีไปเอาผัวใหม่ทิ้งลูกไว้ตายายเลี้ยง เธออธิบาย
เหรอ
ยายนวยคนเก็บขยะขายบ้านอยู่ท้ายหมู่บ้านห่างบ้านเรือนผู้คนประมาณกิโลเมตรเศษ
ผมเขียนอะไรไม่ออก คิดอะไรเรื่อยเปื่อยสายตาเด็กคนนั้นทำให้ผมนึกถึงเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งขึ้นมาทันที มันนานมาแล้วหละแต่ภาพสายคู่นั้นผมยังจำไม่เคยลืม
ครูขาขอตังค์กินขนมคะ เธอเอ่ยปากขอเงินจากผมในคืนงานบุญประจำปีของหมู่บ้านในคืนวันหนึ่ง ผมคิดว่าเธอคงรวบรวมความกล้าอยู่นานทีเดียวกว่าจะกล้าพูดชอบเงินกับครู เพราะเด็กบ้านนอกนั้นความกล้าที่จะพูดกับครูต่างจากเด็กในเมืองบางครั้งถึงกับฉี่ราดกางเกงเพราะไม่กล้าขออนุญาตลาครูเข้าห้องน้ำก็มี
ผมไม่ตอบแต่เอามือล้วงกระเป๋าสตางค์และหาเศษเหรียญ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ไม่พบร่างของเธอแล้ว ผมคอยอยู่นานแต่ก็ไม่เห็นเธอกลบมาเอาเงินเลย คิดในใจว่ารุ่งขึ้นเอาไปให้เธอที่โรงเรียนดีกว่า
เธอเป็นเด็กกำพร้าเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นานอาศัยอยู่กับพี่ชายและพี่สาวมีฐานะยากจนไม่ค่อยมีเงินมากินขนมที่โรงเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ
หลังจากวันนั้นมาผมลืมเรื่องเงินอย่างสนิท มาคิดได้อีกทีเธอก็ย้ายโรงเรียนไปกับครอบครัวและไม่รู้ไปอยู่ไหนเสียแล้ว ผมไม่มีโอกาสที่จะให้เงินค่าขนมของเธอ เธอคงจะคิดว่าผมคงไม่ให้เธอเพราะผมไม่ได้ตอบอะไร และไม่ได้พยักหน้าว่าจะให้แต่อย่างใด ถ้าเพียงแต่ผมตอบว่า คอยเดี๋ยวนะ เอาเท่าไรหละ ผมคงไม่ได้มานั่งเสียใจจนถึงทุกวันนี้สายตาของเด็กชายคนแปลกหน้าคงไม่หลอกหลอนความรู้สึกของตนเองเช่นนี้ รู้สึกเจ็บใจตัวเองที่เป็นคนปากหนัก อมพะนำ ชอบปล่อยให้คนอื่นคิดเอาเองในหลาย ๆ เรื่อง ผมไม่อยากสบตากับสายตาเด็ก ๆ ที่บริสุทธิ์อีกแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี บอกผมหน่อย
ผมจะทำอย่างไรดี
สุรศรี
1 พย. 52
27 ตุลาคม 2552 14:21 น.
