16 กุมภาพันธ์ 2555 13:17 น.
สุนทรวิทย์
กลุ่มหมอกลอย เคว้งคว้าง อยู่กลางป่า
คล้ายวิญญาณ์ ภูตพราย กรายหลอกหลอน
ยามโพล้เพล้ มืดมัว ทั่วดงดอน
เสียงสะท้อน ของชะนี คล้ายผีไพร
เดินหลงป่า คนเดียว เปลี่ยวและหนาว
ทุกย่างก้าว เมื่อยเนื้อ เหงื่อไคลไหล
หันมองหา ทิศไหน ไม่เห็นใคร
นึกระไว ไหวหวั่น อกพรั่นพรึง
ภยันตราย หมิ่นเหม่ เวลานี้
จะร้าย,ดี มิอาจ คาดเดาถึง
เสียวสยอง อ่อนจิต คิดคำนึง
ยินเสียงอึ่ง ยังตระหนก ตกฤทัย
พร่ำวิงวอน เทวา โลกานาถ
ลูกนิราศ ถิ่นมา ขออาศัย
ราตรีนี้ นิทรา พนาลัย
โปรดคุ้มภัย เถิดหนา อย่าตัดรอน
จักจั่น จิ้งหรีด กรีดกระชั้น
กล่อมจนฉัน หลับไป บนไม้ขอน
ฝันว่าได้ ประสบ พบบังอร
มาหลับนอน สมสู่ อยู่แนบกาย
ครั้นตื่นขึ้น เช้าตรู่ รู้สึกตัว
สะดุ้งกลัว ขวัญฝ่อ ใจคอหาย
จริงหรือฝัน อัศจรรย์ เหนือบรรยาย
ช่างคลับคล้าย-คลับคลา ว่าเรื่องจริง
เหลียวรอบทิศ พิกล ขนลุกซู่
ฉันนอนคู่ ต้นตานี กล้วยผีสิง
มิใช่ขอน ไม้สัก ที่พักพิง
คิดแล้วยิ่ง กริ่งเกรง เร่งจากจร
พลัดหลงป่า รอดตาย ได้เมียผี
แม่ตานี งามอย่าง นางอัปสร
แม้กลับเรือน ราบรื่น คืนนาคร
ยังอาวรณ์ เนืองนิตย์ เหมือนติดใจ
15 กุมภาพันธ์ 2555 11:34 น.
สุนทรวิทย์
อย่าตื๊อฉัน วุ่นวาย คล้ายบ้าคลั่ง
อย่าจริงจัง มากไป มันไม่เหมาะ
อย่าเซ้าซี้ เสียจน คนยิ้มเยาะ
อย่าฉอเลาะ ทุกวัน มันเลี่ยนไป
หากคิดรัก จงตระหนัก รักแต่น้อย
พอนานหน่อย ค่อยเติม ค่อยเพิ่มใส่
ก้าวช้าช้า เรียนรู้ หมั่นดูใจ
คงมิไกล เกินคว้า มาเชยชม
เหมือนปลูกข้าว ทำการ หว่านเมล็ด
กว่านาเสร็จ ลงเคียว เกี่ยวสาสม
ต้องทนเหน็ด-เหนื่อยง่วน พรวนดินตม
รู้จักข่ม อดกลั้น แบ่งขั้นตอน
เกรงเล่ห์ชาย หมายคู่ เพียงชู้เล่น
มักเคี่ยวเข็ญ กามิศ จิตหลอกหลอน
อิสตรี ถี่ถ้วน ควรสังวร
พึงตัดรอน เสมอ ห้ามเผลอตน
โปรดสงบ เสงี่ยม เจียมไว้บ้าง
เดินตามอย่าง ประเพณี มีเหตุผล
ใช้สัตย์,ซื่อ บริสุทธิ์ หยุดทุรน
ความอดทน ถนอม ย่อมกำชัย
เพียงประพฤติ เท่านี้ ก็ดีเลิศ
ผลบังเกิด ปีติ อดิศัย
ฉันยินดี มอบกายา ชีวาลัย
ร่วมฤทัย ปรนนิบัติ สิ้นขัดเคือง
14 กุมภาพันธ์ 2555 13:01 น.
