31 มกราคม 2553 06:54 น.
สุรศรี
เต้นสากงานศพ
เสียงพระสวดจาเครื่องเสียง ด้วยสำเนียงที่เศร้าส้อย
เสียงสับเนื้อลาบก้อย ควันไฟฟุ้งจากในครัว
เสียงโขลกทำเครื่องแกง ผัดพะแนงต้มแกงคั่ว
พ่อบ้านชำแหระวัว เลี้ยงคนที่มาร่วมงาน
แขกนั่งที่ใต้เตนท์ ดื่มน้ำเย็นจากแม่บ้าน
ดื่มเหล้าเบีย์สำราญ พระสวดเสร็จกันพอดี
รถรับไปส่งวัด เจ้าภาพจัดส่งถึงที่
สำรับเสร็จกันทันที วางบนโต๊ะยกออกมา
กลางคืนก็คบงัน ละเล่นกันตามประสา
พับครึ่งผ้าขะม้า เล่นหมากฮอสบนผืนลาย
ถ่านไฟขีดเป็นเส้น เอามาเล่นอย่างง่ายง่าย
เสือกินหมูดูง่าย เก็บเศษไม้ก้อนหินมา
ไม้ไผ่เป็นท่อนยาว ตัดราวราวสักสามวา
วางคู่ให้งามตา บนพ้นดินให้ดูดี
ไม้ไผ่เป็นท่อนท่อน มาวางซ้อนทับอีกที
เป็นคู่ดูห่างถี่ สองมือจับกระชับมั่น
กร็อบ ๆ ๆ กร็อบ ๆ ๆ
1-2-3 1-2-3
เปิดเพลงจากเครื่องเสียง ด้วยสำเนียงลำมันมัน
จับคู่ออกฟ้อนกัน เต้นเหยาะย่องตามดนตรี
ช้าเร็วตามจังหวะ เคาะจะจะแต่ละที
ระวังเท้ากันให้ดี โดนหน้าแข้งพึงระวัง
บางที่เรียก เต้นสาก หรือเกิดจาก โซ่ถั่งบั้ง
เคาะไม้เกิดเสียงดัง ลาวกระทบไม้ คล้ายคล้ายกัน
มักเล่นในงานศพ และก็พบแต่บ้านฉัน
การเล่นที่อื่นนั้น เต้นสากไม้ไม่เคยมี
หลายแห่งแปรเปลี่ยนไป ยุคสมัยตามวิถี
ฉายหนังวีซีดี เปิดทีวีมีถมไป
การเล่นในงานศพ ที่เราพบตามสมัย
ช่วยอนุรักษ์ไว้ ให้ลูกหลานพานพบเอย ฯ
.............................................
คำอธิบาย
เต้นสาก ที่พบมักเป็นพี่น้องชาว แสก คนเผ่าหนึ่งในจังหวัดนครพนม สากเป็นไม้ไผ่ใช้กระทุ้งพื้นตามจังหวะให้เกิดเสียงดังเร้าใจตามจังหวะดนตรีที่เปิด ไม้ไผ่ลำใหญ่ วางคู่กันบนพื้นดิน และใช้ไม้อีกหลายคู่จับเคาะกับไม้คู่นี้ โดยนับ 1-2-3, 1-2-3 ไปเรื่อย ๆ ครับโดยเต้นเป็นวงกลมคล้ายรำวง เรามักเรียกว่า แสกเต้นสาก
โซ่ถั่งบั้ง เป็นการเล่นของพี่น้องเผ่ากระโซ่ หรือชาวโซ่ครับ เป็นชนเผ่าหนึ่งในจังหวัดสกลนคร คืออำเภอกุสุมาลย์ คำว่าถั่ง หมายถึงกระทุ้ง คำว่าบั้ง หมายถึงบ้องไม้ไผ่ ในที่นี้คือท่อนไม้ไผ่ยาว ๆ ที่เขากระทุ้งพื้นดินเพือให้เกิดจังหวะนั่นเอง
รำลาวกระทบไม้ เป็นการละเล่นของชาวภาคอีสานครับ ประวัติที่มานั้นไม่รู้แต่คงได้มาจากลาวครับเป็นการฟ้อนรำมีเพลงประกอบไม่รู้ชื่อเพลงะไรครับ แต่จังหวะอ่อนช้อยสวยงาม ชายหญิงจะฟ้อนรำคู่กันจังหวะจะช้ากว่า แสกเต้นสาก และโซ่ถั่งบั้ง ครับ
27 มกราคม 2553 12:02 น.