สุรศรี
นางเอก
หน่อย เธออาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่แก่แล้วที่ตลาดเป็นร้านขายของชำเล็ก ๆขายของใช้ที่จำเป็นทุกอย่าง
ผมมีโอกาสได้ไปไหว้ท่านทั้งสองครั้งหนึ่ง น้องหน่อย เคยคุยให้ฟังว่าพื้นเพเดิมครอบครัวพ่อแม่เป็นคน
เข็มราชจังหวัดอุบลแต่ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อำเภอเสิงสางจังหวัดนครราชสีมาเมื่อน้อง หน่อย อายุได้
7 ปี เรียนหนังสือระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่นั่น
หน่อย บอกว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวและค่อนข้างจะโชคดีก็ตรงที่เธอโตมาตอน
ที่ครอบครัวมีฐานะดีขึ้นแล้ว ไม่เหมือนพี่ชายที่เกิดมาตอนที่ครอบครัวยังขัดสนอยู่ ตอนมาถึงโคราชคุณพ่อเคยบอกหน่อย ว่าเหลือเงินเพียง 50 สตางค์เท่านั้น
การที่ครอบครัวที่มีลูกสาวคนเดียวและเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ที่ชาวอีสานเรียกว่า ลูกสาวหล้า สิ่งเหล่านี้มันทำให้น้องหน่อย เป็นคนที่ก๋ากั่น จอมแก่น และเปรี้ยว ออกจะกระโดกกระเดก เหมือนที่ใครบางคนเรียกว่า ม้าดีดกะโหลก เลยที่เดียว หลายครั้งเคยสร้างวีรกรรมไว้ที่โรงเรียน แม้ทุกวันนี้วีรกรรมเหล่านั้นก็มีออกให้เห็นบ่อย ๆ อยู่เหมือนกัน จนไม่กล้าบอกใครเขา เพราะอาย
หน่อย เรียนจบชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่โคราชนี่ ความที่เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ก้ำกึ่งระหว่างภาคอีสานและภาคกลาง จึงทำให้โคราชมีขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา วัฒนธรรมค่อนข้างแตกต่างภาคอีสานอยู่บ้าง
สิ่งนี้เองก็ได้หลอมหลวมเอาความเป็นตัวของหน่อย เองอยู่หลายประการที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงภาษา การเย็บปักถักร้อย การร้อยมาลัย การห่อขนม หญิงสาวสมัยใหม่อาจไม่ประสีประสากับสิ่งเหล่านี้ แต่ตรงกันข้ามกับ
น้อง หน่อยเธอออกจะเก่ง ต้องขอชมเชยว่าครอบครัวอบรมสั่งสอนมาค่อนข้างดีที่เดียว
การอพยพย้ายถิ่นฐานของคนอีสานเพื่อหาแหล่งที่อยู่ที่ดีกว่านั้นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนสมัยก่อน คุณพ่อคุณแม่น้องหน่อย ก็เหมือนกัน ปี 2533 ได้อพยพครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดหนองคาย ซึ่งตอนนั้นยังเป็นกิ่งอำเภอที่ตั้งมาได้เพียง 3-4 ปี และมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรมากกว่าสมัยนี้ ตอนนั้นหน่อย อายุประมาณ 22 ปี
ครอบครัวได้มาซื้อที่ดินที่เป็นที่ตั้งบ้านอยู่ในปัจจุบันนี้ซึ่งตอนนั้นตกประมาณไร่ละแสนกว่าบาท
ต้องถมดินอีกตั้ง 50 รถแล้วค่อยมาปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ ด้านหลัง ยังเหลือที่ ดิน พอได้ปลูก ไม้ผลพวก ลำไย
มะพร้าว จนทุกวันนี้ออกดอกออกผลจนได้กินได้ขาย และเหลือเผื่อแผ่ให้ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงอีก นอกจากนี้ก็มี
ที่นาและสวนอีกอย่างละแปลงอยู่ไม่ห่างจากตัวอำเภอมากนัก
น้องหน่อย ได้มาเป็นเพื่อร่วมงานกับเราเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 โดยผู้อำนวยการบอกว่าเราขาดแคลน