สุนทรวิทย์
หลงรักยาย ข้างบ้าน มานานโข
เธอทรงโต ก้นใหญ่ ได้ส่วนสัด
มีเสน่ห์ ต้องตา สารพัด
ยั่วกำหนัด ตัณหา ความลามก
ตามจดจด จ้องจ้อง มองไม่เบื่อ
แม่เจ้าเนื้อ ยั่วยวน กวนหัวอก
อยากเอ่ยปาก ฝากใจ ให้สะทก
คิดไม่ตก ยกไม่ลง งวยงงนัก
เพียรส่งหมาก ส่งพลู อยู่ไม่ขาด
เหมือนข้าทาส อวิญญู ผู้จมปลัก
ยอมสนอง รับใช้ ด้วยใจรัก
สามิภักดิ์ วิปริต จิตชำรุด
ซ่อนอารมณ์ ยืดเยื้อ จนเหลืออด
แรงเก็บกด เคลื่อนคลา มาถึงจุด
จำเปิดเผย รักแท้ แก่นงพุฒ
ว่ารักยาย ไม่หยุด ดุจชีวิต
ยายได้ฟัง วาจา สารภาพ
สะดุ้งวาบ วิงเวียน เปลี่ยนจริต
ตกใจเหมือน ผีหลอก ช็อกสุดฤทธิ์
หัวใจวาย ตายสนิท ผิดคาดนัก
13 กุมภาพันธ์ 2555 15:29 น.
สุนทรวิทย์
เหนื่อยอ่อน ค่อนชีวิต
ไม่มีสิทธิ์ แม้คิดหวัง
หากิน ดิ้นประทัง
สุดกำลัง ยังยากจน
ลำบาก สู้ตรากตรำ
มิก่อกรรม ทำฉ้อฉล
หลายปี ที่อดทน
สาละวน อยู่คนเดียว
คืน,วัน เงียบสันโดษ
เป็นชายโสด ร้างโดดเดี่ยว
หนทาง ช่างลีบเรียว
จิตห่อเหี่ยว เปลี่ยวซึมเซา
ผู้ใด ไหนรู้ซึ้ง
ชีวิตหนึ่ง ซึ่งอับเฉา
ขาดชู้ คู่แบ่งเบา
สุดหงอยเหงา เศร้าหัวใจ
ระอา หน้าหมองคล้ำ
ขายส้มตำ น้ำแข็งไส
ตระเวน เข็นรถไป
ชุ่มเหงื่อไคล กายโงงเงง
วันนั้น ฉันเมื่อยล้า
เดินชักช้า หน้ารถเก๋ง
เสียงไล่ คล้ายนักเลง
ไอ้เส็งเคร็ง จากเก๋งงาม
เศรษฐี มั่งมีเกียรติ
คนจนเฉียด พลันเหยียดหยาม
เอะอะ ก็ประณาม
ชอบหาความ ตามราวี
เหนื่อยอ่อน ค่อนชีวาตม์
ไร้โอกาส ปราดถอยหนี
เจ็บช้ำ ถูกย่ำยี
โดยผู้ดี ที่แสนทราม
12 กุมภาพันธ์ 2555 12:32 น.
สุนทรวิทย์
อารมณ์ ตรมวูบหนึ่ง
ครุ่นคำนึง ถึงหนหลัง
ชีวิน ล่มภินท์พัง
เพราะผิดพลั้ง ครั้งนั้นเชียว
วัยคะนอง ประลองรถ
โชว์เคี้ยวคด บทหวาดเสียว
ใครห้าม ปรามหน่อยเดียว
ย้อนกราดเกรี้ยว อวดเชี่ยวชาญ
ประชัน อันตราย
แข่งทำร้าย กายสังขาร
สุดท้าย แทบวายปราณ
เจ็บพิการ ลาญหัวใจ
ชีวา อนาคต
เปลี่ยนรันทด หมดทางไข
ทางฝัน อันยาวไกล
มลายไป ในพริบตา
มิใช่ ผู้ใดดล
ตนทำตน จนพลาดท่า
ทุกข-เวทนา
เมื่อสองขา มาขาดกลาง
ใครเล่า เขาชมเชย
มีแต่เปรย เย้ยถากถาง
อับจน ไร้หนทาง
มิตรหนีห่าง ต่างรำคาญ
คิดได้ เมื่อสายแล้ว
หมดความแกล้ว แววฮึกหาญ
ย่อท้อ ทรมาน
เป็นขอทาน สะพานลอย
เสียดาย วัย,เวลา
สิ้นคุณค่า คราถดถอย
รับกรรม ไม่สำออย
นั่งหงอยก๋อย คอยเศษเงิน