สุรศรี
แสงสุริศรี.....
**เธอเกิดที่กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี
พ่อแม่ของบุญทวี แยกกัน
** แม่อยู่ที่หนองคาย เอามาฝากยายที่นั่น
อยู่เพียงไม่กี่วัน กลับไป
** ทำงานที่พัทยา ที่บาร์ในเมืองใหญ่
เงินเดือนได้เท่าไร ไม่รู้
**ถึงวันเข้าโรงเรียน ชื่อในทะเบียนของครู
ไม่มีชื่อของหนู บุญทวี
**ถามยายถึงรู้ว่า วันที่เธอมาไม่มี
สูติบัตรของเธอที่ เกิดมา
**มีเพียงใบแจ้งเกิด ที่กำเนิดจากมารดา
ไร้เลขบัตรประชา ของตน ฯ
ยานี 11
**เธอขาดสิทธิหลายอย่าง ดูหนทางช่างสับสน
ปล่อยไว้เข้าตาจน เกิดปัญหาอยู่ร่ำไป
**แจ้งเกิดเกินกำหนด ต้องไปจดที่แจ้งไว้
กำนันท่านผู้ใหญ่ ให้ปากคำเป็นพยาน
**เรียกแม่ของเธอไป รีบเร็วไวให้ทันการ
สอบปากคำรายงาน ฝ่ายทะเบียนให้เบื้องบน
**ปัญหายังไม่จบ เขาขอพบพ่ออีกคน
ให้การอย่าวกวน อยู่ที่ไหนให้ตามมา
**ทุกคนยอมจำนน จะสืบค้นหมดปัญญา
เลิกกันไม่ทันลา ที่ผ่านมาก็หลายปี
**สืบค้นอินเตอร์เน็ต เที่ยวเตร่เตร็ดไปหลายที่
บังเอิญโชคยังดี เราโทรไปที่สุพรรณ ฯ
**พ่อเธอแต่งงานใหม่ ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น
โทรไปอยู่หลายวัน เมียยืนยันไม่ให้มา
......................................
ฉบัง 16
**เหมือนฝนโปรยจากฟากฟ้า ชโลมแหล่งหล้า
จากฟ้าสู่ธรณิน
**แปดสิบพรรษาแผ่นดิน ชาวไทยได้สิ้น
คนไร้หมายเลขประชาชน
**หลักฐานพยานบุคคล รวบรวมปะปน
ยื่นให้ฝ่ายธุรการ
**ปลัดบอกว่าหลักฐาน กับฝ่ายพยาน
ยังมีไม่เพียงพอทำ
**บ่ายเบี่ยงเกี่ยงงอนงึมงำ อุบอิบพึมพำ
อยากได้อามิสกำนัล
.................
สุรางคนางค์ 28
จากวันเป็นเดือน เวลาคล้อยเคลื่อน ข่าวนี้เงียบหาย
เข้าไปติดต่อ ขออธิบาย จะดีหรือร้าย บอกให้รู้ที
ท่านทราบใหมว่า เป็นคนที่ห้า ปลัดคนนี้
หลักฐานพยาน ขอทานอีกที ตรองให้ถ้วนถี่ กันผิดพลาดไป
ต้องการหลักฐาน บุคคลพยาน เราจัดหาให้
ขอให้กลับบ้าน ท่านสบายใจ ไม่นานเท่าไร รอฟังข่าวดี
หลังจากวันนั้น รออย่างอดกลั้น ข่าวบุญทวี
เลขสิบสามหลัก ประจักษ์เสียที ให้เอาบัญชี ทะเบียนบ้านมา
ยายแสนดีใจ เอาทะเบียนไป ไม่เสียเวลา
ปลัดใหม่บอก นอกจากมารดา ไม่มีสิทธิ์มา ติดต่อใดใด
ให้แม่เด็กมา เอาเลือดไปหา นายแพทย์ตรวจให้
ตรวจดีเอ็นเอ จะเวลาไหน รีบเร่งเร็วไว จะได้ทันที ฯ
...........................
