12 ธันวาคม 2552 16:09 น.
สุรศรี
บุญกองข้าว
....หลังเก็ยเกี่ยวข้าว
ถึงคราวขึ้นยุ้ง
พี่ป้าน้าลุง
ทำบุญ
......ข้าวเปลือกรวมกัน
ลงขันร่วมหุ้น
เพื่อจะทำบุญ
กองข้าว
.....จากแรงเป็นรวง
หลากพวงเม็ดพราว
ข้าวเหนียวข้าวจ้าว
รวมกัน
......จากสิบเป็นร้อย
จากน้อยเป็นพัน
มากมายเม็ดมัน
กองโต
.....กลางคืนคบงัน
สังสันต์เฮโล
สนุกสุขโข
รำวง
.....ฉายภาพยนตร์
ผู้คนลุ่มหลง
ที่ลืมไม่ลง
ลำซิ่ง
......แดนเซอร์อรชร
อ้อนแอ้นเสียจริง
สะดีดสะดิ้ง
สุดมัน
.....ขี้เหล้าหน้าเวที
ราวีตีรัน
ดิ้นฝุ่นฟุ้งควัน
วุ่นวาย
....เช้าขึ้นจัดหา
ข้าวปลาถวาย
พระฉันก่อนสาย
พอดี
......พราหมณ์หาเครื่องเซ่น
ทำเป็นบายศรี
สู่ขวัญเทพี
โพสพ
......เม็ดข้าวหล่นร่วง
จากรวงให้พบ
ขวัญข้าวอย่าหลบ
ไปไหน
....ขึ้นยุ้งขึ้นฉาง
สู่ร่างเรือนไทย
รวงเล็กเม็ดใหญ่
สมบูรณ์
......เก็บไว้ทำพันธุ์
ข้าวนั้นค้ำคูณ
ผลิตผลเพิ่มพูล
ต่อไป
.....ข้าวเหลือก็ขาย
มากมายเท่าไร
เก็บเงินเอาไว้
เข้าวัด
.....งานบุญกองข้าว
ชาวนาที่จัด
ชี้เช่นเห็นชัด
อะไร
.....งามประเพณี
บ่งชี้นิสัย
งามที่น้ำใจ
รู้คุณ
.....ฟ้าดินประทาน
ข้าวหวานละมุน
รู้จักทำบุญ
ตอบแทน ฯ
...............................................
แบบว่า ผมประดิษฐ์ขึ้นใหม่คล้ายกลอนสี่ครับ
แต่วรรคสุดท้ายมี 2 คำ เรียกว่า "กาพย์แสงสุริศรี" ครับ
หมายถึงกาพย์ที่มีความงดงามประดุจแสงตะวันที่แสนจะอ่อนละมุล
ซึ่งขับไล่ความเหน็บหนาวในเหมันตฤดูครับ (ห้าม อ๊วก นะครับ ไดโปรด)
สุริ มาจากชื่อคุณสุริยันต์ ผู้ให้แรงบันดาลใจ ส่วนศรี มาจากสุรศรี
ชายที่มีจิตใจอ่อนโยน ประดุจปีกนก แต่ใจง่าย ร้องไห้บ่อย
และ(หัวใจ) อ่อนแอครับ
(กลั้นเอาไว้ครับ ...ขอร้องเถอะ)
เออ...ยังไงก็ช่วยติชมด้วยครับ คือเมื่อคืนไปช่วยงานบุญกองข้าวที่วัด
คิดบ้าอะไรไม่รู้ ก็เลยบรรยายออกมา ลีลามันกระฉับกระเฉง ประดุจ รถอีแต็ก
ที่เข้าเกียร์ 3 และแล่นไปบนพื้นผิวของดวงจันทร์ที่ขรุขระไม่ได้รับการเหลียวแลจากกรมทางหลวง... จินตนาการเอาเองนะครับไม่เคยไปเลยจริง ๆ แฮะ ๆ
12 ธันวาคม 2552 08:21 น.
สุรศรี
ทำไม
.............
