25 สิงหาคม 2554 22:41 น.
สุนทรวิทย์
นั่งมอง ท้องนที ในวารี มีมัจฉา
หลากหลาย ว่ายไปมา เพลินอุรา น่าภิรมย์
นั่นเสือตอ กับหมอไทย ปลาตาใส และไส้ขม
ปลาดุก คลุกโคลนตม นึกนิยม ชมปลาไน
เห็นกริม แอบริมขอน โน่นเนื้ออ่อน,ช่อน,ปลาไหล
งามพริ้ง กระทิงไฟ ส่วนหางไหม้ ไล่กินซิว
แรด,หลด, กด,เทโพ ท่าชะโด เหมือนโซหิว
เข็มจ้อย ลอยแถวทิว บู่ขี้ริ้ว ผิวน่าชัง
นวลจันทร์ หันแคล่วคล่อง ตะเพียนทอง ท่องตามหลัง
ปลาสร้อย คอยระวัง เรียดชายฝั่ง ดั่งกังวล
กระดี่ ที่ก่อหวอด ฟองฟูฟอด กอดหญ้าขน
ปลาหมู ดูชอบกล พล่านซุกซน ก้นพื้นทราย
ปล้องอ้อย ตัวน้อยนิด กระจิริด ผิดสวาย
สง่า ต้องปลากราย อีกตองลาย คล้ายคลึงกัน
ยามยล ชลสถาน สุขสำราญ ปานเคลิ้มฝัน
มัศยา นานาพันธุ์ ดลให้ฉัน พลันอิ่มใจ
25 สิงหาคม 2554 17:17 น.
สุนทรวิทย์
อริยะ ศาสดา องค์สัมมา โลกานาถ
สอนใจ ไว้เปรื่องปราด ด้วยโอวาท อำนาจธรรม
แจ้งชัด ตรัสรู้ พลิกฟื้นฟู ผู้ใฝ่ต่ำ
ให้ซึ้ง ถึงบุญ,กรรม ไขเงื่อนงำ สิ่งค้ำชู
สรรค์สร้าง ทางพ้นทุกข์ เอื้อผาสุก ทุกเหล่าหมู่
โปรดสัตว์ มัตตัญญู เปิดประตู สู่นิพพาน
ชาวพุทธ บุตรจอมไตร ควรเข้าใจ ในแก่นสาร
น้อมรับ ดับสาธารณ์ รู้ประมาณ การอยู่,กิน
พุทธธรรม ค้ำโลกา ทรงคุณค่า กว่าทรัพย์สิน
ยืนยง คงฟ้า,ดิน ปรุงชีวิน ประทินชน
ธรรมรัตน์ จรัสแสง ส่องสำแดง ทุกแห่งหน
ศาสนา ทั่วสากล ล้วนนำคน ให้พ้นภัย
25 สิงหาคม 2554 14:42 น.
สุนทรวิทย์
ลำพู ดาษดื่น ยืนแช่น้ำ
ฟ้าดำ ราวกับ โลกหลับใหล
หิ่งห้อย วามวับ ขับแสงไฟ
เรไร จิ้งหรีด กรีดกังวาน
บ้านเก่า เมื่อครั้ง ฉันยังเด็ก
คลองเล็ก คลองใหญ่ ใสสะอ้าน
สงบ วิเวก เฉกพิมาน
เพื่อนบ้าน เรือนเคียง เยี่ยงญาติมิตร
กุ้งหอย ผักปลา หาได้ทั่ว
มิกลัว ขัดสน ผลผลิต
พึ่งหลัก พอเพียง เลี้ยงชีวิต
เศรษฐกิจ สังคม ดูกลมกลืน
ชานเมือง นคร คราก่อนนั้น
พืชพันธุ์ เรือกสวน ล้วนร่มรื่น
ความหลัง คิดไป คล้ายวานซืน
วัน,คืน ปุบปับ ก็ลับลา
ความเจริญ แห่แหน มาแทนที่
ดนตรี ยุคใหม่ ขายท่วงท่า
วัยรุ่น งวยงง หลงติดยา
ปัญหา ประดัง ทั้งตำบล
บัดนี้ บ้านเก่า มิเหงาแล้ว
ตึกแถว ชุมกว่า เห็ดหน้าฝน
ที่ดิน ขายหมด แลกรถยนต์
ผู้คน ก่นหวัง ความมั่งมี
ลำพู นั้นโดน โค่นยับย่อย
หิ่งห้อย สูญไป ในแสงสี
สังคม ขัดแย้ง แข่งชิงดี
วิถี ดั้งเดิม เริ่มปราชัย
อดีต เหลือเพียง เสียงบอกเล่า
รากเหง้า ชนบท หมดสมัย
ทุกครั้ง ผ่านมา นึกอาลัย
วัน,วัย แต่หลัง ยังผูกพัน
24 สิงหาคม 2554 20:26 น.