ดอกแคร่วง
** ด้วยความยินดี
โทรไปเร็วรี่
ทันใด
**แต่ต้องตกใจ
ที่เราโทรไป
ไม่มี
**ย้ายไปหลายปี
ไม่รู้อยู่ที่
หนใด
**จะทำอย่างไร
ที่ทำลงไป
เปล่าดาย
**สงสารแต่ยาย
ซูบผอมร่างกาย
ตรอมตรม
**หัวใจระบม
หัวอกระทม
ร้าวราน ฯ
..................
บทละคร
มาจะกล่าวบทไป ถึงเด็กไทยในวัยที่ศึกษา
ยังด้อยโอกาสนานา ที่รัฐจัดหาให้มี
นโยบายค่อนข้างสวยหรู แต่ความจริงที่เป็นอยู่เช่นนี้
ยังขาดโอกาสที่ดี สวัสดิการที่มีเพียงพอ
อีกคนที่นำไปปฏิบัต มันขัดจุดประสงค์ไหมหนอ
ขาดจิตสำนึกดีต่อ ที่จะก่อจะเสริมเติมให้
ตัวอย่างเช่นบุญทวี เขาเกิดผิดที่ใช่ใหม
บนพื้นแผ่นดินถิ่นไทย แต่ใยเขาจึงไม่มี
จากชั้นอนุบาลปอหนึ่ง จนถึงมอหนึ่งเดี๋ยวนี้
จากเจ็ดถึงสิบสามปี ชีวีไร้สิทธิต้องการ
บนผืนแผ่นดินถิ่นนี้ ยังมีเหลื่อมล้ำกล่าวขาน
หลายอย่างกลายเป็นตำนาน ของกาลที่เห็นและเป็นไป
ดังเช่นเด็กหญิงบุญทวี ใช่มีบุญมากก็หาไม่
ได้โปรดติดตามตอนต่อไป ช้าไวจะมารายงาน ฯ
23 มกราคม 2553 11:12 น.
สุรศรี
บุญเลี้ยงผี
งานบุญเดือนสาม ถึงยามเลี้ยงผี
ทำกันทุกปี ทุกบ้าน
นำดอกไม้แดง ทุกแหล่งสถาน
เหล้าไหไก่จาน เตรียมไป
ณ กลางหมู่บ้าน เป็นลานกว้างใหญ่
มัดช่อดอกไม้ สีแดง
เหล้าไหไก่ต้ม นิยมทุกแห่ง
บนบานร่วมแรง เซ่นไหว้
ทุกบ้านเตรียมพร้อม แห่ห้อมล้อมไป
ยังหอโฮงใหญ่ ปู่ตา
เชิญท่านมากิน เหล้ารินหยูกยา
กินเสร็จเอามา แจกคน
อันเชิญปู่ตา เข้ามาชุมชน
ฟ้อนรำบานบน ที่ลาน
ธูปเทียนดอกไม้ เตรียมไว้ใส่จาน
อันเชิญให้ท่าน ลงเทียม
ลูกหลานถือผี คนที่ต้องเตรียม
ปู่ย่ามาเทียม ฟ้อนรำ
เสียงกลองสียงแคน แล่นแจ้นประจำ
โหยหวนครวญคร่ำ คึกคัก
รำฟ้อนอ่อนหวาน บนลานประจักษ์
กระชึกกระชัก ขึงขัง
เหล้าไหรินมา เฮฮาเสียงดัง
ข้าวปลาก็ยัง พอมี
เลี้ยงผีอิ่มหนำ แล้วทำพิธี
เลี้ยงส่งภูตผี ปู่ตา
กระทงสามเหลี่ยม เตรียมไว้รอท่า
เครื่องเซ่นบูชา ส่งท้าย
ข้าวสีดำแดง จัดแจงเรียงราย
ทุกข์โศกโรคกาย หายพลัน
ขบวนแห่ส่ง ตรงท้ายบ้านนั่น
ปลายมีดกีดกั้น ห้ามเข้า
บายศรีสู่ขวัญ ร่วมกันหมู่เฮา
อยู่ดีอย่าเศร้า สุขใจ
งานบุญเลี้ยงผี ประเพณีไทย
เห็นอยู่ทั่วไป ยังมี
ตามองไม่เห็น เซ่นไหว้ภูตผี
ถ้าเป็นสิ่งดี ควรทำ
งานบุญเดือนสาม ยามขึ้นสามค่ำ
ลูกหลานพึงจำ สืบไป ฯ
..........................................................