เช้าของวันหนึ่ง
เธอเดินมาถึง
มองหน้า
จ้องมองสายตา
คว้ากระดาษมา
ฉีกทิ้ง
เหมือนใจโดนยิง
เจ็บปวดเสียจริง
ทำได้
เป็นความในใจ
ที่เขียนส่งให้
วันก่อน
ไฉนบังอร
ไม่พึงสังวร
คิดมัน
ไหนบอกรักกัน
ไม่กี่วานวัน
ลืมลง
ปล่อยให้ลุ่มลง
ฉันเองงงงง
อยู่นาน
เจ็บปวดร้าวราน
แสนทรมาน
หัวใจ
เหตุผลกลใด
ที่ทำลงไป
บอกที
ขวัญใจพี่ศรี
บอกหน่อยคนดี
ทำมายยยยยยย
........
เป็นกาพย์ดอกแคร่วงครับ
คุณศิวกานต์ ปทุมสูตร สร้างขึ้น
คุณสุริยันต์ นำมาเผยแพร่ ข้าน้อยสุรศรี
นำมาลองแต่งดู ขออนุญาตนำมาลงอีกครั้ง
เพื่อนำดอกแค ให้พวกเราได้นำไปแกงส้มครับ แฮะ ๆ
12 ธันวาคม 2552 06:48 น.
สุรศรี
ผญา วันละบท
วันนี้ขอเสนอผญาที่เป็นบทเพ้อรำพันของชายหนุ่มถึงหญิงสาวคนรัก และขออนุญาตไม่แปลนะครับ เพราะความหมายเข้าใจง่าย ๆ ครับ
หล่าเอย........
คันบ่ได้เห็นหน้า โทรมาหากะไคแหน่
ได้ยินเสียงจ้อยจ้อย โตอ้ายกะอุ่นใจ
คันบ่ได้เห็นหน้า จดหมายมากะไคแหน่
เห็นลายมือง่องแง่ง กะปานไก้ต่อนคำ
คันบ่ได้เห็นหน้า ส่งเงินมากะไคแหน่
จักสี่ซ่าห้าล้าน โตอ้ายบ่ว่าหยัง
คันแม่นได้เห็นหน้า เงินเต็มภาช์อ้ายบ่เบิ่ง
เห็นแต่น้องยิ้มแย้ม กะปานได้ขึ้นสวรรค์
คันแม่นได้เห็นหน้า ได้เว้าจากะแห่งคัก
ได้จับมือแจ่มเจ้า บ่กินข้าวกะบ่ตาย
คันแม่นได้เห็นหน้า คันแม่นน้องมาหา
กินช้าวนำกะไคอยู่ คันแม่นได้นั่งเว้า
นำเจ้าอ้ายบ่หนี ซั่นแล้ว
คันแม่นได้เห็นหน้า เงินแสนห้าบ่เหลียวเบิ่ง
อ้ายสิเบิ่งแต่หน้าน้อง อ้ายสิจ้องแต่หน้าเจ้า
บ่กินข้าวให้จ่อยตาย พุ้นแล้ว ....นางเอย
ศัพท์
คันบ่,คันแม่น หมายถึง แม้นว่า
กะไคแหน่,กะไคอยู่ หมายถึง ค่อยยังชั่ว
ภาช์ หมายถึง ภาชนะสำหรับใส่เงิน
กะแห่งคัก หมายถึง ก็ยิ่งดี
เหมิดมื้อ หมายถึง ทั้งวัน
จัก หมายถึง สัก,แค่
ต่อนคำ หมายถึง ก้อนทองคำ
กะปาน หมายถึง เหมือนกับ
โตอ้าย หมายถึง ตัวพี่
10 ธันวาคม 2552 16:06 น.
สุรศรี
ยอม..............
เพราะตัวฉันมันมีกรรม ไม่อาจทำตามใจเธอทุกอย่าง
เหมือนคมมีดกรีดกลาง ระหว่างใจให้เจ็บช้ำ
เพราะตัวฉันดั่งมาร ให้เหตุการณ์เลวร้ายลึกถลำ
ทำได้แค่นี้ระกำ ไม่อาจทำตามใจเธอต้องการ
ไม่อยากให้เธอร้อง ตะโกนก้องทรมาน
เจ็บปวดแสนร้าวราน ทุกข์ใจไปนานกว่านี้
ฝืนเกินไปเสียเวลา เร็วช้าก็ปวดร้าวทวี
เจ็บครั้งเดียวก็ดี ตัวฉันนี้ยอมทรมาน
เพราะตัวฉันเลวระยำ ไม่อาจทำตามใจเธอต้องการ
ชั่วและดีประสาน นานจนเป็นฉันเกินจะเปลี่ยนแปลง
ไม่อยากให้เธอร้อง ตะโกนก้องจนหมดแรง
ปวดใจเกินจะแกร่ง ใจไม่แข็งมันร้าวราน
10 ธันวาคม 2552 09:25 น.