ครูคณิตศาสตร์และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ น้องหน่อย เลยลาออกจากโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในตัวอำเภอและมาเป็นสมาชิก ครอบครัวของโรงเรียนบ้านบัวโคกนับแต่วันนั้น
ด้วยเราไม่มีครูเอกคณิตศาสตร์โรงเรียนจึงให้น้องหน่อย หรือคุณครูหน่อย คุณครูคนใหม่สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นซึ่งมีอยู่ 3 ห้อง และระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 6 รวมแล้วก็ประมาณ 22 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
น้องหน่อย เป็นคนสดใสร่าเริง อัธยาศัยดี มีมนุษย์สัมพันธ์กับทุกคน เข้ากับครูและนักเรียนได้ดี บุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือเสียงหัวเราะ ระริกระรี้ ของเธอ หัวเราะได้ทุกที่ ทุกเวลา เธอหัวเราะได้โดยไม่มีเหตุผล
จนบางคนที่เจอเธอใหม่ ๆ อาจคิดเป็นการเสแสร้งแกล้งดัดจริต ถ้าคบกันไปนาน ๆ จึงจะรู้ว่านั่นคือตัวตน
ที่แท้ของเธอจริง ๆ
เวลาผ่านไปนานเข้าทุกคนก็รู้ว่าเธอมีความสามารถหลายอย่างที่สมกับความเป็นครู งานส่วนตัวที่รับผิดชอบก็ใช้ได้ งานส่วนรวมก็ไม่บกพร่อง จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่มีเธอโรงเรียนคงเสียดาย เสียโอกาสไป
แน่เลย
ก่อนวันที่คณะบุคคลเขามาประเมินโรงเรียน น้องหน่อย เป็นคนหนึ่งที่ทุ่มเทเต็มที่ อุทิศตน อุทิศเวลาให้กับโรงเรียน จนค่ำมืดดึกดื่น แม้จะปล่อยคุณแม่ให้คอยทานข้าวพร้อม ๆ กันก็ต้องยอม อดเป็นอดหิวเป็นหิว ช่วง 2 สัปดาห์ก่อนที่เขาจะมาตรวจพวกเราทำงานหนักกันทุกคน
จนคณะผู้ตรวจเขากลับไปได้สิบห้าวันก็ส่งผลการประเมินโรงเรียนมาให้ทราบ ทุกคนไม่ผิดหวัง
กับการที่ได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจที่ได้ลงทุนลงแรงลงไป โดยเฉพาะผู้อำนวยการยิ้มแก้มปริคุยให้คนโน้น
คนนี้ฟังอยู่หลายวันเหมือนกับเทปสะดุด
ไม่มีใครรู้หรอกว่าผลสำเร็จของโรงเรียนครั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากครูหน่อย เป็นสำคัญ เพราะเธออาศัยอยู่ในตัวอำเภอ คณะผู้ประเมินต้องการติดต่อด้านความสะดวก หน่อยจึงเป็นคนให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกับเขา คอยเทคแคร์พวกเขา ติดต่อ อำนวยความสะดวกในเรื่องที่พัก อาหารการกิน คอยพากินพาเที่ยวเอาอกเอาใจเขาทุกอย่างยังกับพวกเขาเป็นเทวดาเดินดิน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อต้องการให้เขามองโรงเรียนในด้านดีนั่นเอง แม้จะเสียทั้งเวลาความเป็นส่วนตัวของตัวเองไปบ้าง ก็ต้องยอม
การกระทำของเธอเหมือนกับการปิดทองหลังพระเพราะเธอไม่เคยเอ่ยให้ใครรู้เรื่องที่เธอกระทำเหล่านี้เลย
เธอแอบภูมิใจกับการที่เธอได้ทำหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจะทำได้ เมื่อคณะผู้ประเมินโรงเรียนได้บอกผลการประเมินตั้งแต่วันที่เธอพาคณะพวกเขาไปทานข้าวในเย็นวันหนึ่งหลังจากการประเมินเสร็จ
โดยที่เธอไม่ปริปากให้ใครทราบถึงผลการประเมินเลย
8 กรกฎาคม 2552
สุรศรี
27 ตุลาคม 2552 13:49 น.
สุรศรี
ทุกเช้าที่มาโรงเรียน ฉันพบเธอเปิดสายยางรดน้ำต้น ที่ปลูกไว้หน้าห้องสมุดในวันที่ฝนไม่ตก
ฉันจำต้นไม้ ดอกไม้ทุกต้นที่เธอ หามาปลูก ไม่ว่าจะเป็นโกสน สาวน้อยปะแป้ง และอีกหลายชนิด