สุนทรวิทย์
สองแขนเคย กำยำ กรำแดดฝน
อาบเหงื่อทน สู้การ งานเบาหนัก
แบกภาระ หลายหลาก ยากหยุดพัก
เลี้ยงฟูมฟัก บุตรธิดา ห้าชีวัน
คราวขาดแคลน หน้าคล้ำ จำนำของ
ส่งเธอผอง ร่ำเรียน เพียรขยัน
พ่ออดเมื้อ กินเมื้อ ดื้อกัดฟัน
หิวกายสั่น เจียนเป็นลม ยังข่มไว้
อกพ่อหม้าย ลูกติด มิคิดท้อ
พะเน้าพะนอ ดวงกมล จนเติบใหญ่
ต่างสำเร็จ ปริญญา มหาลัย
แยกย้ายไป ได้ดี มีครอบครัว
ครั้นบิดร เจ็บป่วย ด้วยแก่เฒ่า
อยากเห็นหน้า ลูกเต้า เหล่าทูนหัว
เขายุ่งเหยิง ธุรกิจ ติดพันพัว
สุดปลีกตัว ถามข่าว คราวเยี่ยมเยือน
อยู่คนเดียว หงอยเหงา เศร้าเหี่ยวห่อ
น้ำตาคลอ อนาถ เหมือนขาดเพื่อน
ขวัญสลาย ยามถูก ลูกลืมเลือน
ล้วนอิดเอื้อน สิ้นคะนึง ถึงบิดา
ชะเง้อคอย รันทด จิตจดจ่อ
เมื่อไรหนอ ลูกรัก จักมาหา
ณ.สถาน บ้านสงเคราะห์ คนชรา
ที่เจ้าพา พ่อไสส่ง คงไม่ลืม
24 สิงหาคม 2554 20:02 น.
สุนทรวิทย์
บรรพชิต อาศัย ปัจจัยสี่
หนึ่งนั้นมี ข้าวปลา กระยาหาร
โดยยังชีพ อย่างผู้ รู้ประมาณ
อิ่มในฌาน สมถะ ละเฟื่องฟู
สองจีวร ห่มกาย ให้พอเหมาะ
มิต้องเสาะ แสวง แข่งเลิศหรู
ประดับศีล ดำรงธรรม อันค้ำชู
คือประตู สู่สรวง ห้วงนิพพาน
สามโอสถ หยูกยา รักษาโรค
บริโภค ประทัง คงสังขาร
ยามเจ็บไข้ ได้ป่วย ช่วยต้านทาน
บริบาล รักษา คราลำเค็ญ
สี่นิวาส หนแห่ง แหล่งอาศัย
ซึ่งปลอดภัย สงบ เมื่อพบเห็น
ทั้งวิเวก อุดม แลร่มเย็น
รวมแล้วเป็น ปัจจัยสี่ ที่กล่าวมา
ปัจจุบัน มิเห็น เป็นเช่นนั้น
สงฆ์แข่งขัน บัญญัติ ปัจจัยห้า
ขวนขวายยศ สรรเสริญ ลาภเงินตรา
อีกสีกา บริวาร บานตะไท
ไยภิกษุ พ่ายแพ้ แก่อามิส
สานุศิษย์ ขัดแย้ง แย่งกันใหญ่
ศาสนา ง่อยเปลี้ย ละเหี่ยใจ
เพราะอะไร ใครคิดออก วานบอกที