สวัสดีครับ
บุญเลี้ยงผี ของบ้านผมทำกันเมื่อวันที่ 18 มกราที่ผ่านมาครับ
นิยมทำกันในเดือนสามขึนสามค่ำครับ แต่ไม่มีเวลาเอามาโพสครับ
คำศัพท์
ลงเทียม หมายถึง ลงทรง
หอโฮง หมายถึง หอปปู่ตา
23 มกราคม 2553 07:49 น.
สุรศรี
บทโศก คือบทเรียน
เศษอิฐและซากบ้าน กองกลางลานเป็นภูเขา
ซากปูนสั่งเป็นเงา ดั่งภูเขาพระสุเมร
หยดน้ำที่เปื้อนหน้า คือน้ำตาที่กระเซ็น
คราบเลือดที่แลเห็น สิ่งทีเป็นสิ่งที่มี
เสียงร้องที่ครวญคร่ำ ดุจเสียงร่ำแห่งดนตรี
สมบัติของชีวี ณ บัดนี้คือโศกตรม
เสียงเพรียกของพ่อแม่ เหลือเพียงแต่ทุกข์ระบม
เสียงเพรียกก้องระทม ของลูกรักเพื่อจักลา
พี่ยังไม่สั่งน้อง ไร้เสียงของลุงสั่งป้า
ญาตมิตรอนิจจา คร่ำครวญหาอยู่หนใด
เกลื่อนกลาดอนาถแท้ สุดตาแลศพของใคร
ใต้พื้นอีกเท่าไร สุดจะนับเหลือคณา
พายุที่โศกเศร้า โหมพวกเราทั้งโลกา
เพียงจิตคิดเมตตา ช่วยเหลือกันให้ทันการ
ฟ้าดินใยพิโรธ ฤๅท่านโกรธสั่งประหาร
ฤๅหวังจะประจาน ให้คิดอ่านพึงระวัง
ขอจงเป็นบทเรียน ฝึกอ่านเขียนใส่ใจตั้ง
โพยภัยประเดประดัง โลกมนุษย์ต้องหยุดตรอง ฯ
18 มกราคม 2553 16:32 น.
สุรศรี
รักที่ตรงไหน (กาพย์นิราวสาน)
ฉันรักเธอที่ตรงไหน
ตรงที่หัวใจหรือเปล่า
เพียงภาพที่เห็นเป็นเงา
มายาหยอกเย้ายั่วยวน
ฉันรักเธอที่ตรงไหน
รอยิ้มสดใสให้หวน
ใกล้ชิดอิงแอบแนบชวน
ใคร่ครวญทำไมใยรัก
ฉันรักเธอที่ตรงไหน
ตรงที่หัวใจสมัคร
ร่าเริงแจ่มใสยิ่งนัก
ร่ำรวยน่ารักชวนมอง
ฉันรักเธอที่ตรงไหน
หัวใจผูกพันเราสอง
หน้าที่การงานสมปอง
เพียงเพื่อทดลองสองเรา
ฉันรักเธอที่ตรงไหน
ตรงที่หัวใจของเขา
ที่เป็นตัวตนนงเยาว์
ที่เขาเป็นเขาใช่ใหม
ฉันรักเธอที่ตรงไหน
ตรงที่หัวใจหรือเปล่า
....................................
ผมทดลองแต่งกาพย์นิราวสานที่ประดิษฐ์โดยคุณสุริยันต์ จันทราทิตย์ครับ
รูปแบบฉันทลักษณ์เหมือนกลอนหกแต่การจบให้จบด้วยวรรครับและวรรคสดับ
ที่เป็นท่อนเดียวกันกับบทที่หนึ่งครับ ไม่ทราบเพื่อน ๆ มีความคิดเห็น
ประการใดช่วยติชมด้วยครับ ขอบคุณครับ