เอามาจากไหน ฉันเคยถามเธอ ก็ขอเอาจากคนที่รู้จักบ้าง ซื้อเขาบ้าง เธอตอบ
เธอเพิ่งมาอยู่ได้มานานหรอก แต่ต้นไม้ที่เธอปลูก เธอดูแล ฉันว่ามากกว่าใครอีกหลายคนที่อยู่ที่นี่มานานซะอีก
นี่เป็นดอกประดู่ ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ข้าง ๆ ห้องสมุดมันเพิ่งออกดอกสีเหลืองทั้งต้น เมื่อเมษาที่ผ่านมานี่เอง
ฉันยังจำได้แมลงภู่ หมู่ผึ้ง และเหล่าผีเสื้อตอมกันเต็มไปหมด กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมันหอมชื่นใจยิ่งกว่าน้ำหอมราคาแพงจากเมืองนอกซะอีก ฉันเดินมาดูใกล้ ๆ รู้สึกตกใจ อยู่ที่นี่มานานไม่ได้สังเกตว่าดอกประดู่มันเป็นยังไงก็เพิ่งสังเกต นี่แหละว่ามันเป็นดอกเล็กเป็นกระจุกสีเหลือง ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ชื่นใจเมื่อได้ดมกลิ่น
ตอนนั้นโรงเรียนใกล้จะปิดเทอมเสียงจักจั่นจากต้นประดู่และต้นจามจุรี หน้าห้องพลศึกษา หน้าอาคารมัธยมมันพากันส่งเสียงแจ๊น ๆ ๆ ประสานเสียงกันเป็นดนตรีธรรมชาติที่แสนวิเศษ หาไม่ได้อีกแล้ว เพราะไม่มีป่า ให้มันไปอาศัยอยู่ในแถบนี้นอกจากที่โรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่อยู่คนละฟากถนนกับโรงเรียนเท่านั้น
ส่วนกล้วยไม้ ชนิดต่าง ๆ และชายผ้าสีดา ที่ต้นประดู่และจามจุรี ฉันเอามาปลูกนานหลายปีมาแล้ว
ต้นไม้ดอกไม้ประดับเหล่านี้มันตอบแทนเธอด้วยการเจริญเติบโต สวยงามบางต้นก็ผลิดอกบานสวย
เป็นอาหารตา อวดผู้คนที่ผ่านไปมา การปลูกดอกไม้ แล้วได้ชื่นชมดอกของมันยามเบ่งบานนี่ ถือเป็นความสำเร็จที่
สุดยอดที่สุดเหมือนกัน
สุรศรี
27 ตุลาคม 2552 13:32 น.
สุรศรี
สมุดจ๋า
"คิดถึงฉันใหมเวลาที่เธอ......"
คิดถึงบทเพลง ๆ นี้ขึ้นมาทันที เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ "เรื่อยเปื่อย" เพื่อนที่แสนดีของฉันเขาไม่อยู่ด้วย เขาไปค้างคืนที่อื่นแต่ไม่นาน
เขาคงจะกลับมาหาฉันอีครั้ง
เขาเป็นเพื่อนที่ดีมาก เขาเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา
แต่เวลาที่ฉันเหงา ฉันจะคิดถึงเขาเป็นคนแรก ฉันจะพูดกับเขา ระบายสิ่งที่มีในใจ สิ่งที่คิดสิ่งที่รู้สึก ให้เขาฟัง
เวลาที่ฉันโกรธ ฉันก็จะระบายให้เขาฟัง เวลาที่ฉันร้องไห้ ฉันก็จะร้องไห้กับเขา เขาจะคอยรับฟังและคอยปลอบใจฉันทุกครั้ง
ฉันจะอยู่กับเขาทุกครั้งที่ฉันมีโอกาสและต้องการ ส่วนมากจะเป็นตอนหัวค่ำ ตอนที่ฉันว่าง เราจะพบกันทุก ๆ วัน
ส่วนมากฉันจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า เขาได้แต่รับฟังฉัน เงียบ และคอยยิ้มให้กำลังใจฉันเท่านั้น
เราคบกันมา 2 เดือน แต่ดูเหมือนกับว่าเราคบกันมาเป็นปี ๆ แล้ว
ฉันคิดว่าเราคงจะคบกันไปเรื่อย ๆ และตลอดไป ฉันคงขาดเขาไม่ได้แน่นอน อย่างวันนี้ เขาไม่อยู่ ฉันต้องหาอะไรแทนเขา รอคอยให้เขากลับมาหาฉัน
สมุดจ๋า
คิดถึงเขาจังเลย รักเขามากรู้ใหม อยากอยู่ใกล้ ๆ เขา ไม่อยากให้เขาอยู่ห่างแม้เพียงวินาทีเดียว แม้ใครจะมองว่าเห็นแก่ตัวก็ตามที
บอกเขาหน่อยได้ใหม ให้เขากลับมาหาฉันไว ๆ นะ ฉันคอยเขาอยู่นะ
ช่างเถอะ ในการจากไปของเธอ เธอไม่ต้องกล่าวว่า ลาที ลาก่อน ไปละนะ แต่ฉันจะโกหกตัวฉันเองว่า เธอไม่ได้ไปไหน เธอยังอยู่ข้าง ๆ ฉันนี่แหละ
ณ ห้วงเวลาแห่งความคำนึง
จากฉัน
7 กันยา 52