สุรศรี
เมาหนักเพราะรักติ๋ม
ทนหม่นหมองคือบักทองต้องผองเหล้า ดื่มให้เมาเผาความกลุ้มที่สุมหัว
เวลานี้ไม่มีรักมาพันพัว เราเหมือนตัวอยู่คนเดียวเที่ยวหยำเป
รักน้องติ๋มสุดแสนแฟนของข้า แต่ติ๋มมาเบือนบิดคิดหันเห
อิทธิพลเงินหนักรักรวนเร สุดคะเนหยั่งได้ใจของคน
เดี๋ยวนี้ทองผองเหล้าเมาให้แอ่น ติ๋มหรือแต๋นหรือต้อยค่อยไม่สน
นอนกอดขวดไม่ปวดร้าวเหมือนกอดคน ติ๋มเขาสนนายห้างก็ช่างปะไร
ใจทองช้ำเพราะติ๋มทำปี้ป่น บักทองคนต่ำต้อยบุญน้อยค่อยไป
มักบ่ได้กะตามส่างทางติ๋ม เอาสุรามาชิมนั่งผองมองแก้ม
มีหยังแล้วสิใจเดียวสัตย์ซื่อ มันบ่คือน้ำเหล้าที่แสนซื่อตรง
กั๊กแล้วก้งกะสัตย์ซื่อคือกัน มันบ่คือใจติ๋มบ่ซื่อตรงคงที่
เฮาบ่มีหยังดอก นอกจากเมามีน้ำเหล้าสำรอง
มีแต่เหล้าเท่านั้น เป็นเพื่อนมันเพื่อนกันกับบักทอง
ติ๋มเขาเมินไม่มอง ทองต้องเมาทุกวัน
มีเหล้าเท่านั้น เป็นเพื่อนยามเหงา
ทองต้องเมาให้ซื่ม เพื่อจะลืมติ๋มคนหูเบา
ดื่มให้ลืมหน้าติ๋ม และรอยยิ้มที่ติ๋มหลอกลวงเรา
ทองต้องเป็นคนเมา เมาเพราะความเสียใจรัก
ไม่ได้สมใจบักทอง
ติ๋มเขาลืมทองแน่ มีเฒ่าแก่มาขอกินดอง
มีแขกมาเป็นโขยง เขาคงจะมันยกล่อง
เหมือนเฉือนหัวใจบักทอง ผู้คนเขาพากันมอง
ทองดื่มเหล้าจนว่าเดินเซ
ทองบ่มีหยังดอก นอกจากเมามีน้ำเหล้าหยำเป
ติ๋มเขาสุขช่างเขา ทองจะเอาน้ำเหล้าไม่โยเย
เมาแล้วไม่เกเร เซก็เพียงยามเมา
ขอรักเหล้าดีกว่ารักติ๋ม
เป็นไงครับ รูปแบบคงไม่ใช่กลอนสุภาพทั้งหมดครับ เป็นกาย์ยานีบ้าง เป็นกาพย์ของอีสานบ้าง จำนวนคำในวรรคก็ไม่คงที่เป็นรูปแบบกลอนลำทำนองลำเดินกลอนขอนแก่นครับ ภาคอีสานจะมีลำทำนองอุบล ทำนองกาฬสินธุ์ และมีหลายประเภทครับ ช้าเร็ว และแบ่งตามเนื้อหาด้วยครับ
กลอนที่ยกมานี้เป็นของ สุบิน นิลวรรณ ร้องเอาไว้ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
โด่งดังมาก เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นำเอาทำนองเพลงมาใส่ลงบทกลอนครับ